ตอนที่ 1671 เจ้าก็เป็นขอบเขตกำเนิดราชันด้วยอย่างงั้นหรือ?
ตอนที่ 1671 เจ้าก็เป็นขอบเขตกำเนิดราชันด้วยอย่างงั้นหรือ?
เมื่อได้พบเห็นเฉียนถงไม่พูดไม่จา เสี่ยเฉิงยังคิดว่าเขากลัวแล้วเสียอีก อีกทั้งยังยิ่งทวีคูณความภาคภูมิใจอย่างบ้าคลั่ง พร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างดุร้ายว่า: “เฉียนถง ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ พรรคปราณผีดิบเองก็ถือได้ว่ามีสี่สุดยอดขอบเขตกำเนิดราชันคอยประจำการอยู่ โดยที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะรวมดาวอนันตกาลไว้เป็นหนึ่งเดียว เจ้าเองก็อย่าได้ดื้อดึงจนไร้สติไป ขอเพียงเจ้ายินยอมสวามิภักดิ์ ข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักยังสามารถบอกกล่าวให้ได้สักหลายประโยค ด้วยขอบเขตการบ่มเพาะของเจ้า ยังริอาจหาญมาใช้สายตาที่ดูแคลนข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักอีกอย่างงั้นหรือ”
เฉียนถงทำได้แต่เพียงทอดถอนใจออกมายาวๆ อีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่เซื่องซึม แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายของผู้ที่ไม่เคยยินยอมปราชัยออกมา จากนั้นก็ได้กวาดตาหันไปมองเสี่ยเฉิงอยู่วูบหนึ่ง : “เจ้าจะบอกว่าท่ามกลางพรรคปราณผีดิบนั้น ยังมีผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันอีกสี่ตนที่คอยประจำการอยู่อย่างงั้นรึ?”
“มิผิด!” เสี่ยเฉิงเพียงหัวเราะเสียงดังเหอะๆ พยักหน้าแล้วตอบ
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าอันใดจึงเรียกกันว่าขอบเขตกำเนิดราชัน?”
“ขอบเขตกำเนิดราชัน……” เสี่ยเฉิงก็ได้ใช้น้ำเสียงเอื่อยเฉย บนใบหน้าเผยถึงความสับสนออกมาเล็กน้อย ขอบเขตเช่นนี้ในดาวอนันตกาลเรียกได้ว่าเป็นดั่งตำนานในรอบหลายหมื่นปีเลยทีเดียว ผู้คนทั่วหล้าล้วนแต่ทราบว่าสิ่งนั้นก็คือระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตหวนกำเนิด แม้จะกล่าวออกมาจากปากของเสี่ยเฉิงเอง กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ทราบว่าสมควรที่จะอธิบายออกมาอย่างไรดี
ถึงอย่างไรเขาก็ยังหาได้เคยพบพานมาก่อนไม่
จนถึงกับอดไม่ได้ที่จะหัวเสียและเดือดดาลจากความอับอาย ตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำไปว่า : “หรือแท้จริงแล้วเจ้าจะทราบอย่างงั้นหรือ?”
