293 - กับดัก
293 - กับดัก
แม้แต่คนหูหนวกก็ยังรับรู้ได้ว่าคนกล่าววาจาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เอี้ยนลี่เฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปทางต้นเสียง เขาไม่จำเป็นต้องมองหาคนที่พูดเพราะฝ่ายตรงข้ามยืนขึ้นแล้ว
เขาเป็นชายร่างสูงสวมชุดสีฟ้า ร่างของเขาน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าเอี้ยนลี่เฉียงสองคนรวมกัน แม้ว่าเขาจะสวมชุดเกราะแต่ก็ยังสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อภายใต้ชุดเกราะนั้นได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของเขาแบนราบ นัยน์ตาดูน่ากลัว และคิ้วที่ดกหนาชิดกันทั้งสองข้าง นอกจากนั้นชายคนนี้ยังมีรอยแผลเป็นซึ่งตัดผ่านหูซ้ายมาจนถึงแก้มของเขา แม้จะเลือนลางแต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจน
มันทำให้ใบหน้าของชายคนนั้นเหมือนมีตะขาบสีแดงเกาะอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา
“ข้าไม่คิดว่าการแพ้ให้กับยอดฝีมืออย่างยมทูตดำขาวจะเป็นเรื่องขายหน้า ท้ายที่สุดระดับการบ่มเพาะของข้าก็ด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม!” เหลียงอี้เจี่ยยิ้มอย่างเย็นชาจากนั้นจึงเสริมว่า
“ซูหลางเราทั้งคู่เป็นประมาจารย์ต่อสู้อยู่ในขอบเขตบ่มเพาะเดียวกัน ถ้าเจ้าคิดว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจ้ามีอยู่ที่เดียวไม่เพียงพอเราก็สามารถเจอกันที่สนามประลองเป็นตายได้ตลอดเวลา
แต่หากว่าเจ้าไม่มีความกล้าเจ้าก็จงยืนอยู่ตรงนั้นแล้วหุบปากของตัวเองไปซะ…!”
เหลียงอี้เจี่ยค่อนข้างมีความดุดัน
เมื่อได้ยินเหลียงอี้เจี่ยดวงตาของคนที่ชื่อซูหลางก็แดงขึ้นทันที ใบหน้าของเขาแตกออกเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะเลียริมฝีปากแล้วกล่าวว่า
"ทำไมจะไม่ล่ะ? 1 เดือนหลังจากนี้พวกเราจะต่อสู้กันที่สนามประลองเป็นตายหวังว่าเมื่อถึงวันนั้นเจ้าคงไม่แกล้งว่าป่วยหรอกนะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้นซูหลางก็มองไปรอบๆทุกคนก่อนจะกล่าวว่า
“ขอให้ทุกท่านเป็นพยานให้กับพวกเรา”
"แน่นอน!"
"ไม่มีปัญหา!"
ทหารองครักษ์บางคนในกลุ่มฝูงชนในห้องตอบกลับทันที
“ในเมื่อพี่ซูและพี่เหลียงได้ตกลงที่จะประลองกันแล้วถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเลือกคู่ประลองด้วยถือเป็นน้ำจิ้มก่อนการประลองของพี่ใหญ่ทั้งสองคน!”
ทหารอีกคนที่อยู่ข้างๆซูหลางยืนขึ้นในขณะที่เขาพูด สายตาของเขาจับจ้องไปยังเอี้ยนลี่เฉียงแล้วกล่าวว่า
“ได้ยินมาว่าท่านซุนมีผู้ติดตามคนใหม่ชื่อว่าเอี้ยนลี่เฉียง คงเป็นน้องเล็กท่านแล้ว เจ้ามีความกล้าพอที่จะมาลองในสนามประลองเป็นตายพร้อมกับพี่เหลียงหรือไม่?
“เจ้าคนแซ่เกาเจ้าอยากได้ล้ำเส้นมากเกินไป! ถ้าเจ้าอยากเล่นมากขนาดนี้ ให้รอจนกว่าข้าจะจัดการซูหลางให้เสร็จ แล้วเราจะได้ดวลกัน!”
สีหน้าของเหลียงอี้เจี๋ยเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างเย็นชาขณะที่เขาจ้องไปที่บุคคลที่ยืนขึ้นเพื่อเชื้อเชิญให้เอี้ยนลี่เฉียงเข้าร่วมการต่อสู้
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไปได้ไหมว่าผู้ติดตามของท่านซุนขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่จะยืนบนสนามประลองเป็นตาย?” คนแซ่เกามองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นหัวเราะอย่างซุกซน
“เจ้าคนแซ่เหลียง เราจะพูดเรื่องนี้อีกครั้งหลังจากที่เจ้ารอดชีวิตมาได้…”
“พี่เหลียงสนามประลองเป็นตายนี้ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร” เอี้ยนลี่เฉียงหันศีรษะไปรอบๆและถามเหลียงอี้เจี๋ย
“ผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้จะต้องอยู่ในระดับบ่มเพาะเดียวกันและเมื่อขึ้นสู่สนามประลองแล้วความเป็นตายของพวกเขาจะอยู่ที่ความสามารถของตัวเอง” เหลียงอี้เจี่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากได้ยินเช่นนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็พยักหน้า จากนั้นมองไปยังคนแซ่เกาด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงนักรบต่อสู้ หากเจ้าสามารถหานักรบต่อสู้ได้เช่นกัน ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเชือดคอมันทิ้งบนสนามประลองเป็นตาย!”
“ไม่คิดว่าผู้ติดตามส่วนตัวของท่านซุนจะเป็นเพียงนักรบผู้ต่ำต้อย! ฮ่าๆๆๆ! ช่างเป็นเรื่องตลก! ดูเหมือนว่าท่านซุนจะตกต่ำลงจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนร้ายที่อยู่ในความดูแลของเขาถึงถูกตัดศีรษะในเมืองฮุ่ย…!”
ทันทีที่คนที่คนแซ่เกาและซูหลางได้ยินว่าเอี้ยนลี่เฉียงเป็นเพียงนักรบ ทั้งคู่ก็คำรามด้วยเสียงหัวเราะด้วยกันราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่สุดในโลก
เมื่อองครักษ์คนอื่นๆได้ยินว่าเอี้ยนลี่เฉียงเป็นเพียงนักรบ ทุกคนก็จ้องมองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าผู้ติดตามของท่านซุนจะมีระดับบ่มเพาะที่ต่ำต้อยขนาดนี้
อันที่จริงหากอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆการเป็นนักรบต่อสู้ย่อมสามารถภาคภูมิใจได้
อย่างไรก็ตามในสถานที่เช่นเมืองหลวงของจักรวรรดิมันคงเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆที่นักรบคนหนึ่งจะกลายเป็นทหารองครักษ์ของขุนนางผู้ใหญ่
ทหารองครักษ์ทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับปรมาจารย์นักรบทั้งสิ้น การที่มีนักรบต่อสู้เดินเข้ามาที่นี่ครั้งสุดท้ายมันเป็นเรื่องกี่ปีมาแล้วพวกเขาก็จำไม่ได้
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงมองดูคนสองคนที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วกล่าวว่า
“ข้าอายุแค่สิบห้าปีและข้าเป็นเพียงนักรบพวกเจ้าตลกตรงไหน? บอกข้าหน่อยสิว่าตอนที่อายุเท่ากันพวกเจ้าผ่านขั้นตอนท่าม้าแล้วหรือยัง
ในความเป็นจริงท่านซุนเลือกข้าเป็นผู้ติดตามไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของข้าแต่เป็นคุณสมบัติด้านอื่นมากกว่า”
“คุณสมบัติของเจ้าคืออะไร” คนแซ่เกาหยุดหัวเราะและหันมาถามทันที
“ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดของข้าก็คือทำให้คนที่ไร้ยางอายมากที่สุดในโลกวิ่งเข้ามาเห่าหอนต่อหน้าข้าในทันทีที่ข้าปรากฏตัว
เมื่อท่านซุนมีข้าอยู่ข้างกาย เขาสามารถระบุตัวคนที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป!”
“ฮ่าๆๆๆ พูดได้ดี!”
เมื่อเหลียงอี้เจี๋ย ซึ่งกำลังจะกระโจนใส่คนเหล่านั้นได้ยินเอี้ยนลี่เฉียงกล่าวเขาอดไม่ได้ที่จะคำรามด้วยเสียงหัวเราะ ทหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
เมื่อคนแซ่เกาได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาก็หายสาบสูญไปในทันที ในเวลานี้ใบหน้าของเขาดำคล้ำและจ้องมองไปยังเอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาอำมหิต
“ที่นี่คือวังหลวง หากมีการต่อสู้กันก็อย่าหาว่าข้าหยาบคาย!”
ทันใดนั้น ชายในชุดเกราะที่ดูเหมือนแม่ทัพคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าพร้อมกับทหารองครักษ์อีกสามคนที่อยู่ด้านหลัง
เขามองไปที่คนทั้งสี่ที่กำลังเผชิญหน้ากันในห้องและเตือนพวกเขาอย่างเย็นชา
……
เหลียงอี้เจี่ยจ้องไปที่ซูหลางจากนั้นก็เดินนำเอี้ยนลี่เฉียงไปที่โต๊ะของตัวเอง
…..
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะดูสงบ แต่ในใจของเขากลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้คาดหวังว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
เมื่อคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง การยั่วยุของซูหลางไม่ได้เกิดจากแรงกระตุ้นอย่างกะทันหันแต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาได้คิดมาอย่างรอบคอบแล้ว
สำหรับคนแซ่เกาเขาอาจจะพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอี้ยนลี่เฉียง ดังนั้นพวกเขาจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่เพื่อทำลายชื่อเสียงของซุนปิงเฉิน
เหลียงอี้เจี่ยดูเหมือนจะตระหนักได้เช่นกัน เมื่อเขาตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามไปก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะตกลงไปในกับดักที่คนอื่นวางไว้ แววตาของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ…
“พี่เหลียง…”
"ไม่มีอะไรต้องห่วง!" เหลียงอี้เจี่ยยิ้มและส่ายหัวไปที่เอี้ยนลี่เฉียง
“บางครั้งเราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้…”
“สองคนนั้นเหรอ?” เอี้ยนลี่เฉียงถามเสียงต่ำ
“เขาเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของศัตรูทางการเมืองของนายท่าน พวกเขาไม่ใช่ตัวดีอะไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยลงมาสั่งสอนพวกเขามาบ้างแล้ว…”