ตอนที่ 495 ข้ามขั้น
ตอนที่ 495 ข้ามขั้น
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ลู่โจวใช้พลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ทั้งหมดเพื่อรักษาเส้นพลังลมปราณพิเศษทั้งแปดของธิดาหอยสังข์ พลังที่ลู่โจวได้ใช้รักษาถูกผสานหลอมรวมเข้ากับร่างกายของสาวน้อย พลังที่หลอมรวมเข้ากับร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ธิดาหอยสังข์กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ไปอย่างง่ายดาย
ลู่โจวลูบเคราในขณะที่คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
หมิงซี่หยินยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวเขาหวาดกลัวเกินกว่าจะกล้าพูดอะไร
ในทางกลับกันหยวนเอ๋อในตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว นางกำลังจ้องมองมายังธิดาหอยสังข์
ไม่ว่าจะคิดยังไงลู่โจวดูเหมือนจะไม่พบคำตอบ แม้ว่าตัวเขาจะมีประสบการณ์และความรู้มากว่าพันปีก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรตัวเขาเลย “ไม่น่าเชื่อ”
หมิงซี่หยินมองไปที่ผู้เป็นอาจารย์ด้วยความสับสน “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สาวน้อยอาการเป็นไง?” ตัวเขาเหลือบมองดูธิดาหอยสังข์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างลับๆ หมิงซี่หยินสัมผัสได้ว่าสาวน้อยคนนี้เริ่มหายใจได้อย่างราบรื่นแล้ว ดูเหมือนว่านางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายแล้วนั่นเอง
เมื่อหมิงซี่หยินเห็นผู้เป็นอาจารย์ขมวดคิ้วและกำลังยุ่งอยู่กับการใช้ความคิด ตัวเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเหลือบมองไปที่เตียง หมิงซี่หยินที่ตรวจชีพจรของสาวน้อยก็ได้แต่เบิกตากว้าง “สวรรค์!” ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกับสิ่งที่ลู่โจวได้สัมผัส “นี่มันขั้นสังหรณ์หยั่งรู้?”
หมิงซี่หยินตกใจจนกระโดดถอยหลังกลับมา “ท่านอาจารย์ หรือว่านางจะเป็นสายลับจากสำนักอื่นกัน? นางจงใจที่จะซ่อนพลังวรยุทธที่มีเอาไว้อย่างงั้นเหรอ?”
หมิงซี่หยินไม่คิดที่จะรอคำตอบของลู่โจว ตัวเขาส่ายหัวก่อนที่จะปฏิเสธความคิดของตัวเอง “ไม่ มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด การที่จะส่งผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้มาเป็นสายลับมันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด”
หยวนเอ๋อตกใจ “ศิษย์พี่สี่ หอยสังข์ตายแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“นางยังไม่ตาย นางสบายดี...ตอนนี้นางมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้แล้ว”
“วรยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้?”
“นางมีวรยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยไม่ผ่านการฝึกฝนร่างกาย...”
“...”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธิดาหอยสังข์เข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ยังไง แม้แต่ลู่โจวเองก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ถ้าหากนางมาจากโลกสมัยใหม่ จะบอกว่านางเรียนข้ามชั้นก็ว่าได้ อันที่จริงแล้วมันน่ากลัวกว่าการเรียนข้ามชั้นซะด้วยซ้ำ การที่ใครสักคนจะสามารถเรียนข้ามชั้นได้นั่นก็เพราะคนๆ นั้นมีพื้นฐานที่แน่นกว่านักเรียนทั่วไป ธิดาหอยสังข์ไม่มีพื้นฐานอะไร แต่สุดท้ายแล้วนางก็สามารถข้ามผ่านการฝึกฝนร่างกายและเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรง แม้แต่หยวนเอ๋อที่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธเองก็ไม่อาจทำแบบนี้ได้
ลู่โจวยังคงใช้ความคิดอยู่ ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ปรากฏตัวขึ้น
“สวัสดี ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวหยุดคิด ตัวเขาพูดออกมาอย่างใจเย็น “เข้ามาสิทุกคน”
ผู้อาวุโสทั้งสี่เดินเข้ามาในห้อง พวกเขามองไปรอบๆ ตัว ทุกคนสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เหลือบมองมายังสาวน้อยที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูยู่ชูถามออกมาด้วยความสงสัย
“ให้ข้าได้ตอบแทนเถอะ...” หมิงซี่หยินยกมือขึ้นมา ในตอนนี้ตัวเขาดูกระตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งสี่หมิงซี่หยินได้กระแอมออกมา “นางเป็นอัจฉริยะ...อัจฉริยะจริงๆ ! อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้...นางสามารถเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยตรง...อย่าหาว่าข้าบ้าเลยนะ แต่มันคือความจริง”
“...”