เฉียนถงจึงได้หันไปมองเขาอย่างเฉยชา แต่กลับหาได้ตอบคำไม่ จากนั้นเพียงยื่นมือข้างหนึ่งพุ่งเข้าหาเสี่ยเฉิง สภาวะมิติอากาศเช่นนั้นพลันเกิดการสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้รั้งกลับคืนมาอีกครา
เดิมทีเสี่ยเฉิงยังสามารถที่จะถอยไปทางด้านหลังได้ โดยที่ไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่าง แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นพลังคุ้มครองร่างเอาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการโจมตีที่ดุจดั่งพายุโหมสายฝนตกกระหน่ำยังมิทันมาถึง ทั่วสรรพร่างของตนถึงกับได้เกิดเป็นริ้วรอยอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทันจะสังเกตเห็นว่าจะมีร่องรอยการไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในกายของเฉียนถง
“เฉียนถง เจ้ายังริอาจหาญลงมือต่อข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักอย่างโง่เขลาอีกงั้นหรือ?” เสี่ยเฉิงได้ตวาดออกมาด้วยความเดือดดาล พร้อมทั้งสีหน้าที่ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดงก่ำออกมา : “เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว เดิมทียังเห็นแก่ความที่เราเจ้าเป็นผู้ที่กำเนิดมาจากตำหนักเงาจันทราเช่นเดียวกัน จึงไม่คิดที่จะไล่ต้อนจนถึงขั้นตายตกจนไร้ทางออก แต่ในเมื่อเจ้าไม่เห็นข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา วันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกแล้ว จงบุกฆ่ามันผู้นั้นกันได้แล้ว!”
คำพูดประโยคสุดท้าย เขายังได้หันไปกล่าวต่อลูกน้องบางส่วนของตัวเองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในเวลาที่ก่อนหน้านี้ที่หยางไคจะลงมือเข้าช่วยเหลือเหว่ยกู่ชาง ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบคมก็ได้พบเห็นคนเหล่านี้ของตำหนักเงาจันทรามาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังหาได้กระจ่างแจ้งในสถานการณ์โดยรวม จึงยังหาได้ลงมือไม่ เพียงแต่รอคอยให้ออกห่างจากเหว่ยกู่ชางไปก่อนเท่านั้น
คนเหล่านี้ก็หาใช่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ อีกทั้งจนถึงตอนนี้ก็ได้ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
เมื่อได้ยินคำสั่งของเสี่ยเฉิง ผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดเจ็ดแปดคนในกลุ่มก็ได้เผยสีหน้าลังเลกันออกมา
เสี่ยเฉิงที่หวาดกลัวเฉียนถง พวกเขามีหรือที่จะไม่เคยรับรู้มาก่อนได้? ถึงแม้นับตั้งแต่ที่ยินยอมศิโรราบให้กับพรรคปราณผีดิบพวกเขาจะมีความสามารถรุดหน้ากันก็ตามที แต่อำนาจเมื่อในวันวานของเฉียนถงก็ยังคงติดตราตรึงสลักลึกอยู่ภายในจิตใจ ในเวลานี้การจะให้พวกเขาลงมือต่อเฉียนถง หากพวกเขาไม่มีความลังเลจึงถือเป็นเรื่องที่แปลกยิ่งแล้ว
“อือ? ท่านจ้าวตำหนัก ท่าน……ท่าน……” ทันใดนั้น ก็ได้มีชายวัยกลางคนคล้ายกับประสบพบพานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ อีกทั้งยังแตกตื่นจนถึงขั้นต้องหันไปชี้ใส่เสี่ยเฉิง ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงดังก้องกังวาน
ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้หันไปมองตามทิศทางที่เขาชี้ออกไป ก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลงกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งยังมีแววตาที่หวาดกลัวอย่างสุดแสนปรากฏออกมาให้เห็น อีกทั้งยังถึงกับอดไม่ได้ที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างตัวพวกเขากับเสี่ยเฉิงไป ทำเหมือนกับว่าเขานั้นได้เป็นโรคร้ายแรงก็มิปาน
“เป็นไรไปแล้ว?” เสี่ยเฉิงที่ยังไม่ทันรู้สึกตัว ก้มหน้าลงมอง วินาทีนั้นก็ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ถึงกับโพล่งออกมาทันที: “นี่เป็นไปได้ยังไงกัน!”
ทันใดนั้นเขาก็ได้พบแล้วว่า แขนทั้งสองข้างของตัวเอง แล้วยังจุดที่เป็นส่วนที่เชื่อมทั้งสองขาเอาไว้ ถึงกับเกิดเป็นคลื่นพลังอันมหาศาลถาโถมเข้ามา พลังอันมหาศาลนั้นที่สามารถใช้เพียงตาเปล่าก็สามารถที่จะมองเห็นได้ แต่กลับหาได้มีความเคลื่อนไหวผุดออกมาแม้แต่น้อยไม่
พลังอันมหาศาลที่เปรียบเสมือนดั่งหนอนแมลงเข้าชอนไช ภายในร่างของเสี่ยเฉิงที่เกิดเป็นบาดแผลน้อยๆ ขึ้นสายหนึ่ง แทรกซึมเข้าไปภายในร่างกายของเขา
และในระหว่างนี้เอง เสี่ยเฉิงก็ยังคงหาได้สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแต่อย่างไรไม่
ความรู้สึกที่ขนลุกขนพองขุมหนึ่งผุดขึ้นโดยพลัน เสี่ยเฉิงเพียงแต่รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าขึ้นทันที จนเกือบที่จะทำให้ฝ่าเท้าของเขากลายเป็นตะคริวขึ้นมาบ้างแล้ว
เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง……
พลันเกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นมาสี่ครั้ง จนเลือดโลหิตสาดกระเซ็น มือทั้งสองข้างและเท้าทั้งคู่ของเสี่ยเฉิงก็ถึงกับแตกกระจุยจนเกิดเป็นหมอกโลหิต หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงร่างท่อนบนที่ยังเหลือเพียงเล็กน้อยกระทบชนเข้ากับพื้นธรณี กระแทกชนจนเกิดเป็นฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั้งสาย
เลือดโลหิตที่ได้ไหลนองออกมา ชโลมพื้นพสุธาจนกลายเป็นสีแดงซ่าน สีหน้าอาการของเสี่ยเฉิงพลันบิดเบี้ยวไปมาอย่างรุนแรง ภายในดวงตาถึงกับเต็มไปด้วยสีหน้ายากที่จะเชื่อได้ปรากฏออกมา
ศิษย์ทรยศของตำหนักเงาจันทราทั้งหลายคนนั้นต่างก็คล้ายกับพบเห็นผีสางกลางวันแสกๆ ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทุกผู้คนล้วนแต่ต่างก็แน่นิ่งประดุจถูกแช่แข็ง บังเกิดความเย็นวาบฝังลึกไปจนถึงกระดูกอย่างสมบูรณ์
“ไม่!เป็นไปไม่ได้!นี่จะต้องเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน นี่จะต้องเป็นฝันร้ายบทหนึ่งเท่านั้น!” เสี่ยเฉิงก็ถึงกับต้องตะโกนออกมาจนคล้ายกับสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ เขาที่ไม่มีทั้งมือทั้งเท้าทั้งคู่แล้ว ดูไปแล้วทั้งน่าขบขันระคนน่าสังเวช คล้ายกับได้พบเจอกับการทรมานอันเหี้ยมโหดก็มิปาน
“ข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักเป็นถึงผู้ทรงพลังในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม นอกเสียจากขอบเขตกำเนิดราชันก็ย่อมไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้แล้ว ข้าผู้เป็นจ้าวตำหนักไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด!” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยเฉิงเรียกได้ว่าได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงเลยทีเดียว จนตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากคลุ้มคลั่งขึ้นแล้ว เมื่อเปล่งวาจาออกมา ก็ถึงกับแน่นิ่งไปเสียเช่นนั้นแล้ว เหม่อมองไปที่เฉียนถงด้วยแววตาตะลึงลาน ภายในส่วนลึกของดวงตาท้ายที่สุดแล้วก็ได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระหว่างนั้นก็พึมพำกล่าวขึ้นมา: “ขอบเขตกำเนิดราชัน……เจ้าได้เป็นถึงขอบเขตกำเนิดราชันแล้วอย่างงั้นหรือ?”
ถ้าหากมิใช่เฉียนถงอยู่ในขอบเขตกำเนิดราชัน แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ด้วยการยกมือวางเท้าได้อย่างแน่นอน ถ้าหากเฉียนถงไม่ได้อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชัน เขาก็ย่อมไม่มีพลังในการต่อสู้เช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
“เจ้ายังไม่นับว่าโง่เขลาจนเกินเยียวยานัก!” เฉียนถงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“อะไรกัน? ผู้อาวุโสสูงสุดได้อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันแล้วอย่างงั้นหรือ?” เหว่ยกู่ชางถึงกับตะลึงลานขึ้นแล้ว
ต่งเชวียนเอ่อถึงกับใช้มือน้อยๆปิดป้องไปที่ปาก หางตาคู่งามเองก็ถึงกับเฉิดฉายความตกใจออกมา ก็คล้ายกับคนที่กำลังจะจมน้ำแต่กลับยังสามารถคว้าเส้นฟางจนเอาชีวิตรอดมาได้ แววตาที่เดิมทีนั้นมัวหมองลงก็กลับเปล่งเป็นประกายเจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง
ขอบเขตกำเนิดราชัน!
ดาวอนันตกาลในหลายหมื่นปีมานี้ นั่นก็คือขอบเขตในตำนานแล้ว ท่านอาจารย์ถึงกับได้เข้าถึงขั้นนั้นแล้วอย่างงั้นหรือ?
ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นตำหนักเงาจันทราก็มีหนทางรอดแล้ว!ต่งเชวียนเอ่อถึงกับสะท้านไปทั้งร่าง ภายในดวงตาคู่งามยังถึงกับเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ในขณะนี้ นางก็ได้นึกถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ครั้งหนึ่งต้องสิ้นลมหายใจไปอย่างอเนจอนาถต่อหน้าต่อตาตัวเอง
พวกเขาที่ได้กลายเป็นดวงวิญญาณอยู่บนสรวงสวรรค์ สมควรที่จะหมดห่วงกันแล้ว บัดนี้ท่านอาจารย์ได้เข้าถึงขอบเขตกำเนิดราชันไปแล้ว อีกทั้งยังต้องล้างแค้นให้แก่พวกเจ้าในอีกไม่ช้าแล้วอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะฆ่าเจ้าพวกคนชั่วร้ายเหล่านั้นให้หมดสิ้นกันอีกด้วย เพื่อเรียกความเป็นธรรมกลับมาให้แก่พวกเจ้าแล้ว!
พรวด……
ศิษย์ทรยศของตำหนักเงาจันทราที่อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดทั้งหลายคนถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น ทุกคนล้วนแต่กำลังหันไปเหม่อมองเฉียนถงด้วยอาการแตกตื่น อีกทั้งยังโขกหัววิงวอนไม่หยุดไม่หย่อน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ศิษย์ผิดไปแล้ว ศิษย์ทราบความผิดแล้ว ขอโปรดท่านผู้อาวุโสสูงสุดละเว้นชีวิตด้วย”
สนับสนุนผู้แปลได้ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ศิษย์ได้ถูกบีบบังคับให้ทำ ภรรยาและบุตรีของศิษย์ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือโจรร้ายผู้นั้น จนไม่อาจที่จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของพวกเขาได้ ยังคงขอโปรดผู้อาวุโสสูงสุดให้ความเป็นธรรมด้วย!”
“ขอท่านผู้อาวุโสสูงสุดไว้ชีวิตด้วย ละเว้นชีวิตพวกเราด้วยเถอะ!”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดมีเมตตา ปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
เฉียนถงเพียงหันไปมองพวกเขาด้วยสายตาที่รังเกียจและเกลียดชัง พร้อมทั้งสูดหายใจเข้า แล้วถามขึ้นว่า: “ชางเอ๋อ เชวียนเอ๋อ พวกเขาได้เคยฆ่าผู้ที่ให้ความภักดีต่อตำหนักเงาจันทราเรามาก่อนหรือไม่?”
“เคยฆ่ามาก่อน!” ภายในแววตาของเหว่ยกู่ชางพลันมีเปลวเพลิงความแค้นพวยพุ่ง ตอบออกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและฉะฉาน
ความจริงศัตรูที่โหดเหี้ยมอำมหิตนั้นเดิมทีก็ไม่ได้น่าชิงชัง แต่ที่น่าชังก็คงจะเป็นหันไปฝักใฝ่ให้ความช่วยเหลือ จนกลายเป็นศิษย์ทรยศ [1] วิญญาณร้ายคอยรับใช้สมิง!เหว่ยกู่ชางเองก็ไม่ใช่ได้พบเห็นพวกเขาลงมือเข่นฆ่าพวกพ้องเดียวกันมาเพียงแค่ครั้งสองครั้งแล้วเท่านั้น
[1] แปลว่าวิญญาณรับใช้เสือหรือเสือสมิง รวมแล้วแปลได้ว่า ช่วงเสือฆ่าคน หรือช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย ซึ่งความหมายแฝงก็คือ การทำงานรับใช้คนชั่ว ทั้งที่คนชั่วคนนั้นเคยทำร้ายตนเอง
“ประเสริฐ!” เฉียนถงได้สะบัดชายอาภรณ์ของตัวเองลู่ไปตามสายลม มิหนำซ้ำยังได้ปลดปล่อยความเดือดดาลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า เหมือนดั่งคลื่นสมุทรที่ซัดทอดถาโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง จนเกิดเป็นบรรยากาศสยดสยองเข้าปกคลุมศิษย์ทรยศของตำหนักเงาจันทราทั้งหลายคนนั้นไปอย่างสมบูรณ์ : “ในเมื่อได้เคยฆ่า เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องกล่าวกันแล้ว!”
กล่าวจบ เฉียนถงก็ได้ยื่นมือชี้ไปที่หลายคนนั้น
ทั้งไร้ซึ่งสุ้มเสียงทั้งไร้ซึ่งร่องรอย ทั้งหลายคนนั้นก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่าเข้าใส่ ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
บนใบหน้าของทุกคนล้วนแต่เผยออกมาให้เห็นถึงสีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวออกมากันอย่างชัดเจน ราวกับได้รับการเคี่ยวกรำจากอะไรบางอย่างที่ยากจะทนทานได้อยู่ก็มิปาน
ชั่วขณะนั้น ตูมตูมตูม……
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวผุดขึ้นมาอย่างรุนแรง ศิษย์ทรยศหลายคนนั้นร่างกายแหลกลาญโดยที่ไม่มีผู้ใดมีข้อยกเว้น ดับสลายไปแม้กระทั่งดวงจิตวิญญาณ
จะเหลือไว้ก็แค่เพียงผู้ที่ไร้แขนสิ้นขา เส้นลมปราณทั่วร่างขาดสะบั้น สูญสิ้นซึ่งการบ่มเพาะไปอย่างสิ้นเชิงอย่างเสี่ยเฉิง
“ฆ่าข้าซะเถอะ!ฆ่าข้าได้แล้ว!” เสี่ยเฉิงกูร้องออกมา
จากสภาพของเขาในขณะนี้ ยังมิสู้ตายไปเสียยังจะรวบรัดกว่า ความลำบากจากการบ่มเพาะมาเกือบร้อยปี ความผิดที่เกาะกุมเข้ามาจิตใจบัดนี้ก็ได้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้ว เสี่ยเฉิงเองก็เกิดความสำนึกผิดขึ้นเป็นเท่าทวี
“หากฆ่าเจ้าก็คงจะให้ความรวบรัดแก่เจ้าจนเกินไปแล้ว” เฉียนถงหาได้ขยับเคลื่อนไหว เพื่อสะบัดมือออก เพื่อทำการห้ามเลือดหยุดไหลตรงบริเวณบาดแผลของเสี่ยเฉิง จากนั้นก็ได้ยกมือขึ้น สาวเท้าก้าวออกไปยาวๆ มุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองเทียนหยวน
“ชางเอ๋อเชวียนเอ๋อ ตามข้าผู้ชราไปช่วยอาจารย์อาเฟ่ยพวกเจ้าเถอะ!”
เหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อได้สบตามองกัน พร้อมทั้งเดินติดตามไปด้วยอารมณ์เบิกบาน
พวกเขาเองก็กระจ่างแจ้งดี ครั้งนี้เฉียนถงได้ทำให้เขามีโทสะจริงๆ แล้ว มิเช่นนั้นด้วยนิสัยที่แล้วมาของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางที่จะอำมหิตได้ถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่การพยักหน้า มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยเสี่ยเฉิงไปอย่างเป็นปกติสุขได้ เพียงแต่กลับใช้ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวเข้าเคี่ยวกรำจิตใจของเขาแทน ดูเหมือนว่าครั้งนี้เฉียนถงคงคิดที่จะสร้างตำนานครั้งสำคัญกันแล้ว
“พวกเราเองก็ไปดูกันเถอะ” หยางไคก็ได้ส่งเสียงเรียกซูเหยียนกับเซี่ยหนิงซาง : “ท่านเจ้าเมืองเฟ่ยท่านนั้นนับว่าเคยมีพระคุณต่อข้าเลยทีเดียว”
“ในเมื่อเป็นผู้มีพระคุณของศิษย์น้อง เช่นนั้นก็ต้องเข้าช่วยเหลือแน่นอน” สองสาวก็ได้ตอบคำออกมาโดยที่มีความหมายประหลาดแฝงอยู่ในวาจา
……
ภายในเมืองเทียนหยวน ได้รับการดูแลเอาไว้อย่างเข้มงวด คล้ายกับว่ากำลังอยู่ในการเตรียมการป้องกันอะไรบางอย่าง
และภายในเมืองเทียนหยวนยังมีจัตุรัสอยู่อีกแห่ง เฟ่ยจื่อถูที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายถูกมัดด้วยโซ่ตรวน มือเท้าถูกพันธนาการเอาด้วยห่วงเหล็กที่หนักหน่วง
เขาที่ดูไปแล้วอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง จนเรียกได้ว่าหมดสภาพเลยก็ว่าได้ ตามร่างกายก็หาได้มีความไหลเวียนของพลังเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกผนึกเอาไว้ หรือว่าถูกทำลายการบ่มเพาะไปแล้ว
เพียงแต่ว่าถึงแม้จะเกือบล้มลงอย่างน่าเวทนา แต่เขาก็ยังคงพยายามที่จะยืนตัวเองเอาไว้
รอบบริเวณของสนามแห่งนี้ รอบด้านยังได้รวมเอาไว้ด้วยพลเมืองของเมืองเทียนหยวนกันมากมายนับไม่ถ้วน
คนเหล่านี้ต่างก็แหงนหน้าขึ้นมองไปที่เฟ่ยจื่อถูที่อยู่บนแท่นสูง อีกทั้งสีหน้าของทุกคนยังล้วนแต่โศกเศร้าสุดเปรียบปาน
เฟ่ยจื่อถูที่เป็นเจ้าเมืองมีหน้าที่รับผิดชอบต่อเมืองเทียนหยวนมานานหลายปี ถึงแม้จะไม่อาจบอกได้ว่าทำงานได้อย่างดีเยี่ยมและสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังนับว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจต่อพลเมือง เพื่อให้การปกป้องคุ้มครองเมืองเทียนหยวนให้เป็นปกติสุขมาโดยตลอด
แต่ว่านับตั้งแต่ที่สถานที่แห่งนี้ถูกพรรคปราณผีดิบเข้ามารับช่วงดูแลต่อ ภายในเมืองเทียนหยวนก็ยิ่งเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างสมบูรณ์
อีกทั้งยังมีเด็กทารกอีกมากมายที่ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย สาวงามน้อยใหญ่อีกนับไม่ถ้วนล้วนแต่ถูกฉุดคร่า คนของเมืองเทียนหยวนแม้คิดต่อต้านเพียงเล็กน้อย จะต้องเผชิญกับการถูกลงโทษและประณามจนไม่เหลือสภาพความเป็นมนุษย์ในทันที
และเฟ่ยจื่อถูที่คอยหน้าที่เป็นเจ้าเมืองคอยดูแล กลับต้องพบเจอกับวิถีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรไปจากการถูกเคี่ยวกรำท่ามกลางขุมนรก มีหรือที่จะยอมเอาแต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้
ดังนั้นพวกเขาย่อมมีอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันวานในสมัยก่อนได้!
แต่ว่าวันนี้ หรือก็คือเป็นวันที่ได้รับการประกาศการประหารของเฟ่ยจื่อถู พรรคปราณผีดิบที่คิดจะใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้ป่าวประกาศให้ทั่วทั้งดาวอนันตกาลได้ทราบกัน ว่าชะตากรรมของผู้ที่ต่อต้านนั้นเป็นเรื่องที่น่าสังเวชมากถึงเพียงใด
ในจุดที่เฟ่ยจื่อถูถูกแขวนอยู่ในแท่นสูงไม่ห่างไกลออกไปนัก ก็ได้มีเบื้องสูงที่แต่เดิมเป็นคนของตำหนักเงาจันทรา ที่ผ่านมานี้ยังได้เคยมีการไปมาหาสู่กับเฟ่ยจื่อถูอยู่บ้าง อีกทั้งยังได้เรียกขานกับเฟ่ยจื่อถูเป็นพี่น้อง แต่ตอนนี้พวกเขากลับสวมเอาไว้ด้วยอาภรณ์สีม่วงรายล้อมเด็กหนุ่มที่ดูสง่างามผู้หนึ่ง อีกทั้งยังได้แสดงสีหน้าประจบประแจงกันอยู่
เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับหาได้มีอายุที่มากมายนัก ดูไปแล้วเพียงคล้ายกับอยู่ในสภาพวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น แต่ทว่ากลับมีสีหน้าที่ขาวซีดเกินกว่าปกติ ข้างกายยังได้มีกลิ่นอายอันเย็นเยียบขุมหนึ่งผุดออกมาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้ผู้คนรู้สึกพะว้าพะวังเป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงเวลาที่ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว ยังสามารถที่ได้กลิ่นที่เหม็นเน่าจางๆ โชยมาจากบนร่างกายของเขา
บัดนี้ เขาที่กำลังนั่งอยู่ภายใต้แสงแดดอันเจิดจ้า ราวกับกำลังอยู่ในสภาพที่รำคาญใจกันอยู่บ้าง ในบางครั้งบางคราวยังได้เงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้า อีกทั้งยังได้ก่นด่าสาปแช่งอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในส่วนนี้ก็ได้มีทั้งเบื้องสูงผู้ทรยศของตำหนักเงาจันทราผู้หนึ่งสังเกตเห็น ในใจพลันบังเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นมา จากนั้นก็ได้โบกมือแล้วกล่าวขึ้นทันทีว่า: “ส่งสำรับโลหิตขึ้นมา!”
กล่าวจบ ทางด้านข้างไม่ห่างไกลออกไปก็ได้มีผู้ทรงพลังในขอบเขตราชันเซียนผู้หนึ่งพุ่งกายเข้ามา ในมือของผู้ทรงพลังคนนั้นยังได้อุ้มเอาไว้ด้วยทารกน้อยผู้หนึ่ง เพียงก้าวเดียวก็ได้มาถึงยังทางด้านบนแล้ว
.
.
.