ตอนที่ 1672 พวกเจ้าก็ทำการอัตวินิบาตเสียเถอะ
ตอนที่ 1672 พวกเจ้าก็ทำการอัตวินิบาตเสียเถอะ
เด็กทารกนั้นที่ถูกส่งขึ้นมานั้นกลับมีอายุอยู่แค่เพียงสองสามขวบปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีเนื้อหนังขาวนวล ขาวผ่องอมชมพู ดูไปแล้วน่ารักน่าชังเลยทีเดียว
กระนั้นกลับต้องถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายเยี่ยงนี้ ทารกนั้นย่อมต้องร่ำไห้ออกมาเสียงดังกังวาน มือตีโพยเท้าตีพายว้าวุ่นอยู่กลางอากาศ
กลุ่มคนที่ล้อมกันเข้ามาชมดูอยู่จากทางด้านล่าง ก็ได้มีบุรุษในวัยประมาณสามสิบขวบปีผู้หนึ่ง หลังจากที่ได้ยินเสียงทารกน้อยผู้นั้นร่ำไห้ออกมา ทันใดนั้นร่างพลันสั่นสะท้าน สาดแววตาเป็นประกายสั่นเครือมองไปที่ทารกน้อยผู้นั้น พร้อมทั้งร่ำร้องคร่ำครวญออกมาว่า: “บุตรเอ่ย!”
ทารกน้อยในวัยสามขวบปีผู้นี้เห็นได้ชัดว่าย่อมต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอย่างแน่นอน
อีกทั้งยังได้หายสาบสูญไปจากภายในบ้านอย่างไร้ร่องรอย เขาเองก็ไม่ทราบว่าบุตรชายของตัวเองนั้นถูกผู้ใดจับตัวไปแล้ว
จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เขาจึงค่อยเข้าใจว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ลักพาตัวเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไป ถึงกับเป็นคนของตำหนักเงาจันทรา
เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ ที่เล่าลือกันอยู่นั้นก็นับว่าเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรือ?
ภายในช่วงเวลานี้ ภายในเมืองเทียนหยวนก็ได้มีทารกน้อยที่อายุน้อยกว่าห้าขวบปีอีกมากมาย รวมไปจนถึงเหล่าสตรีเยาว์วัยที่มีความงดงามได้หายสาบสูญไปกันอย่างไร้ร่องรอย คนภายในตระกูลของพวกเขาล้วนแต่ออกไปเสาะหาจากทุกสารทิศ แต่ที่น่าเสียดายก็คือกลับไม่อาจได้อะไรมาเลยนั้นเอง จนมีอยู่หลายครัวเรือนที่ได้กระซิบกระซาบกันว่าคาดเดาวุ่นวายว่ากันแล้วว่าใช่เป็นการลงมือเคลื่อนไหวจากตำหนักเงาจันทราหรือไม่ ถึงอย่างไรที่พอจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังมีความสามารถเยี่ยงนี้ ก็คงจะมีแต่เพียงตำหนักเงาจันทรากันแล้ว
แต่การคาดเดาก็อยู่ในส่วนของการคาดเดา ถึงอย่างไรก็ยังคงหามีหลักฐานไม่ อีกทั้งตำหนักเงาจันทราในตอนนี้เองก็ไม่ได้เป็นเหมือนตำหนักเงาจันทราเมื่อในสมัยก่อนอีกต่อไปแล้ว พวกเขาแทบจะไม่กล้าที่จะไปถามไถ่เลยด้วยซ้ำ ทำได้ก็แต่เพียงกัดฟันอย่างเจ็บปวดด้วยความอัดอั้นเท่านั้น ทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนทน หลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน
บัดนี้ บุตรชายของตัวเองที่จู่ๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า ชายวัยกลางคนผู้นั้นถึงกับบังเกิดความกระตือรือร้นขึ้นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้รีบกระโจนออกไปในทันที
การบ่มเพาะของเขาแม้จะไม่นับว่าสูงล้ำนัก อีกทั้งยังอยู่ในเหนือธรรมชาติขั้นที่สามเท่านั้น ที่แม้แต่เซียนขั้นต้นก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้
ในช่วงวันเวลาตามปกติ เขาแน่นอนว่าย่อมมิอาจหาญที่จะไปเผชิญหน้าอย่างขวัญกล้าบังอาจกับผู้ทรงพลังจากตำหนักเงาจันทราพวกนี้ไม่ แต่ว่าด้วยความที่มีความรักผูกพันต่อบุตรอย่างสุดดวงใจ ตอนนี้เขาจึงแทบจะหาได้สนใจมากความถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อได้ขยับกาย ก็ได้หายลับไปจากจุดเดิมโดยที่กระโดดขึ้นสูง กระโจนเข้ามาถึงบนแท่นเวทีสูงในทันที
“บังอาจ!” เสียงตวาดพลันดังขึ้น พร้อมกับประกายแสงสายหนึ่งแลบผ่านเข้ามา ชายวัยกลางคนผู้นั้นที่เดิมทีร่างยังลอยคว้างอยู่กลางเวหา ก็ได้แผดเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่ ภายในหน้าอกเองก็ได้เกิดเป็นช่องโหว่โบ๋อันเต็มไปด้วยเลือดเพิ่มขึ้นมา หลังจากที่ร่วงลงสู่พื้น เห็นได้ชัดว่าได้กลายเป็นเพียงศพที่ไร้วิญญาณไปเสียแล้ว
เสียงที่ดังขึ้นด้วยความโกลาหลดังก้อง ฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่ต่างก๊อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน จนถึงกับเผยสีหน้าหวาดกลัวกันออกมา
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
“ต่อหน้าใต้เท้าฟาง ยังริบังอาจมาเหิมเกริมถึงเพียงนี้ หากมีผู้ใดอาจหาญและกล้ามาตอแยอีก มาร้อยก็จะฆ่าทั้งร้อย!” ผู้ทรงพลังนั้นที่ได้ลงมือออกไปก่อนหน้านี้ก็พลันตวาดออกมาดังก้อง
พลเมืองของเมืองเทียนหยวนล้วนแต่แสดงสีหน้าหวาดกลัว แม้จะเดือดดาลแต่ก็มิอาจหาญปริปาก
ในเวลานี้ ทารกในวัยสามขวบปีก็ได้ถูกส่งตัวไปถึงยังเบื้องหน้าของบุรุษหนุ่มผู้นั้น
บุรุษหนุ่มมองสำรวจทารกน้อยอยู่ พร้อมทั้งเผยสีหน้าพึงพอใจ และโบกมือกวักเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็ได้มีหญิงสาวนางหนึ่ง ศิษย์สตรีที่แต่งแต้มใบหน้าหนาเตอะก็ได้เดินมาจากทางด้านหลังของนาง บิดพลิ้วเรือนร่างดุจดั่งปลาไหลก็มิปาน มุมปากยังได้ชม้ายยกขึ้นคล้ายกับแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา
“พวกแกคิดที่จะทำอะไร?” ทันใดนั้นเฟ่ยจื่อถูโพล่งขึ้นมาแล้ว
เขาที่ยืนอยู่ด้านบนแท่นสูง ถึงแม้จะไม่อาจไหลเวียนพลังอันมหาศาลจากภายในร่างได้ แต่ก็ยังคงสาดทอแววตาคมกล้าเป็นประกายหันไปมองบุรุษหนุ่มผู้นั้นที่กำลังเลียริมฝีปาก อีกทั้งยังหาได้ตอบคำไม่
เห็นได้ชัดว่าได้คิดว่าเฟ่ยจื่อถูที่แต่เดิมก็เป็นแค่เพียงนักโทษก็แทบจะไม่มีสถานภาพสูงพอที่จะสนทนากับตัวเองอยู่แล้ว
ในทางกลับกันกลับเป็นเบื้องสูงผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทรานั้นที่แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย: “ศิษย์พี่เฟ่ย เจ้ายังคงกล่าววาจาให้มันน้อยไว้หน่อยจะดีกว่า ดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายเยี่ยงนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้วเหมือนกัน”
เสียงหัวเราะเสียดสีอย่างเย้ยหยันก็พลันดังออกมา คนผู้นั้นแทบจะหาได้ไปสนใจเฟ่ยจื่อถูอีกต่อไปไม่
และหญิงสาวผู้นั้นที่ได้มาถึงยังเบื้องหน้าของทารกน้อย ก็ได้ยื่นมือจับไปที่แขนสีชมพูอ่อนของทารก จากนั้นก็ได้แลบลิ้นสีแดงระเรื่อเลียไปที่ริมฝีปาก ดูไปแล้วน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
นางเพียงขยับริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย และหัวเราะออกมาอย่างเจื้อยแจ้ว : “สำรับโลหิตมื้อนี้นับว่าอ่อนนุ่มยิ่งนัก คาดว่าท่านใต้เท้าจะต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน”
“ลงมือเถอะ” บุรุษหนุ่มแซ่ฟางผู้นั้นเพียงกล่าวขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวรับคำ พร้อมกับควงมือเป็นวง ทันใดนั้นก็ได้เกิดเป็นมีดสั้นที่สาดเป็นประกายเย็นวาบเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พร้อมกับกรีดเข้าไปที่ข้อมือของทารกน้อยผู้นั้นอย่างแผ่วเบา โลหิตสีแดงซ่านได้ไหลรินออกมาจากบาดแผลในทันทีทันใด
หญิงสาวได้ใช้มืออีกข้างหนึ่ง ที่ถือไว้ด้วยขวดแก้วสีทองคำขวดหนึ่งออกมา และวางไว้ที่ใต้ข้อมือของทารก เพื่อรับโลหิตที่ไหลรินออกมาเอาไว้
ติ่ง……ติ่ง……
เสียงเลือดหยดหยาดและเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ของทารกน้อยดังจะกระทบเข้าที่จิตใจของทุกผู้คน เหล่าผู้คนที่จับจ้องมองดูอยู่โดยรอบเองก็ไม่อาจที่จะขัดขืนเพื่อเรียกร้องในความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ได้ พร้อมทั้งสาดแววตาเป็นประกายดั่งมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา
“พวกแกมันไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว!พวกแกไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน!” เฟ่ยจื่อถูคำราม โดยที่กำลังดิ้นรนหมายมั่นที่จะสามารถพุ่งเข้าไปช่วยเหลือทารกน้อยผู้นั้นเอาไว้ได้ แต่เมื่อก้าวออกมาได้เพียงสองก้าว ก็ได้ถูกผู้ทรงพลังที่อยู่บนแท่นสูงทุบจนล้มลงกับพื้น แล้วยังถูกเตะกระทึบอย่างรุนแรงไปอีกหลายบาทา
บุรุษหนุ่มแซ่ฟางเพียงหันไปเหลือบมองเฟ่ยจื่อถูด้วยแววตาเย็นชา หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย : “เป็นแค่เพียงผู้ที่ปราชัยไปแล้ว ยังมีคุณสมบัติใดใช้มาเพื่อสนทนากับข้าได้อีกกัน? กระนั้นเจ้าก็วางใจเถอะ
นี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตเจ้าเท่านั้น หลังจากที่ได้ตัดหัวเจ้าลงมา ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจะเป็นผู้ประทานชีวิตใหม่ให้แก่เจ้าอีกครั้งเอง!”
วาจาของเขานี้กลับดังขึ้นมาได้อย่างไม่มีวี่แวว ผู้คนทั้งหลายล้วนแต่ไม่อาจฟังจับใจความได้ แต่สำหรับเฟ่ยจื่อถูแล้วแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเสียงจากปีศาจร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิต เขาที่ล้มลงอยู่กับพื้น แต่ก็ยังแผดเสียงคำรามกึกก้อง: “ฟางฟงฉี ตัวข้าต่อให้ต้องตายก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าอย่างแน่นอน!”
บุรุษหนุ่มเพียงหัวเราะ: “รอจนเจ้าสำเร็จเป็นหนึ่งในสมาชิกเผ่าปราณผีดิบ ก็จะไม่ขบคิดเยี่ยงนี้อีกแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเองก็จะมีคุณสมบัติพอที่จะสามารถมาลิ้มรสชาติของสำรับโลหิตเช่นนี้ได้เหมือนกัน!”
เขาที่ทางหนึ่งกล่าว อีกทางก็ได้รับขวดแก้วทองคำที่กรอกโลหิตเอาไว้จนเต็มมาจากมือของหญิงสาว พร้อมกับวางไว้ใต้จมูกเพื่อสูดดมครู่หนึ่ง บนใบหน้าก็ได้เผยอาการคล้ายกับดื่มด่ำมึนเมา พร้อมกับหงายหน้าขึ้นทันที แล้วดื่มเลือดที่ยังคงอุ่นกรุ่นอยู่ภายในขวดไปจนหมดสิ้น
เหล่าผู้คนที่รายล้อมอยู่ล้วนแต่ไม่อาจที่จะประหลาดใจขึ้นมาได้
แววตาหลายต่อหลายคู่ได้เหม่อมองไปที่คราบเลือดที่อยู่ตรงมุมปากของฟางฟงฉี ทุกผู้คนล้วนแต่สะท้านดั่งฟ้าผ่าใส่ ถึงกับร่างแข็งทื่อยืนอยู่ในจุดเดิม
คนผู้นี้……ถึงกับดื่มเลือดเป็นอาหารอย่างงั้นหรือ? แล้วก็ยัง เผ่าปราณผีดิบที่เขาเอ่ยถึง เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดใดอีกกัน?
ภาพเบื้องหน้าที่ถือว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขา ฟางฟงฉีในตอนนี้ ในสายตาของเหล่าฝูงชนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจร้ายจำแลงกายมาอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นดั่งต้นตอของความโหดเหี้ยมอำมหิต จนผู้คนมากมายที่มองไปที่เขาล้วนแต่ขวัญหนีดีฝ่อไปกันแล้ว
เฟ่ยจื่อถูร่างสะท้านอย่างแรง ภายในดวงตายังได้มีความเคียดแค้นพวยพุ่งออกมาจนแทบจะสามารถสลักลึกจนเข้าถึงกระดูกดำและหัวใจ จับจ้องมองฟางฟงฉีโดยที่แทบจะไม่กะพริบตา ราวกับคิดที่จะสับร่างของเขาให้เป็นหมื่นชิ้น
“รสชาติไม่เลวเลย!” ฟางฟงฉียื่นมือเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปาก จากนั้นก็ได้หญิงสาวที่มีกิริยาออดอ้อนผู้นั้นมาคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าเขา จากนั้นก็ได้ยื่นมือบีบไปที่นิ้วน้อยๆ ที่แดงระเรื่อ เพื่อให้ทำการดูดไปที่นิ้วมือของเขา ดูดทำความสะอาดเลือดที่ติดอยู่บนนิ้วของเขาจนสะอาดสะอ้าน
ภายในลำคอยังได้มีเสียงครวญครางของหญิงสาวที่พอจะทำให้จิตใจหวั่นไหวดังออกมา
และทารกน้อยผู้นั้นที่ถูกรีดเลือดนั้น บัดนี้ก็ได้มีสีหน้าที่ซีดเผือด จนแทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงพอที่จะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ใบหน้าน้อยๆ ที่ขาวซีด ก็ได้ถูกผู้ทรงพลังขอบเขตราชันเซียนผู้นั้นพาตัวไปอีกแล้ว
ถึงแม้จะไม่ได้มีชีวิตที่ต้องน่าเป็นกังวล แต่ด้วยการที่ยังเป็นเพียงทารกน้อยในวัยสามขวบปีย่อมแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากความทรมานที่แสนสาหัสกันเลยทีเดียว ย่อมต้องส่งผลกระทบที่มืดมิดต่อจิตวิญญาณของเขาขึ้นอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ร่วมกับเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
“เอาล่ะ นี่ก็ถึงเวลาฤทธิ์งามกันแล้ว เฟ่ยจื่อถู เตรียมพร้อมที่จะรับชีวิตใหม่ของเจ้าเสียเถอะ นับได้ว่าเป็นดั่งวาสนาพิเศษที่ท่านหัวหน้าพรรคมอบให้แก่โดยเฉพาะแล้ว เจ้าจะต้องสำนึกในพระคุณอย่างไม่อาจทดแทนได้อย่างแน่นอน!” ฟางฟงฉียันกายลุกขึ้น
หลังจากที่ได้ดื่มเลือดเข้าไปแล้วหนึ่งขวด เดิมทีที่เขามีใบหน้าขาวซีดอยู่ก็ได้ปรากฏสภาพที่แดงซ่านจนดูไม่ปกติกันอยู่บ้าง จนแผ่ซ่านพลังสภาวะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดออกมา
เฟ่ยจื่อถูเพียงหัวเราะออกมาฮาฮายกใหญ่: “ข้าเฟ่ยจื่อถูข้าสัตย์สาบานต่อที่แห่งนี้ วันหน้าแม้จักต้องกลับกลายเป็นปีศาจร้าย ก็จะต้องไล่ล่าเดรัจฉานอย่างพวกแกไปหมดสิ้น พวกแกล้วนแต่จงจำคำกล่าวของข้าเอาไว้ให้ดี!”
แววตาของเขาก็ได้กวาดตามองไปบนร่างของเหล่าผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทราไปทีละคน เป็นธรรมดาที่หากมีคนถูกเขากวาดตามอง ถึงกับไร้ซึ่งความกล้าจนหัวใจเต้นระรัว พร้อมกับใบหน้าที่ลำบากใจ
“พูดได้ดี!” เสียงที่ทั้งอบอุ่นแฝงไว้ด้วยโทสะพลันดังขึ้นมาจากท่ามกลางมิติความว่างเปล่า อีกทั้งยังผุดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ผู้ใด!” ฟางฟงฉีถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน อีกทั้งยังได้รีบหันไปเหม่อมองท่ามกลางท้องฟ้า
เขาที่เดิมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นอยู่แล้ว ผู้มาจะต้องมีความสามารถที่ลึกล้ำเลยทีเดียว ถึงกับสามารถแฝงตัวมาจนถึงใต้หางตาของตัวเองโดยที่ไม่ถูกตรวจพบได้ แต่เดิมเขาเองก็นับได้ว่าเป็นผู้ทรงพลังในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกเขาพบเห็นได้อยู่แล้ว เช่นนี้ก็หมายความได้ว่ามีผู้มีความสามารถที่เข้าถึงจุดสูงสุดของขอบเขตขั้นที่สามไปแล้ว
“นี่ก็คือ……” เฟ่ยจื่อถูผงะไปโดยพลัน กระนั้นไม่นานนักเขาก็ได้แสยะยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างโหดร้าย
เขาเองก็ฟังออกแล้วว่า ผู้ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ก็คือเฉียนถง!
ท่ามกลางความเวิ้งว้าง เงาคนพลันสั่นไหว พร้อมกับการปรากฏกายของเฉียนถง
“ผู้อาวุโสสูงสุด!” เหล่าศิษย์ทรยศเหล่านั้นของตำหนักเงาจันทราก็ได้แยกย้ายกันแสดงสีหน้าแตกตื่นออกมา พร้อมทั้งยังได้กรีดร้องออกมาด้วยหวาดกลัว
“พวกเจ้าทำได้งามหน้านะก ยังมีผู้อาวุโสสูงสุดอย่างข้าอยู่ในสายตางั้นหรือ” เฉียนถงเพียงกวาดตามองทางด้านล่าง ศิษย์ทรยศเหล่านั้นเพียงรู้สึกเหมือนกับมีขุนเขาลูกใหญ่กดทับลงมา จนทำให้พวกเขาราวกับไม่อาจหายใจได้อย่างต่อเนื่อง
ลำแสงทั้งสองสายได้พุ่งออกมาดุจประกายแสง โดยที่มีเหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อสองคนกำลังไล่ตามเงาเฉียนถงอย่างทางด้านหลังอย่างกระชั้นชิด
พวกเขาได้กวาดตามองไปที่เฟ่ยจื่อถูที่อยู่ในสภาพที่น่าอึดอัดใจ ก็ถึงกับตะโกนร้องขึ้นในทันที: “อาจารย์อาเฟ่ย!”
“ชางเอ๋อ เสวียนเอ๋อ!” เฟ่ยจื่อถูได้หันไปเหม่อมองสองผู้โดดเด่นรุ่นหลังของตำหนักเงาจันทรา จึงค่อยสูดหายใจเข้าลึกๆ ช่วงเวลานี้เขาที่ไม่สามารถติดต่อกับเหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อมาได้โดยตลอด
อีกทั้งยังไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว บัดนี้เมื่อพบเห็นพวกเขาไร้ภยันตรายใด ก็ย่อมรู้สึกเหมือนยกหินออกจากอกอย่างแน่นอน
“ไปช่วยอาจารย์อาเฟ่ยพวกเจ้าออกมาเถอะ” เฉียนถงกล่าวกำชับ
“ขอรับ!” เหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อก็ได้รีบพุ่งลงไปทางด้านล่าง ลงมาถึงทางด้านล่างของแท่นเวทีสูง
ผู้ทรงพลังที่คอยดูแลรับผิดชอบในการจองจำเฟ่ยจื่อถูในยามนี้ก็มือไม้อ่อนปวกเปียก โดที่ไม่ทราบว่าสมควรที่จะรับมืออย่างไร ประจวบกับในเวลาที่พัวพันอยู่ เหว่ยกู่ชางก็ได้ก้าวกระโดดเตะเข้ามาแล้ว: “ไสหัวออกไป!”
“เหว่ยกู่ชางเจ้าขวัญกล้านัก ต่อหน้าใต้เท้าฟางยังริอาจหาญประพฤติตัวเยี่ยงนี้!” ทันใดนั้นก็ยิ่งได้มีคนกล่าวกำชับออกมาในทันที
เหว่ยกู่ชางแสยะยิ้มออกมาด้วยเสียงเย็นชา ทางหนึ่งก็คอยคุ้มกันเพื่อให้ต่งเชวียนเอ่อปลดการพันธการของเฟ่ยจื่อถู อีกทางก็ได้หันไปกล่าวดูแคลนผู้คน :”
หยวนฉี่ เสียแรงที่ครั้งหนึ่งข้าเหว่ยกู่ชางเคยให้ความนับถือเลื่อมใสเจ้า แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรักตัวกลัวตายได้จนถึงเพียงนี้ ไม่แต่พียงจะทรยศอีกทั้งยังหันไปเป็นสุนัขรับใช้ศัตรูอีก
มิหนำซ้ำยังมาปองร้ายอาจารย์อาเฟ่ย ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก วันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้าแล้ว!”
ผู้ทรงพลังผู้มีนามว่าหยวนฉี่ก็ได้ถูกเหว่ยกู่ชางกล่าววาจาจนมีสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง แต่ก็ยังคงกล่าวตอบโต้กลับมาว่า : “เดรัจฉานอย่างเจ้าจะไปทราบอะไร? อย่าได้มากล่าววาจาเหลวไหลแล้ว”
เหว่ยกู่ชางที่ยังคล้ายคิดจะกล่าวอะไรออกมา แต่กลับเป็นเฉียนถงที่กล่าวห้ามปรามอย่างเย็นชา: “ไม่ต้องไปเสวนากับพวกเขาแล้ว กับคนตาย ยังมีอะไรให้ต้องเสวนากันอีก”
เหว่ยกู่ชางจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ พร้อมกับพยักหน้าแล้วกล่าว: “ที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวมาก็ใช่”
หยวนฉี่ถึงกับโมโหโทโส ทันใดนั้นก็ได้หันไปมองเฉียนถงหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาอยู่ในมือ เมื่อได้สำรวจดูอย่างละเอียด ก็ได้มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง : “ท่านเจ้าตำหนัก?”
จนกระทั่งมาจนถึงเวลานี้เขาจึงค่อยพบว่า บนมือของเฉียนถงได้ถือไว้ด้วยบางอย่างนั้นก็คือเสี่ยเฉิงนั้นเอง!
เสี่ยเฉิงที่ไร้แขนสิ้นขาไป!
อีกทั้งเขายังหาได้ตายไปไม่ เพียงแต่แสดงสีหน้าเจ็บปวด เหมือนกับมีแมลงเข้าชอนไชหัวใจอยู่นับหมื่น ดูไปแล้วอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
เมื่อได้ยินเขากล่าวมาเช่นนี้ คนอื่นๆ ในที่สุดก็จึงค่อยได้สติกลับมา พร้อมทั้งกำลังมองไปที่สภาพที่อเนจอนาถของเสี่ยเฉิง คล้ายกับสามารถคาดการณ์อนาคตของตัวเองได้ จนแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะมือไม้เย็นวาบขึ้นมาบ้างแล้ว ล้วนแต่ค่อยๆ หันไปขยับเข้าใกล้ฟางฟงฉี จนราวกับว่าคิดที่จะหันไปยังทางด้านที่ดูให้ความปลอดภัยมากกว่าบ้างได้
เฉียนถงที่เพียงสะบัดมือโยนเสี่ยเฉิงที่เหลือเพียงสภาพครึ่งท่อนบนก็ได้มาอยู่บนแท่นเวทีสูง และเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา: “ข้าผู้ชราไม่ต้องการที่จะต้องให้มือเปื้อนเลือดคนร่วมสำนักมากจนเกินไป ข้าจะให้โอกาสแก่พวกเจ้าเพียงครั้งเดียว พวกเจ้าจงอัตวินิบาตตัวเองเสียเถอะ!”
ทุกผู้คนถึงกับร่างกายสะท้านไปทั้งร่าง
“ตาแก่เฉียน วาจาเช่นนี้ของเจ้ามิใช่ว่ากล่าวดูใหญ่โตไปบ้างหรอกหรือไร พวกเรายังคงรีบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้กันให้เร็วที่สุดเถอะ!” เฟ่ยจื่อถูก็ได้รีบตะโกนกู่ร้องเสียงดังก้องออกมา
เฉียนถงย่อมถือว่ามีความสามารถที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีศัตรูมากจนเกินไป เขาแทบจะไม่ได้คิดว่าเฉียนถงจะสามารถรับมือได้ หากว่าต้องทำให้เฉียนถงต้องมาตายอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เช่นนั้นเขาแม้จะต้องตายก็คงไม่อาจที่จะตายตาหลับได้อีกแล้ว”
.
.
.