292 - เข้าสู่วัง
292 - เข้าสู่วัง
บ้านพักของซุนปิงเฉินมีเพียงคนรับใช้สามคนเท่านั้น ชายชรา หญิงชรา และสาวใช้
แซ่ของชายชราคือหลี่ และเขาแต่งงานกับหญิงชราในขณะที่สาวใช้แซ่ซู ทั้งสามคนเป็นผู้ลี้ภัยที่ได้พบกับซุนปิงเฉินเมื่อต้นปี และได้รับการจัดหาที่พักพิง ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้
ซุนปิงเฉินใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยและเรียบง่าย ดังนั้นแม้เมื่อเขากลับมาที่บ้านก็ไม่มีงานเลี้ยง หลังจากทานอาหารง่ายๆและสั่งอาหารไปไม่กี่อย่าง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของเอี้ยนลี่เฉียงที่มาถึงบ้านของซุนปิงเฉินเขาจึงได้รับห้องรับแขกเป็นห้องพักในคืนนี้
คืนนั้น หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงเสร็จสิ้นการฝึกฝนในตอนเย็นเขาก็พลิกตัวและพบว่ามันยากที่จะหลับ
เมืองที่แปลกประหลาดนี้ สภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด และการเผชิญหน้าที่เป็นอันตรายที่เขาพบระหว่างทางทำให้เอี้ยนลี่เฉียงกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเขาเป็นครั้งแรก
เพราะเขารู้ว่าตำแหน่งและการฝึกฝนในปัจจุบันของเขานั้นเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดเล็กของเมืองหลวง ในสถานการณ์อันตราย เขาอาจถูกลบออกไปได้ตลอดเวลา
ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะแข็งแกร่งขึ้นเป็นวิธีเดียวที่จะกำหนดชะตากรรมของตนได้!
เมื่อมองดูมุ้งที่ไม่ค่อยใหม่บนเตียงและฟังเสียงฝนกระทบกระเบื้องหลังคา สายตาของเอี้ยนลี่เฉียงเริ่มแน่วแน่ในขณะที่เขาตัดสินใจอย่างลับๆ
เขากำลังจะขอลาจากซุนปิงเฉินภายในสองวันข้างหน้า เขาจะหาสถานที่แห่งหนึ่งรอบๆเมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง
อย่างน้อยก็พยายามพัฒนาไปสู่การเป็นสุดยอดนักรบ เขาจะพัฒนาวิชายิงธนูของเขาให้เข้าสู่ระดับสวรรค์ชั้นที่สี่รวมทั้งวิชาระฆังทองคุ้มกายก็ต้องให้สำเร็จขั้นแรกไปให้ได้
อย่างน้อยก็จะทำให้เขามีพื้นฐานที่ดีมากขึ้น มิฉะนั้นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับนักรบต่อสู้จะไม่อาจมีชีวิตรอดในเมืองหลวงแห่งนี้ได้
พวกเขามีความแตกต่างจากทหาร ผู้ติดตามส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างซุนปิงเฉินมีอิสระมากกว่าเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งเป็นทหารแต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎของกองทัพ
การที่ผู้ติดตามของขุนนางจะขอลาพักสักระยะหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก ในขณะเดียวกันซุนปิงเฉินก็มีผู้ติดตามอีกคนที่เอี้ยนลี่เฉียงไม่เคยเห็น
ตามที่เหลียงอี้เจี๋ยกล่าว ผู้ติดตามคนนั้นขอลาพักหนึ่งปีเพื่อกลับไปยังนิกายของเขาและฝึกฝนอย่างสันโดษ
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกสบายใจมากขึ้นหลังจากตัดสินใจเช่นนั้น เขาเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์และใช้เวลาอยู่ที่นั่นอีกวัน หลังจากกลับมาอีกครั้งเขาก็เผลอหลับไปอย่างสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้นเอี้ยนลี่เฉียงลุกจากเตียงก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างไสว หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็ทานอาหารเช้าง่ายๆกับเหลียงอี้เจี๋ยและซุนปิงเฉินด้วยกันก่อนที่เขาจะขี่ม้ากับเหลียงอี้เจี๋ยและพาซุนปิงเฉินเข้าไปในวังหลวง
ซุนปิงเฉินนั่งอยู่ในรถม้า คนขับรถม้าเป็นคนรับใช้ชราแซ่หลี่จากที่พัก
วันนี้แดดจัด ถนนสายหลักของเมืองหลวงคึกคักไปด้วยกิจกรรมตั้งแต่เช้าตรู่ ฝูงชนมีชีวิตชีวาและการจราจรบนถนนก็ไม่มีที่สิ้นสุด
