ตอนที่ 1670 วิกฤติของตำหนักเงาจันทรา
##############################################################
หมายเหตุจากผู้แต่ง : จากตอนก่อนที่มีการปรากฏของเสี่ยลี่ เหมือนกับเกิดสิ่งที่เรียกเป็นบัคนั้นแหลาะ ศึกหุบเหวมังกรที่ได้เกิดการล้มตายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ในตอนก่อนหน้านี้กลับยังมีชีวิตอยู่ แค๊กแค๊ก……นี่ย่อมเป็นของผิดพลาดแค่เล็กๆ น้อย ขอให้ผู้อ่านยกโทษให้ด้วยน้า ตอนที่ 1669 อาจมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขในภายหลัง ถึงยังไงก็ต้องขอขอบคุณที่ยังคงสนับสนุนกันจนถึงทุกวันนี้ หวังว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการอ่านของผู้อ่านทุกท่านนะขอรับ
##############################################################
ตอนที่ 1670 วิกฤติของตำหนักเงาจันทรา
เฉียนถงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักเงาจันทรา หลายปีที่ผ่านมานี้ในตำหนักเงาจันทราก็นับว่ามีชื่อเสียงเกรียงไกรอย่างไร้ที่เปรียบ จ้าวตำหนักผู้เฒ่ายังเก็บตัวไม่ออกมาอยู่เสมอ ด้วยการที่ยังอยู่ในช่วงที่ต้องบรรลุความลับขั้นสูงสุดของขอบเขตกำเนิดราชัน ดังนั้นภายในตำหนักเงาจันทรา เฉียนถงจึงคล้ายกับมีสถานภาพที่เป็นเหมือนจ้าวตำหนักไปกว่าครึ่งกันอยู่แล้ว
เพิ่มด้วยตัวเขาเองที่มีการบ่มเพาะที่สูงล้ำ ตลอดมานี้เสี่ยเฉิงจึงได้บังเกิดความหวาดกลัวต่อเขาเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด
บัดนี้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเฉียนถงได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยเฉิงที่แต่เดิมก็ได้ถอยหลังให้อยู่สักหลายก้าว อีกทั้งยังได้ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาบ้างแล้ว
กระนั้นไม่นานนัก เขาก็ได้มีร่างกายที่แข็งทื่อขึ้นมา อีกทั้งยังได้มีสีหน้าที่โหดเหี้ยมขึ้นมา
มิผิด ตัวเองเมื่อสิบปีก่อน แน่นอนว่าย่อมต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียนถงอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรตามการบ่มเพาะเองก็นับว่าห่างชั้นกันถึงขั้นหนึ่ง แต่ว่าบัดนี้……
เขาที่คล้ายกับหวนนึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของเฉียนถงมาโดยตลอด อีกทั้งยังสลักลึกอยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจโดยที่ยังคงมีความคิดที่จะลองเสี่ยงปะทะดูด้วยเหมือนกัน
“เอ๊ะ ถึงบ้านแล้วอย่างงั้นหรือ?” เฉียนถงก็ได้เดินออกมาจากภายในเกลียวคลื่น ภายในดวงตาก็ได้มองเห็นเมืองเทียนหยวนที่นับได้ว่าไม่ได้อยู่ห่างไกลออกไป พร้อมกับหัวเราะออกมาฮาฮาว่า : “ถึงแม้จะกลับมาบ้านแล้ว ข้าผู้ชราที่ต้องไปรอคอยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นอย่างเบื่อหน่ายกันอยู่ดี”
ถึงแม้ภายในดาวลึกลับจะเงียบสงบไปทั้งสาย อีกทั้งยังมีลมปราณที่เข้มข้นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงขาดบางสิ่งบางอย่างกันอยู่เหมือนกัน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฉียนถงไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้
บัดนี้เมื่อได้หวนคืนกลับมาเยือนมาตุภูมิ และการกลับมาเยือนเมืองเทียนหยวนอีกครั้ง เฉียนถงเองก็ย่อมต้องมีจิตใจที่เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
“ดีดีดี ชางเอ่อเชวียนเอ่อ ไม่ได้พบกันนานหลายปี การบ่มเพาะพวกเจ้าเองก็นับว่ามีความรุดหน้าอยู่ไม่น้อย ถึงกับเพิ่มพูนขึ้นมาได้เหนือกว่าขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองแล้ว……เอ๊ะ? พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรกัน?” เฉียนถงถึงกับทอสีหน้าตะลึงลาน บนใบหน้าพลันปรากฎเป็นความเกรี้ยวกราดดั่งฟ้าผ่าปรากฏออกมาให้ได้เห็น: “เป็นผู้ใดกันที่ทำให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้?”
