ตอนที่ 1673 วาจาลวงโลกกลายเป็นความจริง
ตอนที่ 1673 วาจาลวงโลกกลายเป็นความจริง
(จบของ ท่านต้นสนน้อย)
ไม่เพียงแต่เฟ่ยจื่อถูจะคิดกันเช่นนี้เท่านั้น แม้แต่เหล่าเบื้องสูงตำหนักเงาจันทราที่หันไปสวามิภักดิ์ต่อพรรคปราณผีดิบก็ยังคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่ละคนก็ล้วนแต่ทอสีหน้าประหลาดพิกลหันไปเหม่อมองเฉียนถง แววตานั้นที่คล้ายกับกำลังมองบุรุษหนุ่มที่พึ่งจะเข้ามาโลดโผนในยุทธภพโดยที่ยังไม่แม้แต่ทราบฟ้าสู้แผ่นดินต่ำได้ถึงเพียงใด
ฟางฟงฉีเพียงหัวเราะออกมาฮาฮา: “ไอ้แก่แกก็อย่าได้พร่ำทำเป็นว่ากล่าววาจาใหญ่โตไป ในเมื่อลมปากรุนแรงถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันแล้วหรือไงกัน?”
เฉียนถงยังคงทอแววตาเย็นเยียบออกมาเท่านั้น แต่กลับหาได้มีความตั้งใจที่จะให้เขาตอบกลับไปไม่ เพียงแต่หันเหความสนใจมองไปยังบนร่างของผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทราพวกนั้น
อีกทางด้านหนึ่ง เหว่ยกู่ชางก็พลันทอสีหน้าเตรียมพร้อม จากนั้นก็ได้ขยับปากไปมาคล้ายกับคิดที่จะกล่าวอะไร แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงอดกลั้นเอาไว้
เขาเองก็อยากจะป่าวประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงดังกึกก้องไปว่า ผู้อาวุโสสูงสุดได้อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันแล้ว เขาเองก็อยากที่จะเห็นเหมือนกันว่า
เจ้าพวก [1] หญ้าบนยอดกำแพงที่จะโอนเอนไปตามทิศทางลมพวกนี้หากทราบเรื่องว่าเป็นเยี่ยงนี้ จะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรกันบ้าง
[1] สำนวนจีนที่ตรงกับคำว่า "นกสองหัว" เพราะหญ้ายอดกำแพงมันล้มเอนลงมาได้ทั้งสองฝั่ง
คาดว่าคงจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจเลยมิใช่หรอกหรือไง?
กระนั้นในเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ยังไม่คิดที่จะตอบกลับ เหตุไฉนตัวเองไยจึงยังต้องรีบไปเปิดโปงเองด้วย? รอจนพวกเขาได้พบเห็นพลังความสามารถที่สะท้านฟ้าของผู้อาวุโสสูงสุดไปแล้ว ก็ย่อมต้องเข้าใจว่าตัวเองนั้นได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ไปถึงเพียงใดกันได้แล้ว
บนแท่นเวทีสูง เฉียนถงก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ: “ข้าจะให้เวลาแก่พวกเจ้าเพียงสามสิบช่วงลมหายใจ ก็จงใคร่ครวญกันให้ดี! หลังพ้นสามสิบช่วงลมหายใจ ข้าผู้ชราจะเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดท่านอย่าได้ข่มเหงกันเกินไปนัก!”
“ตาแก่เฉียนเจ้าใช่ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตากันเกินไปแล้ว?”
“ต่อให้แม้ในวันวานเจ้าจะเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแล้วจะอย่างไร? ก็ยังคงเป็นเพียงชนชั้นแมลงได้เท่านั้น แล้วจะให้พวกเรากระทำอัตวินิบาตตัวเองได้อย่างไร หากต้องการชีวิตของพวกเรา ก็มาหยิบฉวยเอาเองเถอะ!”
