129-130
9/10
Ep.129
หลังจากนั้น ซูเฉินยังคงเก็บชิ้นส่วนต่อไป
“คุณได้รับ [อัญมณีอัพเกรด] *1 , ชิ้นส่วนที่ต้องการ (1/1) , จำนวนองค์ประกอบครบแล้ว คุณต้องการเลือกปลดล็อคหรือแลกเปลี่ยนเป็นแต้มพลังงาน?”
“ปลดล็อค”
“คุณได้รับ [ไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งสระวิเศษ] *1 , ชิ้นส่วนที่ต้องการ (3/10) , จำนวนองค์ประกอบยังไม่ครบ ไม่สามารถปลดล็อคได้ ต้องการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มพลังงานหรือไม่?”
“ไม่แลก”
“คุณได้รับ [นักรบจักรกล] *1 , ชิ้นส่วนที่ต้องการ (1/10) , จำนวนองค์ประกอบยังไม่ครบ ไม่สามารถปลดล็อคได้ ต้องการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มพลังงานหรือไม่?”
“แลกเปลี่ยนแต้มพลังงาน”
…
“คุณได้รับ [เหมันต์เยือกแข็งทางตอนเหนือ] *1 , ชิ้นส่วนที่ต้องการ (1/10) , จำนวนองค์ประกอบยังไม่ครบ ไม่สามารถปลดล็อคได้ ต้องการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มพลังงานหรือไม่?”
“ไม่แลก”
หลังจากเก็บชิ้นส่วนติดต่อกันไปมากกว่าร้อยชิ้น รายการใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
[เหมันต์เยือกแข็งทางตอนเหนือ] ฟังจากชื่อแล้ว น่าจะเป็นเทคนิคเวทมนต์ที่คล้ายกับ [สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งความป่าเถื่อน] ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มพลังแก่เวทย์ธาตุน้ำแข็งได้
สำหรับของดีๆที่ช่วยเสริมกำลังรบเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่ซูเฉินจะเลือกเก็บไว้
จากนั้น เขาก็เก็บชิ้นส่วนอื่นต่อ
“คุณได้รับ [อัญมณีฟิวชั่นเวทมนต์] *1 , ชิ้นส่วนที่ต้องการ (1/10) , จำนวนองค์ประกอบยังไม่ครบ ไม่สามารถปลดล็อคได้ ต้องการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มพลังงานหรือไม่?”
“ไม่แลก”
[อัญมณีฟิวชั่นเวทมนต์] เพิ่งเคยดรอปเป็นครั้งแรก แต่ซูเฉินคาดเดาว่า [อัญมณีฟิวชั่นเวทมนต์] น่าจะเป็นของที่ช่วยหลอมรวมพลังเวทย์ของแต่ละธาตุเข้าด้วยกัน
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันคงจะสุดยอดไปเลย
ลองจินตนาการดูสิ เวทมนต์ที่ปรมาจารย์มนตราปลดปล่อยออกมาแต่ละครั้ง ล้วนเป็นธาตุเดียว ขณะที่หากนำเวทมนต์สองธาตุ สามธาตุผสานกัน หรือมากกว่านั้นแล้วล่ะก็ …
หากสามารถทำได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอำนาจทำลายล้าง อาศัยแค่เทคนิคโจมตีครั้งเดียวปลดปล่อยได้หลายธาตุ มันก็ร้ายแรงมากพอที่จะทำให้ผู้คนไม่สามารถป้องกันได้แล้ว
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่ว่า ยิ่งมีพลังเวทย์ถูกหลอมรวมเข้าไปมากเท่าไหร่ พลังอำนาจของมันก็จะยิ่งทรงพลังขึ้นเท่านั้น
แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของซูเฉิน ไม่ว่าคุณสมบัติของ [อัญมณีฟิวชั่นเวทมนต์] จะเป็นเช่นนี้หรือไม่ เขาก็จะรวบรวมมันให้ครบอยู่ดี
เมื่อตัดสินใจได้ ซูเฉินก็ไม่เสียเวลา ไล่เก็บชิ้นส่วนต่อไป
หลังจากนั้นราวๆสองชั่วโมง ชิ้นส่วนทั้งหมดก็ถูกเก็บขึ้นมา
การกอบโกยในครั้งนี้อุดมสมบูรณ์มาก ไม่เพียงสามารถดรอปของดีมาได้มากมาย แต่กระทั่งแต้มพลังงานก็ยังพุ่งสูงขึ้นเป็น 400 แต้ม
“ดูเหมือนว่าฉันชักจะเสพติดการล่าซอมบี้ซะแล้ว!” ซูเฉินถอนหายใจด้วยอารมณ์ จากนั้นจึงมองไปยังใต้เหมือง
ยังมีซอมบี้อีกจำนวนมากอยู่ใต้เหมือง แต่พวกมันทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจเขตแดน ยากที่จะบอกว่าสามารถล่อหลอกขึ้นมาด้านบนได้หรือไม่ แต่ยังไงก็คงต้องลองดู
ในขณะที่คนอื่นๆยังคงขุดหินพลังงาน ซูเฉินเปิด [ร้านค้าวันสิ้นโลก] ขึ้นมา
สิ่งแรกที่เขาหันไปมอง คือช่องแถบสีทอง
เนื่องจากสามารถแลกเปลี่ยนชิ้นส่วน [คุณสมบัติเลเวล 3 อย่างเต็มรูปแบบ] ได้แล้ว ฉะนั้นรายการแลกเปลี่ยน [คุณสมบัติเลเวล 4 อย่างเต็มรูปแบบ] ย่อมปรากฏขึ้นมา
ซูเฉินมองไปยังราคาแลกเปลี่ยน วินาทีนั้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากเขา
[คุณสมบัติเลเวล 4 อย่างเต็มรูปแบบ] เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนคือ 500 แต้มพลังงาน ตราบใดที่เขาหามาได้อีก 100 แต้ม ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนมันได้
หลังจากนั้น เขาก็มองไปยังแถบช่องสีม่วง สายตาหยุดลงในรายการ[กายาเทพอสูรนิรันดร์]
เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน [กายาเทพอสูรนิรันดร์] สูงถึง 10,000 แต้มพลังงาน ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในบรรดาของทุกชิ้นที่เคยปรากฏขึ้น
ซูเฉินจดจ้องมันด้วยความโลภเป็นเวลานาน
10,000 แต้มพลังงานอาจฟังดูน่ากลัว แต่อันที่จริงในใจของซูเฉิน เขาคิดว่าที่ต้องทำก็แค่กำจัดคลื่นซอมบี้ขนาดกลาง ก็น่าจะสามารถรวบรวมมันได้ครบ
“ดูเหมือนฉันน่าจะได้ไปหาจิ่นเฟยซีในเร็วๆนี้” ดวงตาของซูเฉินหรี่ลง สายตาทอดยาวไปไกลยังทิศทางของสถานชุมชนเทียนหนาน
จำนวนของคลื่นซอมบี้ขนาดกลางมีมากกว่า 100,000 ตัว ยากต่อการทำลาย
ทว่าคลื่นซอมบี้ที่มีโอกาสดรอปชิ้นส่วนนับหมื่นได้ มีเพียงกองกำลังของจิ่นเฟยซีเท่านั้น เลยเป็นธรรมดาที่เขาจะมุ่งความสนใจไปยังศัตรูผู้นี้
10/10
Ep.130
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หยางฮ่าวและคนอื่นๆขุดหินพลังงานเสร็จก็ทยอยกลับไปที่รถ
ซูเฉินรวบรวมหินพลังงานทั้งหมด เติมลงใน [ปืนกลแก็ตลิ่ง (ไม่จำกัดเลเวล)] และกลับไปที่เหมืองอีกครั้งเพื่อล่อซอมบี้
คราวนี้หวู่หยางและคนอื่นๆไม่มีใครทักท้วง
หลังจากได้เห็นอำนาจทำลายล้างของ [รถศึกอัจฉริยะ] ไม่ว่าซอมบี้จะโผล่ขึ้นมากี่ตัว สุดท้ายพวกมันทั้งหมดจะถูกฆ่า ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
ซูเฉินเดินไปข้างหน้าเหมือง กวาดมองลงไป และเห็นว่าไม่มีซอมบี้อยู่ตามรายทางของอุโมงค์ถ้ำอีกต่อไป
ลึกลงไปเบื้องล่าง ปูไปสู่เส้นทางอันมืดมิด แต่ก็ยังมีซอมบี้จำนวนมากรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
ซูเฉินสร้างลูกไฟบนฝ่ามือ ขว้างมันลงไป
ลูกไฟค่อยๆตกลึกลงไป ทว่าขณะที่กำลังจะถึงก้นหลุม มันกลับถูกขวางเอาไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น จากนั้นเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง สะเก็ดแตกออกเป็นดอกไม้ไฟส่องสว่างขึ้นทันใด
อย่างไรก็ตาม แม้แรงระเบิดของเวทมนต์ลูกไฟจะไม่ธรรมดา แต่มันกลับไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อพวกซอมบี้ที่อยู่ด้านล่างได้เลย
“อำนาจเขตแดนแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว?” ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เวทมนต์ลูกไฟถูกสกัดกั้น เป็นผลมาจากอำนาจเขตแดนที่ขวางทางเอาไว้
ซูเฉินยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ในขณะที่เขาตั้งใจจะปล่อยพายุสายฟ้านั้นเอง เสียงคำรามด้วยความโกรธพลันสะท้อนขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“ซิลิกัว .. ทูริคชิลา …”
ภาษาที่คำรามขึ้นมา ไม่ใช่ภาษาของโลกใบนี้ หากเป็นคนอื่น คงไม่มีทางเข้าใจมัน
แต่ซูเฉินน่ะต่างออกไป เขาเพิ่งได้รับ [หมื่นภาษาและคำศัพท์] เลยบังเอิญสามารถเข้าใจความหมายของมัน
แต่ทว่า หลังจากที่เขาแปลประโยคนั้นออกมา สีหน้าของเขากลับกลายเป็นมืดมน
เพราะเสียงคำรามก้องเมื่อครู่ เป็นวาจาดูหมิ่นเขา
ความหมายที่แปลได้ก็คือ
“หัวขโมยน้อยจอมโอหัง เจ้าฆ่าคนรับใช้ของเผ่าเราไปมากมาย แต่ยังไม่ยอมเลิกรา ถ้ายังไม่ไสหัวไป ข้าจะฉีกเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น!”
และคนเช่นซูเฉิน จะยอมถูกดูหมิ่นและข่มขู่เช่นนี้ได้อย่างไร?
เขาตอบโต้ด้วยภาษาของอีกฝ่ายกลับไปทันที
“เก็บปากไว้ด่าป้าแกเถอะไอ้บ้า! คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถ้าแน่จริงก็คลานขึ้นมา ท่านปู่จะเลาะหนังถลกเส้นเอ็นให้แกเอง!”
หลังจากโดนซูเฉินด่ากราดกลับไป ชนต่างเผ่าตนนั้นก็ตกใจเป็นอันดับแรก ได้สติร้องอุทานว่า “ไอ้หนู เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดถึงสามารถเอ่ยภาษามนุษย์เต่าเขียวของพวกเราได้?”
“แล้วมันสำคัญด้วยหรือ?” ซูเฉินหัวเราะหยัน ด่าต่อว่า “ไม่ว่าแกจะเป็นเต่าเขียวหรือเต่าแดง ในสายตาฉัน แกมันก็เป็นแค่เต่าหัวหด!”
เหตุผลที่เขากระตุ้นอีกฝ่ายเช่นนี้ หลักๆเป็นเพราะต้องการล่อมนุษย์เต่าเขียวให้ขึ้นมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวมาก่อนเลย ดังนั้นเลยอยากหาโอกาสทดสอบความแข็งแกร่งของพวกมัน
“โอหัง!” มนุษย์เต่าเขียวโกรธ คำรามขู่อีกครั้ง “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าถูกขวางกั้นไว้ด้วยอำนาจเขตแดน ข้าคงไปสังหารเจ้าตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เจ้าส่งเสียงเจี๊ยกๆเช่นนี้หรอก”
พอได้ยินแบบนั้น ซูเฉินก็เริ่มขบคิด กล่าวอย่างไม่มั่นใจว่า “ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าแกจะไม่ขึ้นมาหรอ?”
“ฮ่า ฮ่า …” เต่าเขียวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กล่าวเสียงเย็นชา “อย่าได้โล่งใจไป อีกไม่นานอำนาจเขตแดนจะกลับมาคงที่ ถึงเวลานั้นเผ่าเต่าเขียวของพวกเรา จักสังหารมนุษย์ทุกคนอย่างแน่นอน”
“ก็แค่คำพูดผายลม ขี้โม้เชื่อถือไม่ได้!” ซูเฉินแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นลอบถามว่า “เผ่าเต่าเขียวของพวกแก แข็งแกร่งสุดก็แค่ผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 จะเป็นคู่ต่อสู้ของมนุษย์อย่างพวกเราได้ยังไง”
เขาไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเต่าเขียวเลย ดังนั้นตะโกนถามเช่นนี้เพื่อเป็นการลองเชิง
“เจ้ากบก้นบ่อ!”
มนุษย์เต่าเขียวกล่าวด้วยความรังเกียจและดูแคลนว่า “เผ่าเต่าเขียวของเรา ผู้อ่อนแอที่สุดคือผู้วิวัฒนาการเลเวล 1 หัวหน้าเผ่าเป็นถึงผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ที่ทรงพลัง มนุษย์อย่างพวกแก อ่อนแอที่สุดในทุกชนเผ่า จะเอาอะไรมาต้านทานพวกเรา?”
‘ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันก็คือเลเวล 4 ’ ซูเฉินแสดงท่าทีเหยียดหยามเล็กน้อย
ตอนแรก ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย เขาคิดว่าเผ่าเต่าเขียวเป็นเผ่าพันธุ์ทรงพลัง ที่ไหนได้ แข็งแกร่งสุดแค่เลเวล 4 เท่านั้น
ผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ถือเป็นกำลังรบระดับสูงสุดของเกาะเฉียนหยูก็จริง แต่สำหรับซูเฉิน พวกเขาไม่ต่างจากสิ่งของที่สามารถฆ่าได้ตามใจชอบ ไม่คณามือแต่อย่างใด