286 - ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
286 - ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
จากมุมมองของเอี้ยนลี่เฉียง การซุ่มโจมตีนี้เป็นเหมือนการสังหารหมู่ข้างเดียวมากกว่าสนามรบ
พวกโจรวายุทมิฬที่อยู่ในหุบเขานั้นเหมือนกับสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง พวกเขาไร้อำนาจที่จะต่อต้านทุกคนจะตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่งและสิ้นหวัง
ชีวิตของมนุษย์ในขณะนี้ถูกมองว่าไร้ค่า การเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันสี่จังหวะของเอี้ยนลี่เฉียงคล้ายกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้าและสายน้ำที่ไหลริน
เคาะ ดึง เล็ง และปล่อย ชีวิตของโจรวายุทมิฬเหล่านี้มีค่าเท่ากับลูกธนูเพียงดอกเดียว หากตีเป็นเงินก็มีมูลค่าเพียง 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น
ลูกศรแต่ละลูกที่เอี้ยนลี่เฉียงปล่อยออกมาจะรับประกันได้ว่าดอกไม้สีเลือดจะผลิบานบนร่างของโจรวายุทมิฬอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันก็มีลูกศรยิงมาทางเอี้ยนลี่เฉียงอยู่บ้าง แม้ว่าจะมีบางอย่างที่คุกคามชีวิตของเขา แต่เอี้ยนลี่เฉียงก็สามารถหลบลูกศรเหล่านั้นได้ด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เหนือธรรมชาติ
ต่อจากนั้น การโต้กลับของเอี้ยนลี่เฉียงก็ทำให้กลุ่มโจรวายุทมิฬในหุบต้องนอนหลับตาไปชั่วนิรันดร์
ในอีกด้านหนึ่ง เหลียงอี้เจี๋ยและทหารคนอื่นๆก็กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธในขณะที่ปล่อยฝนลูกธนูลงบนกลุ่มโจรวายุทมิฬที่อยู่ด้านล่างอย่างไร้ความปราณี
แม้ว่าทักษะการยิงธนูของเหลียงอี้เจี๋ยจะไม่ดีเท่ากับของเอี้ยนลี่เฉียง แต่เขาก็ยังสามารถฆ่าคู่ต่อสู้แต่ละคนได้ด้วยการยิงอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์ของเหลียงอี้เจี๋ยในการเลือกเป้าหมายของเขาเหมือนกับของเอี้ยนลี่เฉียง ผู้ที่ใช้ธนูและสามารถโต้กลับได้จะตกเป็นเป้าหมายของเขาทันที
จากการสังหารหมู่ที่เอี้ยนลี่เฉียงและเหลียงอี้เจี๋ยได้ก่อขึ้น ความสามารถในการตอบโต้ของโจรวายุทมิฬเริ่มลดลง ความตั้งใจของพวกเขาในการต่อต้านการโจมตีของศัตรูก็ลดน้อยลงเช่นกัน
โจรวายุทมิฬส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อพวกเขาเห็นเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆอยู่บนที่สูง พวกเขาก็รีบเร่งม้าของตัวเองออกจากช่องเขาและซ่อนตัวอยู่ใต้กำแพงหน้าผาเพื่อไม่ให้ลูกธนูยิงโดน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มโจรวายุทมิฬส่วนใหญ่เริ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้กำแพง เหลียงอี้เจี๋ยและทหารคนอื่นๆก็ผลักก้อนหินที่พวกได้เตรียมการไว้ลงจากยอดเขาทันที
หินบางก้อนก็ใหญ่เท่าลูกฟุตบอลและบางก้อนก็เล็กเท่ากำปั้น หินกลิ้งลงมายังหุบเขาราวกับกำแพงพังทลาย หินหลายพันก้อนกลิ้งลงมาจากความสูงเจ็ดสิบถึงแปดสิบวามันสามารถบดขยี้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างได้ง่ายๆ
สิ่งนี้ทำให้กลุ่มโจรวายุทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กำแพงหน้าผาส่งเสียงคร่ำครวญเพื่อความเมตตา ด้วยเหตุนี้ฉากในหุบเขาเบื้องล่างจึงวุ่นวายมากขึ้น
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่งและความโกลาหล โจรวายุทมิฬต่างก็เร่งม้าของตัวเองให้ออกจากภูเขาให้ได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่โจรวายุทมิฬจะออกพ้นจากหุบเขา พวกเขาก็ตกลงจากหลังม้าด้วยลูกศรของเอี้ยนลี่เฉียงทีละคน พวกเขาทั้งหมดถูกยิงตกจากหลังม้าก่อนที่จะมีโอกาสรอดชีวิต
ฉากนี้ปลุกเร้าความกลัวให้กับกลุ่มโจรวายุทมิฬที่กำลังตื่นตระหนกซึ่งยังคงอยู่กลางหุบเขา พวกเขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่กลับเลือกที่จะถอยหลัง
โจรวายุทมิฬบางคนเริ่มล่าถอยแล้ว!