“มิผิด วันนี้หากเฉียนถงเจ้าลงมือในที่แห่งนี้ ก็อย่าได้โทษว่าพวกเราไม่เกรงใจกันแล้ว”
คนกลุ่มนี้ยิ่งมาก็ยิ่งแผ่ซ่านคลื่นพลังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญก็คือด้วยท่าทีของเฉียนถงแทบจะเรียกได้ว่าทำให้ผู้คนดูหงุดหงิดใจกันมากจนเกินไปแล้ว
ทำอย่างกับว่าเขานั้นคือขอบเขตกำเนิดราชันไปเสียได้? ยังไงก็แค่การกล่าวออกมาแค่ลมปากเท่านั้น ยังต้องการให้พวกเขาทำการอัตวินิบาตตัวเองอีกงั้นเรอะ?
หลายปีมานี้ที่แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ทราบว่าได้ไปเก็บตัวอยู่ในสถานที่แห่งใด ดูเหมือนว่าคงจะบ่มเพาะจนสมองเลอะเลือนกลับตาลปัตรไปกันหมดแล้ว
เฉียนถงหลับตาลง กลับหาได้มีความต้องการที่จะไปปะทะคารมกับพวกเขาไม่
แต่กลับเป็นเสี่ยเฉิงที่ตกอยู่ในสภาพไร้แขนสิ้นขากองอยู่บนพื้นในสภาพที่ยังมีลมหายใจอยู่ ที่คล้ายกับตกอยู่ในอาการสติเลอะเลือนไปกันแล้ว เรียกกันได้ว่าเสมือนกับถูกเคี่ยวกรำทั้งกายใจ
เขายังคงหัวเราะหึหึขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ อีกทั้งเสียงหัวเราะนั้นเมื่อกระทบเข้าโสตของเหล่าผู้คน ถึงขั้นที่ทำให้เกิดอาการขนลุกขนพองขึ้นมาเลยทีเดียว
“ช่างน่ารำคาญเสียจริง!” ฟางฟงฉีเพียงส่งเสียงไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างเย็นชา สะบัดมืออยู่ในลักษณะฟันเข้าไปยังภายในความว่างเปล่า
การโจมตีที่มาจากคมดาบสายหนึ่งพลันฟาดฟันเข้ามา พร้อมทั้งฟันเข้าใส่บนแท่นเวทีสูง จนผ่าเสี่ยเฉิงที่อยู่ในสภาพที่อเนจอนาถจนขาดเป็นสองเสี่ยงไปในทันที
“พวกเจ้าล้วนแต่ต้องตาย……พวกเจ้ามีแต่ต้องตายสถานเดียว!” ภายหลังที่มีเสียงตะโกนดังมาจากเสี่ยเฉิงดังสองครั้งสองครา สุดท้ายแล้วก็ได้หายลับไปในพร้อมกับอากาศธาตุ
ฟางฟงฉีพลันมีสีหน้าประหลาดใจกันออกมา จากนั้นก็ได้หันไปมองศพของเสี่ยเฉิงด้วยแววตาที่โกรธเกรี้ยว พร้อมทั้งสบถออกมาอย่างเย็นชา : “ความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จกลับมีได้ไม่พอ แต่ความสามารถในการบ่อนทำลายงานนั้นมีอยู่อย่างเหลือเฟือเสียเหลือเกิน!”