เจ้านี่กำลังพูดถึงอะไรกัน? ทุกคนไม่เข้าใจสิ่งที่หมิงซี่หยินพูด ในตอนที่หมิงซี่หยินสงบสติอารมณ์ลงผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างและอัศจรรย์ใจ ไม่เคยมีผู้ฝึกยุทธคนไหนสามารถไปสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้โดยที่ไม่ผ่านการฝึกฝนร่างกาย
ผู้อาวุโสเดินไปที่เตียงก่อนที่จะตรวจสอบเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของธิดาหอยสังข์
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสี่เองก็รู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจเช่นกัน
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเหลือบมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสี่ “ผู้อาวุโสฝาน มีความคิดเห็นอะไรไหม?”
“เอ่อ...” ใบหน้าของฝานลี่เทียนกระตุก ตัวเขาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าแน่ใจว่าผู้อาวุโสเล้งจะต้องรู้”
เล้งลั่วตอบต่อไปด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบ “ผู้อาวุโสฮั๊ว...เจ้าตอบคำถามนี้ซะเถอะ”
“ข้า? ข้าคิดว่าถ้าหากปล่อยให้ผู้อาวุโสซูได้ตอบ พวกเราจะต้องได้คำตอบที่ดีแน่...” ฮั๊วจงหยางรีบก้าวถอยหลัง
ซูยู่ชูขมวดคิ้ว ‘เจ้าเฒ่าทั้งสามคนกำลังกลั่นแกล้งข้าซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียว พวกเขากล้าทำแบบนี้ได้ไง? ช่างไร้ยางอายอะไรแบบนี้!’
แต่ถึงแบบนั้นซูยู่ชูก็พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงตอบไป “ข้าไม่คิดเลยว่านางจะไม่เคยผ่านการฝึกฝนร่างกาย”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นจ้องมองไปที่ซูยู่ชู
“อะไรทำให้เจ้าพูดแบบนั้นได้?” ลู่โจวลูบเครา ตัวเขาจ้องมองซูยู่ชูอย่างมีความหวัง
“ท่านได้รักษาเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของสาวน้อยด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ ท่านปรมาจารย์ และเพราะการเสริมพลังจากพวกเราทั้งสี่คนทำให้สาวน้อยคนนี้ข้ามผ่านการฝึกฝนร่างกายในเวลาอันสั้นจากพลังอันมหาศาลได้”
“แต่ร่างกายของนางก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร นางไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาซะด้วยซ้ำ” หมิงซี่หยินยังคงสงสัย
“พลังของท่านปรมาจารย์และพลังของพวกเราทั้งสี่ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และเพราะแบบนั้นพวกเราจึงสามารถทะลวงจุดตันเถียน จุดกักเก็บพลังลมปราณของสาวน้อยคนนี้ได้ เป็นเพราะพลังของพวกเราทุกคนจึงได้พบกับผลลัพธ์เช่นนี้” ซูยู่ชูที่พูดเสร็จคารวะไปที่ลู่โจว “แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น”
“การที่จะเข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยใช้เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ฝานลี่เทียนพูดต่อ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นสาวน้อยคนนี้ก็อาจจะเป็นอัจฉริยะยอดนักฝึกยุทธที่หาตัวได้ยากในทุกๆ พันปีอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้อง...” ซูยู่ชูรีบตอบรับ
หมิงซี่หยินเหลือบตามองทุกคน หลังจากที่พูดคุยกันเป็นเวลานานทุกคนก็สรุปออกมาในทางเดียวกัน
ฮั๊วจงหยางก้าวมาที่ด้านหน้าก่อนที่จะโค้งคำนับ “ท่านปรมาจารย์...ข้ายินดีที่จะรับนางเป็นลูกศิษย์เอง ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อสั่งสอนนางด้วยทุกสิ่งที่มี ได้โปรดรับคำขอของข้าเถอะ ท่านปรมาจารย์!”