เอี้ยนลี่เฉียงขี่ม้าแรดของเขาตามหลังรถม้า เขามองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ในขณะที่ฟังเหลียงอี้เจี๋ยอธิบายถนนและอาคารต่างๆในเมืองให้เขาฟัง
…
“นี่คือร้านชุนอี้ซึ่งมีสินค้าหายากจากทุกส่วนของอาณาจักร…”
…
“ถ้าหากเจ้ามาที่นี่เจ้าจะต้องเข้าสู่ส่วนลึกของถนนพันเซียนสถานที่แห่งนั้นมีภูมิประเทศที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองหลวงในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส…”
……
“สำนักงานผู้ว่าการทหารอยู่ฝั่งนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยสาธารณะและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในเมืองหลวง
อย่างไรก็ตามที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวกันของบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแผ่นดิน บางครั้งคนที่เดินอยู่ข้างนอกที่ไม่มีนัยยะสำคัญอะไรอาจจะเป็นคนสนิทของขุนนางใหญ่หรือไม่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ก็เป็นได้
ดังนั้นผู้ว่าการทหารจากเมืองหลวงจึงมีงานหนักมาก แม้ว่าบางทีเขาจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเมือง แต่ประชาชนก็จะวิจารณ์เขาเสียๆหายๆ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วจึงไม่เคยมีผู้ว่าการทหารคนไหนทำงานครบสิบปีเลย… ”
……
ในขณะที่เหลียงอี้เจี๋ยอธิบาย เอี้ยนลี่เฉียงก็เก็บคำพูดของเขาไว้ในใจ
“หลังจากผ่านถนนสายนี้แล้วจะไปถึงถนนเว่ยหยางที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง หญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงสี่คนของเมืองหลวงก็มาจากแหล่งบันเทิงหลักสี่แห่งของถนนเว่ยหยาง…” เหลียงอี้เจี๋ยชี้ไปที่ถนนและบอกเอี้ยนลี่เฉียงเรื่องนี้เมื่อพวกเขาเดินผ่านทางแยก
“พี่เหลียง หญิงงามเมืองควรจะอยู่ในย่านหอนางโลมไม่ใช่เหรอ? เหตุไฉนพวกนางจึงมาอยู่ในย่านสถานบันเทิง?” เอี้ยนลี่เฉียงถามด้วยความสงสัย
“พวกนางไม่ใช่นางโลมทั่วไปพวกนางเป็นผู้ที่ฝึกฝนศิลปะ 'ถือได้ว่าเป็นดวงดาราของเมืองหลวง' เมื่อพวกนางมีสถานะสูงส่งอย่างนี้แล้วทำไมพวกนางจึงจะต้องไปขายตัวอยู่ในหอนางโลมด้วย?
แน่นอนว่าต่อให้เป็นย่านบันเทิงของเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะพบเจอพวกนางได้ง่ายๆ ครั้งล่าสุดที่ข้าไปชมการแสดงกู่ฉินของแม่นางเฟิงซือซือเสียงเพลงของนางก้องอยู่ในหูข้าไปถึงสามวันสามคืน…”
เหลียงอี้เจี๋ยกล่าวขณะที่การแสดงออกบนใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขากำลังหวนคิดถึงประสบการณ์ในตอนนั้น
“รอจนกว่าเจ้าจะว่าง ข้าจะพาเจ้าไปฟังสักครั้ง รับรองว่าเจ้าจะไม่เสียใจอย่างแน่นอน!”
หลังจากฟังเหลียงอี้เจี๋ยแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็เข้าใจและทันใดนั้นก็ตระหนักว่าหญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงซึ่งเหลียงอี้เจี๋ยกล่าวถึงนั้นมีความคล้ายคลึงกับดาราหนังในชีวิตก่อนหน้านี้ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโลกนี้ไม่มีอาชีพเช่นนักแสดงหรือนักร้อง ผู้หญิงทุกคนที่แสดงศิลปะจึงถูกมองว่าเป็น "หญิงงามเมือง" แต่ในความเป็นจริงสถานะของพวกนางแตกต่างจากหญิงงามเมืองที่เป็นโสเภณีราวฟ้ากับดิน
เอี้ยนลี่เฉียงรู้อยู่แล้วว่าโลกนี้ขาดความบันเทิง เมื่อเขาอยู่ในเมืองผิงซีไม่ว่าจะเป็นการแสดงชนิดใดก็ล้วนแล้วแต่ดึงดูดผู้คนให้มาชมได้เป็นอย่างดี ต่อให้เป็นเพียงกายกรรมข้างถนนก็ตาม
“อ้อ พี่เหลียง วันนี้หลังกลับจากวังหลวงนายท่านจะไปเข้าร่วมประชุมตอนเช้าที่ท้องพระโรงหรือไม่?”