สนับสนุนต้นฉบับที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com นะคะ
ในหมู่คนทรยศของตำหนักเงาจันทรา ความสามารถของเสี่ยเฉิงย่อมมิใช่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว แต่เขากลับถือเป็นคนที่มีความคิดความแผนที่หนักแน่นได้มากที่สุด
ดังนั้นฟางฟงฉีจึงค่อยได้สนับสนุนให้เขาได้ขึ้นเป็นจ้าวตำหนัก โดยการใช้ประโยชน์จากวิชาลับที่หัวหน้าพรรคถ่ายทอดมาให้เพื่อเพิ่มพูนการบ่มเพาะให้แก่เขา จนทำให้เขาสามารถเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามได้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่านี้กลับยังคงสูญเปล่า ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฆ่าสองชนชั้นผู้เยาว์ของตำหนักเงาจันทราได้ตามแผนการ เพื่อชิงถาดจันทร์ฟ้าเงินกลับมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกผู้คนตัดแขนตัดขา จนถูกโยนกลับมาจนมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากสุนัข
บุคคลเช่นนี้ แม้ว่าจะเก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว
ในเวลาเช่นนี้ บนแท่นเวทีสูงก็พลันเกิดเป็นประกายแสงแลบขึ้นอีกครั้ง หยางไคก็ได้พาซูเหยียนและเซี่ยหนิงซางปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน
คราแรกที่ได้พบเห็นสภาพที่น่าสังเวชของเฟ่ยจื่อถู หยางไคก็ถึงกับจิตใจระส่ำระสาย พร้อมทั้งรีบคุกเข่าย่อกายลง ไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์เข้าตรวจสอบทันที
“หยางไค เจ้าเองก็มาแล้ว” เฟ่ยจื่อถูจึงค่อยฉีกยิ้มออกมาได้ บนใบหน้าถึงกับยังได้ปรากฏเค้าความอบอุ่นและตื้นตันออกมา
สิ่งที่ชั่วชีวิตของตัวเองนี้ไม่อาจคำนวณออกมาได้ ก็คงจะเป็นภายใต้ห้วงวิกฤติคับขันที่สุด ไม่แต่เพียงจะมีตาแก่เฉียนที่กอบกู้สถานการณ์พาผู้เยาว์ทั้งสองกลับมาช่วยเหลือตัวเองแล้ว แม้กระทั่งหยางไคเองก็ได้มาด้วยแล้ว
แม้แต่ผู้ที่มีจิตใจชายชาตรีที่ไม่ต่างอะไรไปจากเหล็กกล้าอย่างเฟ่ยจื่อถู ภายในดวงตาก็ยังอดมิได้ที่จะเกิดความชุ่มฉ่ำขึ้นบ้างแล้ว
และเมื่อในยามที่ซูเหยียนและเซี่ยหนิงซางทั้งสองคนได้ปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกัน ทั่วทั้งฟ้าดินคล้ายกับได้แปรเปลี่ยนจนเป็นสว่างไสวขึ้นมามากอักโข
เหล่าชนชั้นเบื้องสูงผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทราที่คล้ายกับว่าแต่ละคนต่างก็ไม่อาจที่จะละสายตาไปจากสตรีทั้งสองตากันได้เลย ในบางครั้งบางคราวยังถึงกับกล่าวเชยชมถึงออกมาโดยที่ไม่ทันรู้ตัว อีกทั้งยังแตกตื่นในความงดงามที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเลิศล้ำพลิกโลกาเยี่ยงนี้ได้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดั่งนางฟ้ามิพึงสมควรอยู่ในโลกมนุษย์กันเลยทีเดียว
ฟางฟงฉีถึงกับยิ่งเผยแววตาน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าออกมา สองตาได้จับจ้องมองซูเหยียนและเซี่ยหนิงซางอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกทั้งยังมองกวาดไปกวาดมา จนเกิดเป็นความใคร่คิดครอบครองที่สะสมจนแข็งกร้าวขึ้นภายในส่วนลึกของแววตา คล้ายกับได้พบพานกับอาหารอันโอชะเลิศภพจบแดนก็มิปาน แลบลิ้นเลียริมฝีปากวนเวียนไปมาอยู่หลายต่อหลายรอบ แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังกระชั้นชิดจนคล้ายกับเป็นโรคหอบ