เล้งลั่วพูดต่อ “เจ้าคิดจะสั่งสอนเด็กสาวให้ต่อสู้โดยใช้เคล็ดวิชาป้องกันกระดองเต่าของเจ้าน่ะเหรอ? ข้าคิดว่าเด็กสาวคนนี้เหมาะที่ใช้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเต๋าพรางตัวมากกว่า ข้ารับประกันได้ว่านางจะต้องเป็นยอดฝีมือผู้ใช้วิชาเต๋าพรางตัวได้แน่”
ฝานลี่เทียนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ข้าไม่คิดว่าเคล็ดวิชาเต๋าพรางตัวและวิชาการป้องกันของฮั๊ววู่เด๋าจะแตกต่างอะไรกัน...ด้วยพรสวรรค์ของนาง นางควรจะเรียนรู้วิชาผนึกพลังกับข้ามากกว่า นางจะต้องกลายเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้แน่!”
ซูยู่ชูเพิ่งจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ไม่นาน แต่เมื่อนางเห็นพรสวรรค์ที่สาวน้อยคนนี้มี นางก็รู้สึกอยากจะรับสาวน้อยเป็นศิษย์เช่นกัน ระหว่างซูยู่ชูและสาวน้อยต่างก็เป็นหญิงสาวเหมือนกัน สาวน้อยคนนี้เหมาะที่สุดแล้วที่จะรับมรดกแห่งลัทธิขงจื๊อจากซูยู่ชู การที่จะต้องตายโดยที่ไม่ได้ส่งต่อวิชาทั้งหมดคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจนไม่อาจตายตาหลับแน่ “ข้า...ข้าเอง...”
ก่อนที่ซูยู่ชูจะพูดจบ ลู่โจวก็ยกมือขึ้นมาเพื่อที่จะสงบสติอารมณ์ทุกคน “พอแล้ว”
ทั้งห้องเงียบลง
ในตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกคนกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสาวกที่มีพรสวรรค์อยู่ เมื่อลู่โจวเหลือบมองทุกคน ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่กล้าที่จะพูดอีกต่อไป “ข้าจะเตรียมการสำหรับนางเอง...วันนี้พอก่อน”
ผู้อาวุโสทั้งสี่โค้งคำนับก่อนจะจากศาลาทางใต้ไป
ที่ด้านนอกศาลาทางใต้ ทั้งสี่คนต่างก็ถอนหายใจก่อนจะส่ายหัว
“น่าเสียดายที่อัจฉริยะอย่างนางไม่อาจเป็นสาวกของข้าได้...” ฝานลี่เทียนพูดออกมาอย่างเสียดาย
“อย่าได้คิดมากไป เมื่อมีท่านปรมาจารย์อยู่ พวกเราคงจะไม่ได้รับโอกาสนั้นแน่...”
ทุกๆ คนตกตะลึง ทุกคนลืมคิดเกี่ยวกับลู่โจวไปเลย
...
ภายในห้อง
ลู่โจวมองไปที่ธิดาหอยสังข์ที่ยังปลอดภัยดี อันที่จริงตัวเขาคิดจะรับนางให้เป็นศิษย์ของตัวเอง แต่การรับศิษย์คนอื่นไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับตัวเขาอีกต่อไป อันที่จริงมันจะยิ่งทำให้ลู่โจวเสียสมาธิมากกว่า
ตามลำดับที่จีเทียนเด๋าใช้ในการรับศิษย์ สาวกทั้งเก้าคนต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับบทกวี แล้วถ้าหากลู่โจวรับศิษย์คนที่สิบที่ชื่อว่าหอยสังข์ นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างงั้นเหรอ?
“ดูแลนางซะ” ลู่โจวสั่งการออกมา
“ค่ะ ท่านอาจารย์”
ลู่โจวตัดสินใจที่จะไขความลับที่อยู่เบื้องหลังของนางก่อน ทำไมดวงตาแห่งสัจธรรมถึงมองไม่เห็นข้อมูลอะไรนาง? นางกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ยังไง? นางมาจากที่ไหน? แล้วนางจะไปไหนกันแน่?
...