โดยคนอื่นๆที่รั้งท้ายไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนแรก แต่เมื่อม้าศึกที่อยู่ด้านหน้าควบตะบึงกลับมามันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาตัวรอดจากความชุลมุนครั้งนี้
พวกเขาก็เริ่มล่าถอยด้วยความหวังว่าจะสามารถออกจากหุบเขาที่อันตรายแห่งนี้ได้ เมื่อกลุ่มโจรวายุทมิฬที่ด้านหลังถอยกลับ คนที่อยู่ข้างหน้าและตรงกลางก็เริ่มถอยกลับอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
ทันทีที่ถอยกลับก็กลายเป็นการหนี โจรวายุทมิฬที่ยังมีชีวิตอยู่เริ่มหันหลังให้ขณะที่พวกเขามุ่งหน้ากลับสู่เส้นทางที่จากมาอย่างสิ้นหวัง
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงใช้คันธนูงูเหลือมเขายิงสังหารโจรวายุทมิฬอย่างต่อเนื่อง ในเหตุการณ์ครั้งนี้เขาสามารถยิงสังหารโจรวายุทมิฬได้มากกว่า 70 คนในครั้งเดียว
ขณะที่กลุ่มโจรเฝ้าดูสหายของพวกเขาล้มลงอย่างต่อเนื่องเหมือนทุ่งข้าวฟ่างที่ถูกเก็บเกี่ยว ความกลัวของโจรวายุทมิฬก็ยิ่งปะทุออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
ไม่มีใครอยากตาย ในสถานการณ์เช่นนี้ โจรวายุทมิฬที่แนวหน้าจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างแล้วหันหลังกลับ เริ่มต้นหลบหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยความทรมานจากความกลัวเช่นนี้มันคงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครบางคนสามารถประคับประคองสติของตัวเองให้เป็นปกติได้
ถ้าเปรียบพวกโจรวายุทมิฬกับโดมิโนที่วางไว้ในหุบเขาแล้ว ลูกธนูแห่งความตายของเอี้ยนลี่เฉียงก็คือมือที่ผลักโดมิโนตัวแรกให้ล้มลงไป
ในหุบเขาแคบๆด้านล่าง โจรวายุทมิฬที่หลบหนีได้ใช้ดาบของพวกเขาแทงที่สะโพกของม้าแรดของตัวเองเพื่อให้มันเกิดความบ้าคลั่งแล้วทะลวงออกจากหุบเขาให้เร็วที่สุด
ในสถานการณ์เช่นนี้ โจรวายุทมิฬจำนวนมากที่กระโดดลงจากหลังม้าเพื่อหาที่กำบังก็ตกเป็นเหยื่อของกีบเหล็กที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยที่พวกเขาไม่มีที่หลบซ่อน
หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงยิงลูกธนูหมดไป 3 กระบอกก็ไม่มีกลุ่มโจรวายุทมิฬลงเรืออยู่ในช่องเขาอีกต่อไป ผู้รอดชีวิตที่เหลือหันต่างก็หันหลังและควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เอี้ยนลี่เฉียงยืนขึ้นพร้อมกับคันธนูในมือ เขาวิ่งลงมาจากยอดเขาและยังคงไล่ตามสังหารกลุ่มโจรวายุทมิฬที่รั้งท้ายกลุ่ม
“ลูกธนู…”
เอี้ยนลี่เฉียงตะโกนขณะที่เขาวิ่งไปยังแนวซุ่มโจมตีที่เหลียงอี้เจี๋ยและทหารคนอื่นๆตั้งอยู่
โดยไม่ชักช้าทหารคนหนึ่งได้ขว้างกระบอกธนูสำรองของพวกเขาไปให้เอี้ยนลี่เฉียง เมื่อได้ลูกธนูแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็วิ่งไล่ตามกลุ่มโจรวายุทมิฬพร้อมกับยิงธนูอย่างต่อเนื่อง
“พี่น้อง ไปฆ่าพวกมัน…” ทหารคนอื่นๆก็ร้อนรุ่มเช่นกัน
เช่นเดียวกับเอี้ยนลี่เฉียงพวกเขาหยิบคันธนูและหน้าไม้ขึ้น พวกเขาออกจากที่ซ่อนจากนั้นก็ไล่ตามลงมาข้างล่างและยิงธนูสังหารโจรที่หลงเหลืออยู่
โจรวายุทมิฬด้านล่างถูกสังหารจนเสียงกรีดร้องของพวกเขากระจายไปทั่วอากาศ
ทหารทั้งหมดเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่พวกเขามองดูโจรวายุทมิฬที่กำลังถูกไล่ล่าสังหาร
เมื่อพวกเขาหันไปมองซากศพสีดำที่คล้ายกับกองมูลวัวที่เรียงรายตามทางเดินในหุบเขา พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องออกมา
“เราชนะ เราชนะ...”
“ในที่สุดเราก็ได้แก้แค้นให้พี่น้องของเราแล้ว…”
ทหารอีกคนก็รีบตะโกนออกมาด้วยความร้อนรน
“ม้าแรดเหล่านั้นที่ยังหลงเหลือในหุบเขามีค่าไม่น้อยพวกเราจับมันมาให้หมด…”
……
“หัวหน้าเอี้ยน มีโจรบางคนที่ยังไม่ตาย…!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากบริเวณใกล้เคียงเอี้ยนลี่เฉียงก็สั่งให้ทหารองครักษ์คนนั้นนำทางไปทันที
โจรวายุทมิฬคนนั้นกำลังนอนอยู่ที่พื้น เสียงคร่ำครวญของเขาแทบไม่ได้ยิน ข้างๆเขาเป็นหินขนาดประมาณแอ่งที่กลิ้งลงมาจากภูเขาเมื่อครู่นี้
มีร่องรอยของเลือดอยู่บนก้อนหิน และขาขวาของโจรวายุทมิฬก็บิดเบี้ยวไม่สามารถรักษาสภาพเดิมไม่ได้
ทหารคนหนึ่งเดินมากระซิบกับเอี้ยนลี่เฉียง
“เราคิดว่าชายคนนี้ตายแล้วและกำลังจะลากร่างของเขาออกไปไม่คิดว่าเขาจะร้องคร่ำครวญออกมา…”
“พวกมันมีความทรหดอย่างยิ่ง!”
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็นั่งยองๆต่อหน้าโจรวายุทมิฬพร้อมกับดึงถุงผ้าออกจากศีรษะของฝ่ายตรงข้าม