“ผู้อาวุโสเฟ่ย อาการบาดเจ็บท่าน……” หยางไคที่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ถึงกับขมวดคิ้วจนแน่น กล่าวพลางลังเลไปพลาง
เฟ่ยจื่อถูเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วจึงค่อยรีบลุกขึ้นยืน
“หาได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรไม่” หยางไคยิ้มน้อยๆ : “เพียงแค่ถูกผนึกปิดกั้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ก็เท่านั้น พร้อมกับมีบาดแผลตามผิวหนังชั้นนอกบางส่วนก็เท่านั้น”
“ทำให้ข้าผู้เฒ่าตกใจกันเกือบตายแล้ว!” เฟ่ยจื่อถูก็ได้ถอนหายใจออกมายาวๆ โดยที่ไม่แม้แต่ต้องใคร่ครวญเลยด้วยซ้ำ: “อือ การที่เขาละเว้นสังขารข้านี้ไว้ย่อมต้องเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์แน่นอน ย่อมไม่มีทางที่จะทำลายรากฐานของข้าไปอยู่แล้ว”
“ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย ผู้อาวุโสเฟ่ยมิจำเป็นต้องเป็นห่วงไป ศิษย์น้องหญิงตัวน้อย ท่านยังมีโอสถปราณใดที่เหมาะสมกับเขาในตอนนี้บ้างหรือไม่?” หยางไคก็ได้หันกลับไปเหม่อมองเซี่ยหนิงซาง
เซี่ยหนิงซางก็ได้หยิบขวดหยกออกมาจากข้างในแหวนมิติของตัวเอง แล้วยื่นให้หยางไค
หยางไครับเข้ามา พร้อมทั้งเปิดฝาขวดออก พร้อมกับมียาโอสถสีแดงเข้มเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมา
เฟ่ยจื่อถูแทบจะหาได้หันกลับมามองไม่ เพียงแต่ดึงเข้ามาในทันที จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปาก
ชั่วพริบตานั้นเอง เขาก็ถึงกับต้องกลอกตาไปมาพร้อมกับถลึงตามองเข้ามา จากนั้นก็ได้โพล่งออกมาด้วยอาการแตกตื่น: “นี่มัน……”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นเวทีสูงทันที โคจนไหลเวียนพลังอันลึกล้ำ แปรผันฤทธิ์ยา ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ภายในร่างกายของเฟ่ยจื่อถูก็พลันเกิดเป็นพลังอันมหาศาลที่เข้มข้นไหลล้นทะลักออกมา จนบาดแผลที่เกิดขึ้นกับภายนอกร่างกายก็ได้สมานแผลฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อได้สบตามองกัน ถึงกับต้องรู้สึกทึ่งในใจ
มีอย่างที่ไหนที่พวกเขายังมองไม่ออกกันอีกว่า ว่าเมื่อครู่นี้ที่เซี่ยหนิงซางพึ่งนำโอสถยาออกมาจะเป็นถึงโอสถปราณที่จัดอยู่ในระดับหวนกำเนิดชั้นสูง จนมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเหนือกว่าระดับหวนกำเนิดแล้วก็ได้ มิเช่นนั้นฤทธิ์ยาก็คงจะไม่สามารถส่งผลของฤทธิ์ยาออกมาได้โดดเด่นถึงขนาดนี้กันแล้ว
โอสถที่อยู่ในระดับเหนือกว่าหวนกำเนิดชั้นสูง จะบอกว่าเอาออกมาก็เอาออกมาได้เลย เหว่ยกู่ชางเองก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งได้
“ขอบคุณน้องสะใภ้มากแล้ว!” เหว่ยกู่ชางก็ได้หันไปผสานมือกันจนแน่น และต่งเชวียนเอ่อเองก็ได้เข้ามากล่าวขอบคุณเช่นเดียวกัน
ใบหน้าน้อยๆ ของเซี่ยหนิงซางถึงกับแดงขึ้นเล็กน้อยภายในพริบตา จากนั้นก็ได้หันไปมองหยางไค พร้อมกับขบริมฝีปากแล้วกล่าว: “ศิษย์พี่ท่านนี้ก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสเฟ่ยถือเป็นผู้มีพระคุณของศิษย์น้อง ก็เหมือนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา นี่ยังเป็นแค่เพียงโอสถปราณเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ยังไม่ถือเป็นอย่างไรได้”
“พี่หยาง นับว่ามีวาสนาที่เลิศล้ำยิ่งนัก!” เหว่ยกู่ชางก็ได้หันไปขยิบตาให้กับหยางไค อีกทั้งยังสื่อถึงความหมายที่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาซึ่งสามารถควงซ้ายกอดขวาได้อยู่บ้างแล้ว
“ไปจับตัวสตรีทั้งสองนางนั้นมา พวกนางนับว่าเป็นสมบัติของข้าผู้เป็นเจ้าสำนักแล้ว!” ทันใดนั้นฟางฟงฉีก็ได้ตะโกนขึ้นเสียงดังกังวาน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงโฉมสะคราญอย่างซูเหยียนกับเซี่ยหนิงซางที่แทบจะทำให้เขาไม่อาจละสายได้เลย ยิ่งหากเอ่ยถึงการที่เซี่ยหนิงซางสามารถหยิบฉวยโอสถปราณเช่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาได้แล้ว
บนดาวอนันตกาล โอสถที่อยู่ในระดับเหนือกว่าหวนกำเนิดชั้นสูงนับว่าหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกทุกข์ร้อนจนอดไม่ได้ที่จะมีความตั้งใจจะครอบครองซูเหยียนและเซี่ยหนิงซางมาอยู่ในกำมือให้ได้ ขอเพียงได้ตัวมา เช่นนั้นสมบัติภายในแหวนมิติของพวกนางก็จะต้องตกเป็นของตัวเองแล้ว
หยางไคก็ได้หันไปมองเขาด้วยแววตาที่เยือกเย็น อีกทั้งยังเป็นแววตาที่คมกล้าดุจคมดาบ สาดเป็นประกายความหนาวเหน็บออกมา
ฟางฟงฉีที่ยังไม่ทันสลัดความคิดออกจากหัว ก็พลันรู้สึกเกิดความสยดสยองขึ้นมาโดยไม่ทราบสาหัส คล้ายกับว่าอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะคุกคามชีวิตของตัวเองกันได้เลย
“ครบสามสิบช่วงลมหายใจแล้ว!”
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นเฉียนถงก็ได้ลืมตาขึ้นมา ความหนาวเหน็บได้กระจายออกไปโดยรอบ พร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชา: “ในเมื่อพวกเจ้าล้วนแต่ไม่คิดที่จะทำอัตวินิบาตตัวเอง เช่นนั้นข้าผู้ชราก็คงต้องเป็นคนส่งพวกเจ้าไปสู่ปรภพแล้วล่ะ!”
กล่าวจบ ก็ได้เกิดเป็นพลังทำลายล้างที่น่าตกใจสาดกระจายออกมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเป็นพลังอันมหาศาลที่สามารถใช้เพียงตาเปล่าก็มองเห็นได้ โดยที่กำลังกระจายตัวพุ่งเข้ามาจากทางด้านหน้าอยู่อย่างบ้าคลั่ง
อำนาจจักรพรรดิ!
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจจักรพรรดิของขอบเขตกำเนิดราชัน!
ผู้ทรยศนับสิบกว่าคนของตำหนักเงาจันทรถึงกับมีหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที แยกย้ายกันกระตุ้นเขตพรมแดนกองกำลังที่มาจากภายในกายของตัวเองเพื่อเสริมเข้าเป็นพลังเข้าต้านทาน
แต่เขตพรมแดนกองกำลังของพวกเขาเมื่อตองตกมาอยู่เบื้องหน้าอำนาจจักรพรรดิของเฉียนถง ก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องตลกอยากการใช้ไข่ทุบไปที่หิน แทบจะไม่ได้มีความสามารถพอที่จะต้านทานหรือสลายสภาวะลงได้เลย
เพียงพริบตาเดียว ผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดนับสิบคนต่างก็เลือดสาดกระจายจนต้องถอยหลังล้มลง อีกทั้งยังมีใบหน้าที่ซีดเผือด
ความแข็งกล้าของอำนาจจักรพรรดิได้เข้ามารายล้อมพวกเขาเอาไว้ ภายในอำนาจจักรพรรดิยังได้มีการไหลเวียนของลมปราณที่ทะลักออกมาในสภาพของวายุ
นั่นก็คือพลังอันมหาศาลที่มีแต่เพียงอำนาจจักรพรรดิของเฉียนถงแต่เพียงผู้เดียว!