“วันนี้เป็นวันที่ 19 ไม่จำเป็นต้องไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง การประชุมในท้องพระโรงจะจัดขึ้นเฉพาะวันแรกของทุกเดือน”
เอี้ยนลี่เฉียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ชาติก่อนเขาคงดูละครมากเกินไปจนคิดว่าจักรพรรดิจะประชุมอยู่ทุกๆวัน เมื่อได้ยินคำพูดของเหลียงอี้เจี๋ย เอี้ยนลี่เฉียงก็ถูใบหน้าของเขาด้วยความเขินอาย
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม เข้าใจแล้ว…”
เหลียงอี้เจี๋ยมองไปทางซ้ายและขวา ทันใดนั้นก็ลดเสียงลงและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ต่อให้นายท่านไปเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงก็ไม่มีอะไรที่ให้นายท่านต้องทำเพราะมันถูกควบคุมโดยเสนาบดีใหญ่หมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อในการประชุมหรืออะไรก็แล้วแต่ล้วนเป็นสิ่งที่คัดกรองมาจากสำนักเสนาบดีทั้งสิ้น ดังนั้นนายท่านจึงแสร้งป่วยและไม่เข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงมาสองปีแล้ว…”
“สิ่งที่ตาไม่เห็น หัวใจไม่เศร้าโศก…” เอี้ยนลี่เฉียงถอนหายใจ
“ก็ประมาณนั้น...”
“พี่เหลียงเคยเห็นฝ่าบาทมาก่อนหรือไม่? ข้าสงสัยว่าพระองค์เป็นคนแบบไหน?”
เหลียงอี้เจี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“พระองค์เป็นจักรพรรดิที่มีความเมตตาคนหนึ่ง…”
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม…”
เหลียงอี้เจี๋ยดูเหมือนจะมีอย่างอื่นที่จะพูด แต่เขาได้ยินเสียงไอสองครั้งจากซุนปิงเฉินในรถม้า เอี้ยนลี่เฉียงและเหลียงอี้เจี๋ยแลกเปลี่ยนสายตาและยิ้มให้กัน
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็หยุดที่จัตุรัสด้านนอกพระราชวังอันงดงาม จตุรัสถูกปกคลุมด้วยหยกขาวและประดับประดาด้วยมังกร
ราชองครักษ์ที่สวมชุดเกราะยืนอยู่รอบๆกำแพง ซุนปิงเฉินลงจากรถม้าเมื่อพวกเขามาถึง หลังจากให้คำแนะนำแก่เอี้ยนลี่เฉียงและเหลียงอี้เจี๋ย เขาก็ปรับแต่งเครื่องแต่งกายของขุนนางชั้นสองให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นก็มีทหารราชองครักษ์คนหนึ่งเดินนำเขาเข้าไปในราชวังผ่านประตูสีแดงขนาดใหญ่
ในขณะนี้เอี้ยนลี่เฉียงกำลังพักผ่อนและรอพื้นในพื้นที่สำหรับผู้ติดตามของคุณนางระดับสูง
ซุนปิงเฉินเข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้คุ้มกันของซุนปิงเฉินแต่เอี้ยนลี่เฉียงและเหลียงอี้เจี่ยก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในวังดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องรออยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น
เมื่อเหลียงอี้เจี๋ยพาเอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปในพื้นที่รับรองของพวกเขา ก็มีราชองครักษ์จำนวนหนึ่งนั่งดื่มชาอยู่ภายในสวนนั้นแล้ว
“นั่นไม่ใช่องครักษ์เหลียงที่รับใช้ท่านซุนหรือ! ได้ยินมาว่าเจ้าพบกับยมทูตดำขาวที่เมืองฮุ่ย! ไม่เพียงแต่นักโทษที่เจ้าจับมาจะตายไปเท่านั้นแม้แต่ชีวิตของตัวเองเจ้าก็เกือบจะเอาตัวไม่รอด ฮ่าฮ่าฮ่า…!”
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงก้าวเข้าไปในห้องก็มีน้ำเสียงระคายหูดังขึ้นทันที