286 - ข้อคิดจากทหารผ่านศึก
286 - ข้อคิดจากทหารผ่านศึก
ใต้ผ้าคลุมหน้า ใบหน้าของชายชาตูมีหนวดเคราครึ้มในวัยสามสิบก็ถูกเปิดเผย
“ด-อย่า… ฆ่าข้า…”
ชายชาตูที่กำลังคร่ำครวญลืมตาขึ้น เขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงและพูดเป็นภาษาฮั่น
“เจ้ารู้ภาษาเราได้อย่างไร!”
“มี...ภรรยาและลูกชายที่รอ...บ้าน…” ชายชาตูยังคงอ้อนวอนทั้งน้ำตา
“โอ้ อย่างนั้นหรือ?”
เอี้ยนลี่เฉียงยืนขึ้นแล้วหยิบดาบสั้นของชายชาตูขึ้นจากพื้น
ดวงตาของชายชาตูเต็มไปด้วยความสยดสยอง
“ได้โปรด… ได้โปรด… ขอร้อง… พวกเจ้าชาวฮั่นนับถือพระโพธิสัตว์!”
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาค่อนข้างเยือกเย็น
“พวกเจ้าชาวชาตูเป็นมนุษย์ แล้วพวกเราชาวฮั่นไม่ใช่มนุษย์หรือไง? ตอนที่พวกเจ้าฆ่าพวกเราเจ้าเคยคิดถึงพระโพธิสัตว์หรือไม่?
ตอนนี้เมื่อมีดอยู่ในมือของข้าและกำลังจะฆ่าเจ้าเจ้ากลับเอ่ยอ้างพระโพธิสัตว์ขึ้นมาหาประโยชน์อะไร? ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีชาวฮั่นของเราตกเป็นเหยื่อคมดาบของเจ้ามากมายเท่าไหร่?
ต่อให้ตัวเจ้าเองก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เวลาเจ้าฆ่าพวกเราชาวฮั่นเจ้าเคยเมตตาสักครั้งหรือไม่?
ชื่อเสียงของโจรวายุทมิฬสร้างขึ้นจากการทำลายล้างพวกเราชาวฮั่น ข้าเกรงว่าเมื่อข้าปล่อยเจ้าไปแม้แต่สวรรค์ก็คงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
เอี้ยนลี่เฉียงถ่มน้ำลายพร้อมกับฟันดาบใส่ลำคอของโจรวายุทมิฬคนนั้น
เลือดสีแดงสดชุ่มทรายสีเหลืองบนพื้นทันที
เอี้ยนลี่เฉียงเตะหัวของโจรวายุทมิฬและโยนดาบทิ้งไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็มองไปที่ทหารที่ยืนอย่างตกตะลึง ทุกคนเหม่อมองเขาด้วยสายตาสับสน
“พวกเจ้ารู้สึกสงสารมันอย่างนั้นหรือ? คนพวกนี้เป็นสุนัขที่เลวทรามแม้จะเปรียบเทียบกับสัตว์พวกมันก็ไม่อาจเทียบได้
ในทางกลับกันถ้าพวกเจ้าตกอยู่ในมือของพวกมันเจ้าคิดว่าตัวเองจะมีจุดจบที่ดี?
กระจายคำสั่งของข้าออกไปไม่ว่าโจรที่นอนอยู่บนพื้นจะตายแล้วหรือไม่พวกเจ้าต้องกำนันให้พวกมันคนละหนึ่งมีด …”
เหล่าทหารต่างชำเลืองมองและตอบรับอย่างหนักแน่น
“เข้าใจแล้ว!”
ทหาร 4-5 คนเดินออกไปจัดการสนามรบ พวกเขาจดจำคำสั่งของเอี้ยนลี่เฉียงได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าโจรวายุทมิฬพวกนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่พวกเขาต่างก็ชักดาบของตัวเองออกมาแทงแต่ร่างกายของโจรเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล
เอี้ยนลี่เฉียงที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างได้แต่ส่ายหัวทอดถอนใจ
ทหารที่ติดตามซุนปิงเฉินในครั้งนี้เป็นทหารจากเมืองหลวงของจักรวรรดิทั้งหมด หลายคนอาจไม่เคยต่อสู้ในสนามรบจริงมาก่อน
ทหารราชองครักษ์เหล่านี้อาจไม่ด้อยกว่าทหารผ่านศึกในแคว้นกานหรือแคว้นหลันในแง่ของศิลปะการต่อสู้
แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ที่โหดร้ายที่ทหารผ่านศึกได้ประสบมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงขาดความแข็งแกร่งและจิตใจที่อำมหิต
หากเป็นทหารจากแคว้นกานทำความสะอาดสนามรบ พวกเขาจะจบชีวิตของโจรวายุทมิฬที่นอนอยู่บนพื้นโดยไม่ต้องรายงานขึ้นไปเบื้องบนและไม่มีความลังเลใจใดๆ
ส่วนมากแล้ววิธีที่พวกเขาใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการใช้ดาบตัดศีรษะของโจรเพื่อเอาไปขึ้นเงินรางวัล
แม้ว่าในระหว่างการเดินทางพวกเขาจะไม่สามารถพกพาศีรษะของศัตรูได้อย่างน้อยการตัดศีรษะของศัตรูก็ถือเป็นการรับประกันได้ว่าคนคนนั้นจะตายอย่างแน่นอน
ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดนี้เอี้ยนลี่เฉียงล้วนได้รับมาจากทหารที่อยู่ในย่านโรงตีเหล็กของเฉียนซู
ตอนที่เขายังอยู่ที่นั่น กฎเหล่านี้ยังเป็นกฎเกณฑ์ที่สืบทอดกันในหมู่ค่ายทหารและทหารในภาคตะวันตกเฉียงเหนือมาหลายร้อยปี
เบื้องหลังกฎเกณฑ์และประสบการณ์เหล่านี้คือบทเรียนมากมายที่เปื้อนเลือดและน้ำตา
ทหารองครักษ์ที่ติดตามซุนปิงเฉินมาที่นี่ยังค่อนข้างใจอ่อนอยู่มาก พวกเขาเทียบไม่ได้กับคนที่เกิดและโตในชายแดนอย่างทหารแคว้นกาน
ถึงกระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคย เมื่อเห็นว่าทหารลงมือตามคำสั่งของเขาแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็พยักหน้าอย่างเพิ่งพอใจ
ทหารองครักษ์ที่เหลือต่างก็เดินเข้าไปในหุบเขาเพื่อเก็บลูกธนูที่ยังไม่เสียหายกลับมาใช้ใหม่
ในทางกลับกันเหลียงอี้เจี๋ยได้นำทหารหลายคนไปล้อมม้าแรดไร้คนขับที่เดินเตร่ไปมาในหุบเขา
แม้ว่าโจรวายุทมิฬไม่ได้พกเงินติดตัวเมื่อพวกเขามาทำงาน แต่ม้าแรดของพวกเขาก็มีค่ามาก ไม่เพียงเท่านั้นอาวุธของชาวชาตูพวกนี้ยังมีคุณภาพมากกว่าอาวุธของทหารฮั่นเสียอีก
เมื่อทุกคนทำความสะอาดสนามรบเสร็จแล้ว เวลาก็ผ่านไปทั้งเช้า พระอาทิตย์ขึ้นสูงบนท้องฟ้าแสดงว่าใกล้เที่ยงแล้ว
หลังจากการนับครั้งสุดท้าย ทุกคนพบม้าแรดไร้คนขับจำนวน 190 ตัวในหุบเขาบนภูเขา ศพของโจรวายุทมิฬ 260 ศพ และอาวุธเกือบ 200 ชิ้น ทั้งดาบและธนู
พวกเขายังพบลูกศรสองหรือสามพันลูกที่ยังคงใช้งานได้ หลังจากได้รับคำสั่งของเอี้ยนลี่เฉียง โจรวายุทมิฬหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกตัดศีรษะออกมาทั้งหมด
ในการต่อสู้ครั้งนี้มีทหารบาดเจ็บทั้งหมด 17 คน พวกเขาทั้งหมดถูกถูกยิงด้วยลูกศรเมื่อโจรวายุทมิฬตอบโต้จากด้านล่างของหุบเขา
ในหมู่พวกเขาสิบสองคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และสี่คนได้รับบาดเจ็บปานกลาง หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส แต่โชคดีที่เขายังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้
มีเพียงสองคนที่เสียชีวิตในการต่อสู้จากการถูกยิงโดยไม่ได้ตั้งใจในส่วนสำคัญของร่างกายและไม่สามารถช่วยชีวิตได้
ทหารหลายคนมองดูเอี้ยนลี่เฉียงอย่างเงียบๆ ความเคารพที่ทุกคนมีต่อเขานั้นพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดแล้ว
เอี้ยนลี่เฉียงคือบุคคลที่เสนอให้ซุ่มโจมตีกลุ่มโจรวายุทมิฬ ระหว่างการสู้รบเอี้ยนลี่เฉียงยังเป็นคนที่ฆ่าศัตรูส่วนใหญ่และทำให้พวกโจรวายุทมิฬเสียสติได้มากที่สุด
เมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงยังคงสามารถชักคันธนูและสังหารโจรวายุทมิฬที่อยู่ก้นหุบเขาด้วยการยิงทุกครั้งทหารทุกคนก็ยกย่องเขากลายเป็นเทพสงครามไปแล้ว
ท่านซุนมีสายตาที่เฉียบแหลมถึงกับค้นหาคนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ออกมาได้!
นั่นคือสิ่งที่ทหารส่วนใหญ่คิดอยู่ในใจ
“ทุกคนต่อสู้อย่างกล้าหาญกับศัตรูในวันนี้ ชัยชนะอันน่าทึ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความพยายามของทุกคน”
เมื่อมองไปที่ของที่ริบมาได้และความสำเร็จ ซุนปิงเฉินก็ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนในขณะที่เขามองไปที่ฝูงชนด้วยสายตาที่เร่าร้อนและพูด
“ไม่จำเป็นต้องส่งของที่ริบมาได้ในครั้งนี้ พวกเจ้านำไปแบ่งปันกันเอง เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงข้าจะรายงานเรื่องความสำเร็จของพวกเจ้าให้ฝ่าบาททราบ”
ทหารทั้งหมดส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ ความเศร้าโศกในช่วงสงครามถูกกวาดออกไปจนหมดสิ้น ...
หลังจากพูดทั้งหมดนี้ ซุนปิงเฉินก็มองเอี้ยนลี่เฉียงอีกครั้งด้วยสายตาที่เปี่ยมความหมายและความชื่นชม...
ในขณะนี้เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาต้องการทหารม้า 200 คนติดตามเขาออกไปไล่สังหารโจรวายุทมิฬเหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมดของแคว้นกาน
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักว่าในขณะนี้อีกตัวตนหนึ่งของเขากำลังตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ สิ่งที่คนคนนั้นต้องการคือกองทัพอันยิ่งใหญ่เพื่อปราบกลียุคในโลกใบนี้
ในทันใดนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาหันศีรษะกลับไปและเห็นเย่เทียนเฉิงเฝ้าดูเขาจากระยะไกลด้วยสายตาที่สั่นคลอน
เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงหันศีรษะมาทางเขา เขาก็ลดสายตาลงและเงียบอีกครั้ง...