พลังวายุได้รวมตัวกันจนเกิดเป็นคมดาบ เริ่มก่อตัวขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
เสียงกรีดร้องได้พลันดังขึ้น ดังออกมาอย่างต่อเนื่องมิขาดสาย ผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดนับสิบคนนั้นที่ถูกอำนาจจักรพรรดิรายล้อมเอาไว้ เสมือนกับกำลังถูกพลังธรรมชาติเข้าลงทัณฑ์ในบาปที่มหันต์ของตัวเอง จนเกิดเป็นคมวายุกรีดเข้าไปที่ผิวหนังของพวกเขากันอย่างบ้าคลั่ง กรีดจนทำให้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด ทั้งเลือดทั้งเศษเนื้อลอยกระจุยกกระจาย
“ขอบเขตกำเนิดราชัน!” ทุกผู้คนล้วนแต่แผดเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นฟางฟงฉีผู้นั้นยังแทบจะตาถล่นออกมาจากเบ้าไปเสียแล้ว ทั้งมือทั้งเท้าสั่นเทิมเหม่อมองเฉียนถงด้วยความเดือดดาล ส่วนลึกในใจดั่งถูกน้ำแข็งเข้าเกาะกุม
เดิมทีที่คิดว่าเป็นเพียงวาจาน่าขบขัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เอื้อนเอ่ยมาทุกอย่างจะเป็นความจริง เฉียนถงถึงกับอยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันแล้วอย่างแท้จริง!
“ผู้อาวุโสสูงสุดไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดไว้ชีวิตด้วย!”
หากย้อนกลับไปถึงฉากที่เกิดขึ้นอยู่ภายในเมืองเทียนหยวนก่อนหน้านี้ กับบัดนี้ที่ผู้ทรยศสำนึกได้ว่าไม่อาจที่จะต้านทานพลังความแข็งกร้าวของเฉียนถงได้ ก็ได้แยกย้ายกันคุกเข่าวิงวอนขอร้อง จนถึงขั้นที่ไม่นึกถึงสิ่งที่เรียกว่าเกียรติกันอีกต่อไป ถึงกับคุกเข่าลงกราบกราน ก้มหน้าแนบชิดกับพสุธา โขกศีรษะจนเลือดอาบไปทั้งหัว ใคร่ขอเพียงแค่สามารถทำให้จิตใจของเฉียนถงหวั่นไหว จนรอดพ้นไปจากทัณฑ์ในครานี้ไปได้
เฉียนถงที่ยังคงมีสีหน้าเฉยชา โดยที่หาได้ขยับเคลื่อนไหวใด แต่ส่วนลึกภายในแววตากลับเกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย
เลือดโลหิตที่สาดกระเซ็น เศษเนื้อสาดกระจายปลิวว่อน ผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทราทั้งสิบกว่าคนนั้นก็ได้กลายเป็นสังขารที่ไร้ซึ่งผิวหนังภายในสิบช่วงลมหายใจกันเท่านั้น ราวกับว่าได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดจากการเคี่ยวกรำทรมานมาอย่างยาวนาน ดุจดั่งตกนรกหมกไหม้มานับพันครั้ง โดยที่หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงกระดูกแต่ละโครงที่อยู่ตามจุดเดิมเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงกระดูกที่ไร้ซึ่งเลือดและเนื้อไปจนหมดสิ้น อวัยวะเครื่องในพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเศษธุลี
“ดี!ฆ่าได้ดี!”
“ฆ่าได้ดี อย่าได้ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้แล้ว!”
“ล้างแค้นให้แก่เด็กๆ และสตรีที่ตายเพื่อเมืองเทียนหยวน!”
“ฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก!”
คนที่มุงดูอยู่พลันเกิดเป็นเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง พร้อมกับลุกฮือกันขึ้นจากทุกสารทิศ
จนสีหน้าของทุกผู้คนปรากฏให้เห็นถึงความแค้นที่สลักลึกอยู่ภายในจิตใจ ทุกคนล้วนแต่ยินยอมที่จะสละเลือดเนื้อ ไหลเวียนกระแสลมปราณศักดิ์สิทธิ์ คว้าจับศัสตราวุธของตัวเองไว้มั่น ไหลเวียนเคล็ดวิชาลับ สำแดงใช้สมบัติลับ เพื่อโถมการโจมตีทั้งหมดเข้าใส่ศัตรูที่ยังมีชีวิตรอดอยู่
ฟางฟงฉีที่ยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ภายในอาณาบริเวณกว่าสามสิบจั้ง ชั่วพริบตานั้นก็ได้ถูกกวาดล้างจนกลายเป็นเพียงแสงที่สว่างวาบและหายลับไปในที่สุด
หรือแม้กระทั่งโฉมสะคราญน้อยใหญ่ที่ยอมศิโรราบต่อฟางฟงฉีก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่อาจที่จะหลีกหนีจากการรุมประชาทัณฑ์ด้วยความเดือดดาลจากฝูงชน
หากแต่เป็นผู้ที่มีการบ่มเพาะในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สอง ก็ยังไม่อาจที่จะยืนหยัดได้เกินสามช่วงลมหายใจก็พลันถูกสลายลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองร่างกาย จนต้องตายตกอยู่ในสภาพที่อเนจอนาถทั้งอย่างนั้นไป
ลำแสงกระแสพลังสายหนึ่งได้พุ่งขึ้นสู่ฟ้า กระเสือกกระสนฝ่าวงล้อมการถูกรุมประชาทัณฑ์จนเกิดเป็นเส้นทางสายเลือด พยายามหลบหนีออกห่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฟางฟงฉี!
ถึงอย่างไรก็ยังเป็นถึงผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มาตายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้กันอยู่แล้ว
เขาไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมาเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังได้พยายามกระตุ้นพลังภายในกายอย่างไม่นึกถึงชีวิต เพียงเพื่อที่จะสามารถหลีกหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไปให้ได้ จากเหตุการณ์ที่เฉียนถงได้สำเร็จเป็นผู้ทรงพลังในขอบเขตกำเนิดราชันไปอย่างกะทันหัน ต่อให้เขายังอยู่ต่อไปก็มีแต่ตายสถานเดียว ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปรายงานข้อมูลเช่นนี้ให้แก่สี่ผู้คุมกฎและหัวหน้าพรรคให้ได้
แม้กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกได้ว่า เฉียนถงคล้ายกับหาได้มีความตั้งใจที่จะไล่ล่าตัวเองไม่ เพียงแต่ยังคงยืนอยู่ในที่แห่งนั้นอยู่ดุจเดิม แทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะไม่กระจ่างชัดว่าอีกฝ่ายเหตุใดถึงไม่แยแสสนใจที่จะจัดการกับตัวเอง แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ทำให้ฟางฟงฉีเบิกบานใจได้เป็นอย่างยิ่ง จนคิดว่ารอดพ้นไปจากเภทภัยครานี้ไปได้แล้ว
ในขณะที่กำลังคิดได้เช่นนี้ เบื้องหน้าพลันเกิดเป็นสภาพที่ละลานตา บริเวณทางด้านหน้าจู่ๆ ก็ได้มีบุรุษหนุ่มโผล่ออกมาขวางอยู่บนเส้นทางของเขาเอาไว้แล้ว
.
.
.