เขาที่ยังไม่ทันได้กระจ่างแจ้งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อทั้งสองคนก็ได้หันไปมองเฉียนถงด้วยอาการตะลึงลาน ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยตั้งสติกลับมาได้ คล้ายกับได้ผ่านพ้นไปสักครู่หนึ่ง ทั้งสองคนจึงค่อยหันไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเฉียนถงกันโดยพลัน
“ผู้อาวุโสเฉียน ศิษย์มีเรื่องที่ต้องแจ้งต่อท่าน เนื่องจากที่ไม่สามารถปกป้องตำหนักเงาจันทราเอาไว้ได้ ยังคงขอโปรดให้ผู้อาวุโสลงโทษด้วย!” เหว่ยกู่ชางได้ก้มหน้าลงจนใบหน้าจรดพื้น กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอโปรดท่านอาจารย์ลงโทษด้วย!” ต่งเชวียนเอ่อได้ก้มลงกราบกรานจนแนบชิดติดพื้น อีกทั้งยังถึงกับล้มพับร่ำไห้ออกมา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอริศัตรูที่มีจำนวนมากมายเสียกว่าฝ่ายตน ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับความตาย สองศิษย์พี่น้องทั้งก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วแม้แต่น้อย แต่ว่าในตอนนี้ เมื่อในยามเฉียนถงได้ปรากฏกาย ทั้งสองก็จึงค่อยได้ภาวะจิตใจที่เริ่มผ่อนคลายลงได้ในที่สุด ก็คล้ายกับทารกน้อยที่ได้พบเจอกับผู้หลักผู้ใหญ่แล้วรีบไปฟ้องก็มิปาน
ในยามนี้เฉียนถงเองก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แววตาอันเย็นเยียบก็หันไปมองรอบบริเวณบริเวณอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่พบเห็นร่างของเสี่ยเฉิงที่สั่นระริกอยู่เล็กน้อย ในบางครั้งบางคราวยังพอที่จะคาดเดาได้ว่า แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ไปไต่สวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในทันทีไม่ ในขณะที่ยื่นมือออกมา ก็ได้พยุงเหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อลุกขึ้น พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “ลุกขึ้นมาพูดคุยเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับตำหนักเงาจันทรา……เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว?”
เฉียนถงที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปเป็นคลื่นลมพายุฝนที่โหมกระหนำพัดที่มาเยือนถึงตรงหน้า ที่เพียงพอที่จะทำให้บรรยากาศทั้งฟ้าทั้งดินเกิดความหนักอึ้งขึ้นมาได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ตำหนักเงาจันทรา……ได้ล่มสลายลงแล้ว” เหว่ยกู่ชางก็ได้ตอบกลับพร้อมด้วยจิตใจที่เจ็บปวดรวดร้าว
“ล่มสลายลงแล้วงั้นหรือ?” เฉียนถงก็ได้มีสีหน้าตะลึงลาน : “เป็นผู้ใดทำกัน? บอกเล่ารายละเอียดมาหน่อยสิ”
“ขอรับ!” เหว่ยกู่ชางผสานมือคารวะและพยักหน้า ต่อมาก็ได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตำหนักเงาจันทราออกมาเป็นฉากๆ
เมื่อสองปีก่อน ที่จู่ๆ ทั่วทั้งดาวอนันตกาลก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นครั้งใหญ่ ได้มีขุมอำนาจประหลาดโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ อีกทั้งยังได้บุกโจมตีต่อสำนักใหญ่หลายต่อหลายแห่งภายในดาวอนันตกาลกันอย่างบ้าคลั่ง แต่หากเป็นผู้ที่มิยินยอมศิโรราบ ก็จะถูกฆ่าตายในทันที ในเวลานี้ ทั่วทั้งดาวอนันตกาลล้วนแล้วแต่ได้เกิดคลื่นพายุโลหิตขึ้นเป็นสาย จนหัวเมืองหลายต่อหลายแห่งต้องกลายเป็นเพียงซากไปในค่ำคืนเดียว พร้อมกับความสูญเสียที่เกิดจากสรรพชีวิตนับล้านล้าน ล้วนแต่ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถ กลายเป็นซากศพที่กองสุมกันเท่าภูเขาเลากา มีเลือดโลหิตไหลนองเป็นท้องธารา
ไม่นานนัก เงื้อมมือมารร้ายของขุมอำนาจลึกลับขุมนั้นก็ได้ยื่นจนมาถึงตำหนักเงาจันทราแล้ว ภายใต้การเผชิญหน้ากับบาปที่หนักหนา เหล่าเบื้องสูงของตำหนักเงาจันทราเองก็ไม่ทราบสมควรที่จะก้าวไปในทิศทางใดกันต่อไป
ตำหนักเงาจันทราเดิมก็แบ่งออกมาเป็นสองฝักสองฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว ในจุดนี้เมื่อในสมัยก่อนในช่วงเวลาที่เฉียนถงยังคงอยู่ในดาวอนันตกาลก็ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกกันแล้ว ภายใต้การเผชิญหน้ากับภยันตราย เช่นนี้ย่อมมีแต่ยิ่งทำให้เกิดเป็นผลกระทบที่สาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่าเดิมขึ้นอย่างแน่นอน
และท้ายที่สุดผลสุดท้ายก็ยังคงเป็นเสี่ยเฉิงที่ได้ขึ้นสู่การเป็นผู้นำของสำนักไปได้จนสำเร็จลุล่วงไป
เสี่ยเฉิงและพวกได้ลอบโจมตีผู้เฒ่าจ้าวตำหนักและเบื้องสูงของผู้นำทัพอีกบางส่วน นำไปสู่การที่ทำให้ตำหนักเงาจันทราต้องทั้งตายและบาดเจ็บสาหัส จนต้องแตกแยกกระจัดกระจายกัน
ภายใต้ค่ำคืนหนึ่ง ตำหนักเงาจันทราได้เปลี่ยนตัวผู้นำไปอย่างง่ายดาย และเสี่ยเฉิงเองก็ยังได้ขึ้นสู่การเป็นจ้าวตำหนักคนใหม่ของตำหนักเงาจันทราไปโดยปริยาย อีกทั้งยังได้หันไปสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจลึกลับแห่งนั้น
เบื้องสูงผู้ทรงพลังที่เมื่อครั้งในอดีตได้คอยสนับสนุนและยืนเคียงข้างเฉียนถงก็คล้ายกับได้ถูกเข่นฆ่าตายกันจนหมดสิ้น อีกทั้งแม้แต่เฟ่ยจื่อถูแห่งเมืองเทียนหยวนก็ยังถูกกักขังคุมตัวเอาไว้
ภายในตำหนักเงาจันทรา มีแต่เพียงพวกที่มีความโดดเด่นกันอยู่เล็กน้อยที่ยังพอจะสามารถหลบหนีออกมาได้ ก่อนหน้าที่เหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อทั้งสองคนจะดำเนินแผ่นการก่อนหนึ่งคืน ก็ได้ถูกจ้าวตำหนักผู้เฒ่าตรวจพบความเคลื่อนไหวและเรียกตัวไป จนทำให้พวกเขาต้องนำเอาสมบัติประจำสำนักติดตัวไปด้วย——จึงเป็นสาเหตุที่ถาดจันทร์ฟ้าเงินนั้นไม่ได้อยู่ภายในตำหนักเงาจันทรา
นี่ก็ผ่านพ้นมากว่าสองปีได้แล้ว ทั้งสองคนที่ตลอดมานี้ได้ปกปิดชื่อแซ่ ตระเวนไปทั้งตะวันออกตะวันตก มีชีวิตยากลำบากอย่างถึงขีดสุด
และการเดินทางมาปรากฏตัวอยู่ในละแวกใกล้กับเมืองเทียนหยวน แท้จริงแล้วก็เพื่อที่จะช่วยเหลือเฟ่ยจื่อถูนั้นเอง
เสี่ยเฉิงที่ได้ถ่ายทอดเสียงส่งมา วันนี้หากเฟ่ยจื่อถูยังมิยินยอมที่จะสวามิภักดิ์จะต้องถูกตัดหัวประจานอยู่ภายในเมืองเทียนหยวน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้นเหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อจึงค่อยได้ปรากฏตัวกันขึ้นหมายมั่นที่จะให้การช่วยเหลือ
ถึงแม้จะทราบดีอยู่ว่านี่เป็นกับดัก แต่ทั้งสองก็ยังคงกระโดดเข้ามาติดกับโดยที่ไม่มีทางเลือก
“ผู้เฒ่าจ้าวตำหนักได้ตายลงแล้ว!เจ้าแก่เฟ่ยก็ได้ถูกกักขังเอาไว้อย่างงั้นหรือ?” สีหน้าของเฉียนถงถึงกับดำคล้ำจนเสมือนดั่งมีควันทมิฬบดบังใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็พอที่จะสามารถเข้าใจถึงความเดือดดาลดั่งเปลวเพลิงจากเขากันได้
“สำนักหลิงเซี่ยวเล่า?” หยางไคเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ตำหนักเงาจันทราต้องมาประสบกับเภทภัยเยี่ยงนี้ไปเสียได้ สำนักหลิงเซี่ยวกลับหาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่?”
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
หากว่าเป็นสำนักหลิงเซี่ยวไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจริง เช่นนั้นเขาก็ช่างน่าผิดหวังจนเกินไปแล้ว
ก่อนอื่นหยางไคในยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เฉียนถงกับเฟ่ยจื่อถูเองก็ได้ค่อยให้ความช่วยเหลืออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พลังขอบเขตของเฟ่ยจื่อถูเกิดการถดถอย กลับหาได้มีความเกี่ยวข้องกับหยางไคไม่
ทว่าเมื่อได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน สำนักหลิงเซี่ยวที่มีเยี่ยซีจวินลคอยประจำการอยู่ ด้วยนิสัยของเยี่ยซีจวิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนิ่งดูดายกันอยู่แล้ว
“สำนักหลิงเซี่ยวเองก็มีส่วนให้ความช่วยเหลือ ศิษย์ของตำหนักเงาจันทราโดยส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่จะหลบหนีไปยังที่แห่งนั้น ล้วนแล้วแต่หันไปหลบภัยเข้ากับสำนักหลิงเซี่ยวกันแล้ว อีกทั้ง ผู้อาวุโสสูงสุดเยี่ยยังได้ส่งผู้ทรงพลังในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามมาเพื่อให้ความช่วยเหลืออีกบางส่วน เพียงแต่……”
“เพียงแต่เป็นเพราะอะไร?”
“เพียงแต่มิใช่คู่ต่อสู้ จึงได้มีการตายไปแล้วหลายคน จึงไม่อาจที่จะไม่ถอนตัวกับได้” เหว่ยกู่ชางทอสีหน้าโศกเศร้า
“อะไรกัน?” หยางไคเองก็ได้มีสีหน้าแตกตื่นตกใจไม่แพ้กัน
แม้แต่เฉียนถงก็ได้แสดงอาการไม่กล้าที่จะเชื่อออกมา
สำนักหลิงเซี่ยวเองก็ได้ส่งผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดเหล่านั้นออกเคลื่อนไหว แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้ทรงพลังที่มาจากขุนเขาจักรพรรดิดารา เป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกกัน อีกทั้งยังถึงกับตายไปอีกหลายคนเลยอย่างงั้นหรือ?
ตำหนักเงาจันทราย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ที่มีความแข็งแกร่งได้จนถึงเพียงนี้ได้!
“ท่ามกลางพรรคปราณผีดิบแห่งนั้นมีผู้ทรงพลังดุจดั่งเมฆหมอกบนท้องนภา เล่าลือกันว่าพวกเขายังมีผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันประจำการอยู่ ในหมู่คนของสำนักหลิงเซี่ยวก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันท่านนั้น” เหว่ยกู่ชางก็ได้กล่าวอธิบายออกมา
พรรคปราณผีดิบ ยิ่งนับได้ว่าเป็นดั่งนามของขุมอำนาจที่ลึกลับซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นมาใหม่เลยก็ว่าได้
“เป็นไปไม่ได้!” เฉียนถงก็ได้แสดงสีหน้าไม่อยากที่จะเชื่อออกมา
หยางไคเองก็ตะลึงขึ้นแล้ว
ดาวอนันตกาลได้มีผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันปรากฏตัวขึ้นอีกแล้วอย่างงั้นหรือ? อีกทั้ง ไม่ทันไรก็มีด้วยกันถึงสี่ท่านแล้วอย่างนั้นหรือ?
นี่เป็นไปได้ยังไงกัน?
ที่นี่มีกฎเกณฑ์ข้อจำกัดฟ้าดินอันมหัศจรรย์อยู่ ในรอบหลายหมื่นปีมานี้ล้วนแต่ยังหาได้เคยมีการถือกำเนิดขึ้นมาของผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันมาก่อน หากมิใช่ว่าเป็นเช่นนี้ เฉียนถงและพวกก็คงจะไม่มีทางที่จะออกเดินทางไปพร้อมกับหยางไคกันแล้ว
แต่ว่าในตอนนี้ เหว่ยกู่ชางถึงกับบอกว่าดาวอนันตกาลพวกเขาว่าได้มีการปรากฏของขอบเขตกำเนิดราชันถึงสี่ท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมยากที่จะทนทานต้านรับเอาไว้ได้
“ศิษย์ก็แค่ได้ยินได้ฟังข่าวลือมาเท่านั้น ดังนั้นสถานการณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ศิษย์ก็ไม่อาจที่จะกระจ่างแจ้งชัดเจนได้” เหว่ยกู่ชางทอสีหน้าโศกเศร้า ทันใดนั้นก็คล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พร้อมทั้งได้เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง: “ใช่แล้ว ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเยี่ยสมควรที่จะกระจ่างแจ้งทุกอย่างเป็นอย่างดีที่สุด”
“วาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หยางไคก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป
“เล่าลือกันว่าผู้อาวุโสสูงสุดเยี่ยครั้งหนึ่งได้เคยไปพบพานสองในสี่ท่านนี้มาก่อน อีกทั้งยังได้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จนต้องถอยกลับไปยังสำนักหลิงเซี่ยว จวบจนถึงวันนี้ยังคงอยู่ในระหว่างพักฟื้นอยู่”
เยี่ยซีจวินก็ได้รับบาดเจ็บไปทั้งร่างแล้ว!
นี่ย่อมถือได้ว่าเป็นข่าวที่น่าหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด
ทว่าหยางไคกับเฉียนถงก็ได้สบตามองกัน คล้ายกับได้เกิดการตัดสินใจอะไรบางอย่างจากข่าวลือได้บ้างแล้ว
ท่ามกลางการเล่าลือจากทั้งสี่คน สมควรที่จะไม่ใช่ขอบเขตกำเนิดราชัน มิเช่นนั้นแล้วละก็ เยี่ยซีจวินก็ได้หันหน้าสบตามองกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะถอนตัวออกมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ได้ ขอเพียงมีท่านใดที่ลงมือ ก็จะสามารถกลบฝังเยี่ยซีจวินได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่ว่าตามความเป็นจริง เยี่ยซีจวินก็ยังเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัสและหนีรอดมาได้ก็เท่านั้น
ทว่า ความสามารถของอีกฝ่ายแน่นอนว่าย่อมไม่อาจที่จะดูแคลนได้ การบ่มเพาะของเยี่ยซีจวินเองก็อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นสูงสุดหรือเหนือยิ่งไปกว่านั้นกันแล้ว หากมิใช่ว่าเป็นเพราะนางไม่ต้องการที่จะออกไปจากดาวอนันตกาล จะกลัวก็แต่เพียงว่านางในตอนนี้ได้เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตกำเนิดราชันไปแล้ว อีกฝ่ายยังออกมาเคลื่อนไหวเพื่อทำร้ายเยี่ยซีจวินจนบาดเจ็บเท่านั้น ดูเหมือนว่าคงจะยังอยู่ในการดำรงอยู่ระดับเดียวกันกับเยี่ยซีจวินเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีทางที่จะเหนือไปกว่าได้อย่างแน่นอน
สีหน้าของหยางไคและเฉียนถงเองก็ล้วนแต่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงกลับกลายกันไม่คลาย ก็ได้ค่อยๆ ทำการตีความในข้อมูลที่เหว่ยกู่ชางแจ้งมาให้อย่างเงียบเชียบ
คิดไม่ถึงว่า เมื่อได้ผ่านไปนานกว่าเจ็ดแปดปี ดาวอนันตกาลถึงกับเกิดเรื่องและความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ พรรคปราณผีดิบแห่งนั้นเป็นผีสางอันใดกัน? ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงได้คอยอยู่อย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยได้? อีกทั้งเมื่อโผล่ออกก็ยังถึงกับกะทันหันกันจนเกินไปแล้ว
“พี่หยางไม่ต้องเป็นห่วงสำนักหลิงเซี่ยวไป บัดนี้สำนักหลิงเซี่ยวยังนับว่าดินแดนบริสุทธิ์ผืนสุดท้ายของทั่วทั้งดาวอนันตกาลเพียงแห่งเดียวแล้วเท่านั้น ถึงแม้ภายนอกจะถูกรุกรานอย่างสาหัส แต่ก็ยังคงหาได้มีใครใดสามารถบุกโจมตีเข้าถึงภายในได้” เหว่ยกู่ชางที่เห็นหยางไคทอสีหน้าปั้นยากให้ได้เห็น ก็จึงได้รีบกล่าวปลอบโยน
“ในส่วนนี้ข้าย่อมต้องทราบอยู่แล้ว” หยางไคพยักหน้า
เกี่ยวกับความปลอดภัยของสำนักหลิงเซี่ยว หยางไคแทบจะหาได้เป็นห่วงไม่ หากเป็นภายนอกของสำนักหลิงเซี่ยว จะอย่างไรก็ยังมีไตรวงแหวนเพลิงอัคคีอีกสองสายคอยปกปัก นั่นที่เป็นเพียงสมบัติจักรพรรดิ ต่อให้เป็นผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันมาเยือนเอง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทลายการโจมตีที่เกิดจากการป้องกันไตรวงแหวนเพลิงอัคคีได้อย่างแน่นอน
“ถึงแม้ว่าจะผู้ไม่ยินยอมสวามิภักดิ์อีกมากมายที่ได้หลบหนีเข้าไปที่สำนักหลิงเซี่ยว แต่ว่า……” เหว่ยกู่ชางถอนหายใจออกมา
ก่อนหน้านี้เขาและต่งเชวียนเอ่อเองก็ได้หารือกันโดยที่จะเข้าร่วมกับสำนักหลิงเซี่ยว เพียงแต่น่าเสียดายที่ศัตรูจากภายนอกนั้นกลับมีอยู่มากจนเกินไป พวกเขาจึงแทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้
อีกทั้งยังต้องระหนระแหงหัวซุกหัวซุนเป็นเวลากว่าสองปี มิหนำซ้ำยังต้องทนทุกข์ผ่านชีวิตอันแสนยากลำบากเป็นอย่างยิ่งอีก
“วาจาน่าเบื่อหน่ายก็พูดจนจบแล้วใช่หรือไม่?” ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียงอันเย็นเยียบดังออกมาจากทางด้านข้าง
เสี่ยเฉิง!
เขาก็ได้หันไปเหลือบมองทางด้านข้างด้วยความเย็นชา โดยที่ยังคงยืนอยู่เหมือนดั่งผู้ที่เหนือกว่า หาได้มีการลงมือเข้าโจมตีเพื่อหยุดการรายงานและเปิดเผยความเป็นมาจากเหว่ยกู่ชางไม่ มิหนำซ้ำยังรอคอยให้ถึงตอนนี้จึงค่อยได้โพล่งออกมาอย่างกะทันหัน
เฉียนถงสะบัดหน้าหันไปมองเขา พร้อมทั้งทอสีหน้าเย็นเยียบออกมา สาดทอแววตาเป็นประกายคมดุจดาบที่คมกล้า
ในใจเสี่ยเฉิงพลันหวั่นไหว จนถึงขั้นที่ต้องข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาแล้วกล่าว: “ผู้อาวุโสเฉียนสูงสุด ไม่ได้พบกันนานแล้ว!”
“เสี่ยเฉิง!” เฉียนถงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ : “ดูเหมือนว่าข้าผู้ชราเมื่อในสมัยก่อนจะคงมีเมตตาจนเกินไปแล้ว เดิมทีที่เห็นแก่ความเป็นผู้สืบทอดของตำหนักเงาจันทราเช่นเดียวกัน หากมัวแต่มาเข่นฆ่ากันเองก็คงจะมีแต่จะส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจของตำหนักเงาจันทราจนเกินไปได้ ดังนั้นเมื่อในอดีตในช่วงที่ตระกูลเสี่ยก่อความโกลาหล ข้าผู้ชราจึงค่อยได้ปล่อยเจ้าไปสักครา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจากความเมตตาในวันนั้นจะกลับกลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ ข้าผู้แซ่เฉียนต่อให้ถูกฆ่านับหมื่นครั้งก็ยังคงยากที่จะชำระบาปนี้ได้!”
“ฮาฮาฮา!” เสี่ยเฉิงก็พลันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง : “เฉียนถง ความตายใกล้มาเยือนอยู่รอมร่อแล้ว ยังกล้ามากล่าววาจาสามหาวอีก!เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวอะไรกัน ผิดแล้ว เมื่อในอดีตเจ้าย่อมเป็นที่หวาดกลัวของข้าผู้ชราอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็มีความสามารถที่จะฆ่าข้าอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าเมื่อในอดีตกลับหาได้ทำเช่นนั้นไม่ และก็จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว ข้าผู้ชราในวันนี้ได้ยืนอยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามแล้ว ยิ่งได้เป็นถึงจ้าวตำหนักของตำหนักเงาจันทรา เจ้าหาได้ใช่เป็นคู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไปแล้ว! เฉียนถง เห็นแก่ที่เจ้าได้เคยสร้างความดีความชอบให้แก่ตำหนักเงาจันทรา ข้าผู้เป็นเจ้าตำหนักจะละเว้นโทษตายให้แก่เจ้า ขอเพียงเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อพรรคปราณผีดิบ ข้าผู้เป็นเจ้าตำหนักอาจจะใคร่ครวญในการกลับคืนสู่ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดให้แก่เจ้าก็เป็นได้!”
เฉียนถงก็ได้หันไปเหม่อมองเขาด้วยความเยือกเย็น เหมือนกับกำลังมองตัวตลกที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่านั้นย่อมต้องเป็นสายตาที่ทั้งดูแคลนและเหยียดหยามที่ไม่ได้พบเห็นกันได้ง่ายๆ
หยางไคก็ถูกเสี่ยเฉิงบอกกล่าวจนขบขันขึ้นมาแล้ว
เสี่ยเฉิงที่ทว่าพึ่งจะเข้าสู่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามมาได้เพียงไม่กี่ปี ก็ถึงกับยังอาจหาญมาท้าทายกับเฉียนถงอีกก ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้จักสะกดคำว่าตายนั้นเขียนกันอย่างไรแล้ว
.
.
.