สองวันต่อมา
การต่อสู้ของมณฑลจิงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ด้วยการสนับสนุนจากสำนักเผิงไหลทำให้สำนักอเวจีโจมตีเมืองมณฑลจิงได้ด้วยการนำทัพของยู่เฉิงไห่
หวางซื่อเจียและยู่เฉิงไห่ต่างก็เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ นอกจากนี้ฮั๊วจงหยางและสาวกคนอื่นๆ ของสำนักอเวจียังมียอดฝีมืออีกมากมายอยู่ด้วย
มณฑลจิงได้ตกอยู่ในความโกลาหล ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน ทหารของมณฑลจิงทั้งหมดก็ถูกตีแตก สำนักอเวจีในตอนนี้ชิงความได้เปรียบและครอบครองคฤหาสน์ของแม่ทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
...
ภายในคฤหาสน์ของแม่ทัพ
ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้รู้สึกดีมากขึ้นกว่าในวันก่อนมาก ตัวเขาได้พูดกับหวางซื่อเจียอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณพี่ซื่อเจียจริงๆ เพราะพี่แท้ๆ พวกเราถึงเอาชนะเหวินชูได้”
หวางซื่อเจียโบกมือปฏิเสธก่อนจะตอบกลับมา “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เป็นเพราะพลังอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดของเจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ วิธีที่เจ้าใช้เพื่อเขย่าขวัญคนทั่วทั้งดินแดนด้วยกระบี่มันช่างน่าทึ่งมาก”
ทุกคนต่างก็ว่ากันว่าพลังวรยุทธที่ยู่เฉิงไห่มีมันลึกล้ำมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเคยเห็นพลังกับตาตัวเอง
หลังจากที่สู้รบร่วมกับยู่เฉิงไห่ด้วยกันมา หวางซื่อเจียก็มั่นใจว่าการจะเอาชนะยู่เฉิงไห่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ถ้าหากท่านต้องการอะไรแล้วล่ะก็ พี่ซื่อเจีย บอกข้ามาเถอะ ข้าจะยินดีทำอย่างเต็มที่เพื่อท่าน” ยู่เฉิงไห่พูดต่อ
หวางซื่อเจียในตอนแรกมีคำขออะไรต่างๆ มากมาย แต่เมื่อตัวเขาคิดถึงดอกบัวทองคำที่จีเทียนเด๋ามี ตัวเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธแทน “ไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเราเป็นสหายกัน การที่สหายต้องช่วยเหลือกันไม่ใช่เรื่องแปลก...” ทันทีที่พูดจบ หวางซื่อเจียก็ได้ไอก่อนจะกระอักเลือดออกมา
“พี่ซื่อเจีย!” ยู่เฉิงไห่ที่เห็นแบบนั้นรีบร้องเรียก
“ข้าไม่เป็นไร...แม่ทัพเหวินชูคนนั้นไม่สามารถที่จะเอาชนะข้าได้โดยตรง เพราะแบบนั้นเขาเลยลอบโจมตีข้า...ช่างน่ารังเกียจซะจริง!”
ในขณะนั้นเองฮั๊วจงหยางก็รีบเข้ามาในคฤหาสน์ ตัวเขาคารวะก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราได้ค้นหารอบคฤหาสน์ทุกซอกทุกมุมแล้ว เหวินชูในตอนนี้หนีไปแล้วครับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นยู่เฉิงไห่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ตามหาเขาซะ ต่อให้ต้องพลิกเมืองทั้งเมืองหาก็ต้องทำ!”
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก!” ฮั๊วจงหยางรีบโค้งคำนับ
...
ในขณะเดียวกัน ณ ทางตอนเหนือของมณฑลจิง ในตอนนี้มีทหารติดอาวุธกว่าหลายคนกำลังวิ่งหนี
“แม่ทัพเหวิน ทางนี้...ถ้าหากพวกเดินไปทางตามช่องทางหน้าพวกเราจะถึงแม่น้ำสวรรค์แน่ ข้าเตรียมเรือเอาไว้ที่นั่นแล้ว”
ชายชราคนหนึ่งถูกประกบเอาไว้ ชุดเกราะของเขาเสียหายอย่างหนัก ใบหน้าของเขาได้รับบาดเจ็บ ชายคนนี้ก็คือหนึ่งในแปดแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพเหวินชูผู้ปกป้องเมืองมณฑลจิงนั่นเอง
เหวินชูมองไปที่มณฑลจิงก่อนที่จะส่ายหัว “ข้าจะไม่พักจนกว่าจะได้แก้แค้น”
ทันทีที่พูดจบ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นมาจากต้นไม้เหนือทุกคน “ข้าต้องขอโทษด้วย”
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย