297 - คฤหาสน์กวาง
297 - คฤหาสน์กวาง
การเผชิญหน้าระหว่างผู้คนช่างน่าทึ่งจริงๆเอี้ยนลี่เฉียงไม่คาดคิดว่าเขาจะแยกตัวจากฝั่งของซุนปิงเฉินและได้งานใหม่ไม่นานหลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองหลวงด้วยกัน
ในเรื่องนี้เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้รู้สึกหัวเสียแต่อย่างใด เขากลับรู้สึกขอบคุณซุนปิงเฉินเป็นอย่างมาก
ที่เขาได้ติดตามซุนปิงเฉินมายังเมืองหลวงก็เพื่อเห็นแก่ประสบการณ์และเป็นพยานถึงความอัศจรรย์ของโลกนี้ มันค่อนข้างดีสำหรับเขาที่จะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของฝีเท้าตัวเอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากกล่าวอำลาซุนปิงเฉินอย่างเป็นทางการซุนปิงเฉินได้ให้เหลียงอี้เจี๋ยคุ้มกันเอี้ยนลี่เฉียงไปยังคฤหาสน์กวางในเขตชานเมืองด้านตะวันตกของเมืองหลวง
เอี้ยนลี่เฉียงขี่เมฆพายุหิมะ โกลดี้ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว กำลังกระโดดไปมารอบๆเมฆพายุหิมะอย่างสนุกสนาน
ชานเมืองของเมืองหลวงได้รับการตกแต่งด้วยดอกไม้สีสดใสและต้นหลิวสีเขียว ทันทีที่พวกเขาออกจากประตูเมืองในตอนเช้าถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรและรถม้า
เนื่องจากอากาศดี ผู้คนจำนวนมากจึงออกมาขี่ม้าหรือบนรถม้าในตอนเช้าเพื่อไปเที่ยวภูเขาในฤดูใบไม้ผลิ มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และจุดชมวิวมากมายรอบๆเมืองหลวง
นอกจากนี้ยังมีสวนและคฤหาสน์ส่วนตัวจำนวนมากที่เป็นของขุนนางผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง การจราจรบนท้องถนนจึงเป็นเหมือนลำธารที่ไม่มีที่สิ้นสุด
กระเป๋าและดาบยาวของเหลียงอี้เจี๋ยห้อยลงมาจากอานม้าของเขา
หลังจากพาเอี้ยนลี่เฉียงไปที่คฤหาสน์กวางเขาจะเข้าสู่ความสันโดษเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งชีวิตและความตายกับซูหลางในเวลาหนึ่งเดือน
เอี้ยนลี่เฉียงยังแขวนคันธนูของเขาไว้บนอานม้า แม้ว่าทั้งสองคนจะมีอาวุธติดอาวุธ แต่ในฐานะราชองครักษ์พวกเขาก็ไม่ได้ถูกตรวจตราจากทหารรักษาเมืองมากเกินไป
“พี่เหลียง พลเมืองของแคว้นกานถือได้ว่าเป็นคนแกร่ง แต่จากที่ข้าเห็นมันนี้ผู้คนของเมืองหลวงรู้สึกว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเราชาวตะวันตกเฉียงเหนือ!”
เอี้ยนลี่เฉียงอุทานด้วยความประหลาดใจในตอนที่เขาและเหลียงอี้เจี๋ยขี่ม้าออกจากเมือง
“ลี่เฉียง ความจริงแล้วพลเมืองของเมืองหลวงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากนักอย่างที่เจ้าคิด เพียงแต่ว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของผู้คนจากทั่วสารทิศต่างหาก
ดังนั้นจึงมีพยัคฆ์มังกรซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งในเมืองนี้ ความขัดแย้งของที่นี่มีไปตั้งแต่ชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดาจนกระทั่งถึงเชื้อพระวงศ์
เมืองหลวงก็จะเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ นิกายหลักๆของโลกต่างก็มีโรงฝึกของตนเองตั้งอยู่ในเมืองหลวง ไม่เพียงแต่คหบดีผู้มั่งคั่งเท่านั้นที่ฝึกฝนในโรงฝึกของพวกเขา
แม้แต่ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงคุณนางชั้นผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองอีกมากมายก็ล้วนแล้วแต่สังกัดนิกายใหญ่ๆพวกนี้ทั้งสิ้น…
ดังนั้นตามที่เจ้าเห็นว่ามีผู้คนมากมายพกพาอาวุธออกนอกเมืองนั้นแท้ที่จริงแล้วที่ดินในเมืองหลวงค่อนข้างมีราคาแพงดังนั้นสำนักฝึกของนิกายต่างๆจึงตั้งอยู่นอกเมือง คนเหล่านี้ก็คือลูกศิษย์ของพวกเขานั่นเอง…”
“แต่เหตุไฉนผู้คนจึงได้พกพาคันธนูและทวนยาว…”
“ฮ่าๆๆๆ! เรื่องแค่นี้ทำไมเจ้าถึงยังคิดไม่ได้ลี่เฉียง!” เหลียงอี้เจี๋ยหัวเราะอย่างเต็มที่บนม้าของเขา
“การใช้ธนู การขี่ม้า และอาวุธยาวชนิดอื่นๆล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในกองทัพ ผู้คนที่มาเมืองหลวงส่วนมากต่างก็ต้องการไต่เต้าขึ้นที่สูง และการใช้อาวุธพวกนี้สามารถทำให้พวกเขาก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็วในกองทัพ…”
เอี้ยนลี่เฉียงใช้สมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจในที่สุด
"อ้อเข้าใจแล้ว! ในตอนแรกข้าก็สงสัยว่าเหตุไฉนจึงมีผู้คนมากมายที่พกอาวุธสงครามครั้งที่ที่นี่เป็นเมืองหลวงไม่ใช่ชายแดน…”
“ลี่เฉียง ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าอยู่ที่ฝีมือธนูและการขี่ม้า ทันทีที่เจ้ามีคันธนูอยู่ในมือเจ้าสามารถกวาดล้างสนามรบที่มีทหารหลายร้อยนายเพียงลำพังได้
การเป็นผู้ติดตามของนายท่านจะทำให้เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความพิเศษนี้ออกมาได้ แต่หากเจ้าเข้าร่วมกองทัพลำพังแค่ฝีมือการยิงธนูของเจ้าก็เพียงพอที่จะกลายเป็นผู้บัญชาการที่คุมกำลังนับหมื่นแล้ว”
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มอย่างนอบน้อม
“พี่ใหญ่ยกย่องเกินไปแล้ว…”
“ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวลี่เฉียงปัจจัยที่ทำให้เจ้ายังถือว่าอ่อนแอในเมืองหลวงนี้เป็นเพียงเพราะระยะการฝึกฝนของเจ้าน้อยเกินไป ข้าเชื่อว่าหากเจ้าอายุเท่ากันกับข้าในเมืองหลวงนี้ยากที่จะมีคนสามารถต่อสู้กับเจ้าตัวต่อตัวได้…!”
“พูดตามตรง ข้าคิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าข้าไม่ได้กลายเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ตลอดชีวิต!” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น?" เหลียงอี้เจี๋ยถามเขาด้วยความงุนงง
“โลกที่สงบสุขที่ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ต้องการแม่ทัพผู้กล้าหาญ!” เอี้ยนลี่เฉียงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่เมฆสีดอกกุหลาบในยามรุ่งอรุณ
“ข้าแค่ต้องการท่องเที่ยวไปรอบๆ ชื่นชมทิวทัศน์ของโลกที่เฟื่องฟู และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ก่อนที่จะลงหลักปักฐานที่ไหนสักแห่งเพื่อเริ่มต้นกิจการเล็กๆและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับครอบครัวของข้า!”
“แม้ว่าความคิดของเจ้าจะเป็นเรื่องดีแต่ในโลกใบนี้เกรงว่าจะเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น…”
เอี้ยนลี่เฉียงยังถอนหายใจภายในเมื่อเขานึกถึง 'เหตุการณ์สำคัญ' ที่จะเกิดขึ้นในอาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยรู้ดีว่าความฝันของเขานั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน
แม้ว่าอาณาจักรฮั่นจะยังคงมีเสถียรภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่กองกำลังของนิกายบัวขาวก็จะก่อจราจลภายในเวลาไม่กี่ปี
รวมถึงความขัดแย้งกับเผ่ารามมืดและเผ่าชามานทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกนั้นทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันที่ผ่านไป
แม้กระทั่งอนานิคมสองสามแห่งทางตอนใต้อาจถึงกับยอมสวามิภักดิ์ให้กับราชวงศ์จันทร์เสี้ยวใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่ลางดี
นอกจากนั้น การต่อสู้ระหว่างคณะเสนาบดีและจักรพรรดิจะเต็มไปด้วยความผันผวน เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วความสงบสุขจะอยู่ที่ใด
ช่วงเวลาที่มีปัญหาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดขึ้นตลอดยุคสมัย ลางบอกเหตุต่างๆมักจะปรากฏขึ้นก่อนที่ความโกลาหลจะลงมา
แต่ในฐานะที่เป็นเพียงแค่นักรบต่อสู้ มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขาที่จะคิดไปไกลถึงขนาดนั้น เอี้ยนลี่เฉียงละทิ้งความคิดทั้งหมดที่อยู่ในใจของเขาและเปลี่ยนเรื่อง
“โอ้ ใช่แล้ว ความบาดหมางระหว่างพี่เหลียงกับซูหลางเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่…?”
“ซูหลางนั้นอาศัยว่าตัวเองมีความแข็งแกร่งระดับปรมาจารย์เขาจึงคิดจะรังแกหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่อยู่ชานเมือง ในวันนั้นข้าบังเอิญผ่านไปเห็นจึงได้สั่งสอนเขา ในตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นผู้ติดตามของเสนาบดีชู …”
"อย่างนี้นี่เอง!" เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้า “ถึงอย่างนั้น พี่ใหญ่ก็น่าจะจัดการเจ้าขยะตัวนี้ซะ…!”
“ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไงจึงเพียงสั่งสอนเล็กๆน้อยๆ ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลับกลายมาเป็นภัยคุกคามของข้าได้…”
“ท่านไปฝึกฝนเถอะพี่ใหญ่ข้าจะมาดูท่านประลองอย่างแน่นอน…!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอน…!” เหลียงอี้เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานเอี้ยนลี่เฉียงและเหลียงอี้เจี๋ย ต่างก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกเขาเกือบจะเหมือนพี่น้องกันแล้ว ทั้งสองขี่ม้าคุยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์กวาง
ด้านนอกคฤหาสน์กวางเป็นป่าสนขนาดใหญ่และทะเลสาบที่เต็มไปด้วยดอกบัว หลังจากผ่านป่าสนไปแล้ว ก็จะพบตัวของคฤหาสน์กวางที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงเข้ม
คฤหาสน์กวางมีความโอ่อ่าตระการตา
ผู้คนในเมืองหลวงต่างทราบดีว่าคฤหัสถ์กวางไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าเยี่ยมชม ดังนั้นแม้ว่าถนนสายนี้จะค่อนข้างกว้างแต่ก็ไม่มีผู้คนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเลย
“ลี่เฉียงคฤหาสน์กวางอยู่ที่นี่แล้ว พ่อบ้านของที่นี่คือหลิวกงกงจากวังหลวง นายท่านได้แจ้งหลิวกงกงไว้แล้วขอเพียงเจ้าแจ้งชื่อของตัวเองเท่านั้น”
เอี้ยนลี่เฉียงมองออกไปจากกวางและพยักหน้า
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่มาส่ง”
“ดูแลตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ให้สูญเปล่า!” เหลียงอี้เจี๋ยมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงในขณะที่เขาแบ่งปันความปรารถนาจากใจจริง
“แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างเงียบเหงาแต่ก็เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึงไวให้ได้…”
“พี่ใหญ่ท่านหมายถึงอะไร…”
“เจ้าก็เป็นคนฉลาดเหตุไฉนเรื่องแค่นี้จึงไม่เข้าใจ” เหลียงยี่เจี๋ยยิ้ม “เจอกันใหม่เดือนหน้า! เมื่อพบกันอีกครั้งข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น…!”
เหลียงอี้เจี๋ยก็โบกมือให้เอี้ยนลี่เฉียงและหันหลังกลับ หลังจากนั้นม้าของเขาก็วิ่งออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว