ตอนที่ 1669 ที่ต้องตายนั้นก็คือเจ้า
ตอนที่ 1669 ที่ต้องตายนั้นก็คือเจ้า
สมบัติลับดวงจันทร์ดวงหนึ่งเช่นนี้ถึงแม้จะแฝงไว้ด้วยพลังทำลายที่ยากคาดเดาได้ แต่จากการที่เหว่ยกู่ชางกระตุ้นขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ย่อมทำให้เกิดการหดตัวลงไปไม่น้อย ท่ามกลางการต่อสู้ เขาถึงกับแทบจะเรียกได้ว่าต้องยัดโอสถปราณไว้ภายในปากไม่หยุดไม่หย่อน คาดหวังเอาไว้ว่าจะสามารถฟื้นฟูลมปราณศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาได้คาดคิดเอาไว้เช่นนั้น
และผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดทั้งห้าท่านที่ปิดล้อมจู่โจมเขาอยู่นั้นก็คล้ายกับจะขว้างหนูก็กลัวจะไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ แต่กลับหาได้ลงมือฆ่าพวกเขาในทันทีไม่ เพียงแต่คอยต่อสู้อยู่กับทางด้านข้างเท่านั้น เพื่อคอยลดทอนพละกำลังและลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองคน ราวกับคิดที่จะจับเป็นพวกเขา
[1] อุปมาว่า อยากจะโจมตีคนเลวก็กลัวไปกระทบคนดีที่อยู่ข้างๆ เข้า
และในจุดที่ไม่ห่างไกลออกไป ก็ได้มีผู้ทรงพลังในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามผู้หนึ่งยืนอยู่ในที่แห่งนั้นในลักษณะมือไพล่อยู่ทางด้านหลัง สาดเป็นแววตาอันเยียบเย็นมองไปที่เหว่ยกู่ชาง พร้อมทั้งแผดเสียงดังก้อง: “ศิษย์หลานเหว่ย อย่าได้เอาแต่ต่อต้านกันแล้ว ส่งมอบถาดจันทร์ฟ้าเงินมาเถอะ อาจารย์อาจจะไว้ชีวิตโทษตายให้กับเจ้า!”
“เพ่ย!” เหว่ยกู่ชางสบถออกมาอย่างรังเกียจ ถึงแม้จะตกอยู่ในสภาพที่จนตรอกอย่างถึงที่สุด แต่บนใบหน้ากลับยังคงเปี่ยมไปด้วยสีหน้าดูแคลนออกมา: “เสี่ยลี่ เสียทีที่ครั้งหนึ่งเจ้าได้เคยเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเงาจันทรา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดความละโมบอย่างไม่เกรงกลัวความตาย ไม่เพียงแต่จะชักนำปีศาจชั่วร้ายมา เพื่อบ่อนทำลายสำนักจนวอดวาย บัดนี้ยังยินดีพร้อมใจที่จะเป็นขี้ข้าสุนัขรับใช้ให้พวกนั้นอีก ฮาฮาฮา……คิดที่จะให้ข้าส่งมอบถาดจันทร์ฟ้าเงินให้ หากมีปัญหาก็มาหยิบฉวยไปเองได้เลย!”
เหว่ยกู่ชางที่ร่างอาบเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับยังคงไม่อาจที่จะบดบังลักษณะความองอาจเยี่ยงวีรบุรุษที่สะสมมานานปีที่ยังคงแผ่ซ่านไปไกลกว่าหมื่นจั้งได้
เสี่ยลี่เพียงทอสีหน้าเย็นชา สาดทอแววตาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันออกมา
คำพูดของเหว่ยกู่ชางนี้แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการจี้เข้าจุดที่เจ็บปวดของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับหาได้มีการเคลื่อนไหวใดไม่ เพียงแต่ยังคงพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุดต่อไป: “ศิษย์หลานเหว่ย เจ้าเองก็นับเป็นคนที่มีความโดดเด่นในรุ่น แท้จริงแล้วไม่ทราบหรือว่าอันใดที่เรียกกันว่านกที่ดีจะรู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอน? ดาวอนันตกาลในตอนนี้ กลับมีแต่เพียงท่านผู้นั้นที่เพียงพลิกมือก็ครอบคลุมไปทั้งผืนฟ้าได้แล้วเท่านั้น ตำหนักเงาจันทราและสำนักใหญ่อีกหลายต่อหลายแห่งยังไม่อาจที่จะเทียบรัศมีได้ อาจารย์อาก็คำนึงเอาไว้แล้วว่าเจ้ายังคงอ่อนเยาว์ไม่รู้ความ ไม่คิดที่จะเอาความมากความกับเจ้า ส่งมอบถาดจันทร์ฟ้าเงินออกมา เจ้าก็จากไปได้เลย มิเช่นนั้นแล้วละก็……หากเจ้าต่อให้ถูกทุบตีจนตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ แท้จริงแล้วเจ้าคิดจะไม่ใคร่ครวญแทนเชวียนเอ่อบ้างเลยอย่างงั้นหรือ? นางที่มีทั้งโฉมสะคราญทั้งเยาว์วัย หากต้องถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าในที่แห่งนี้ คิดว่าตัวเจ้าเองจะไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อยเลยอย่างงั้นหรือ?”
เหว่ยกู่ชางพลันสาดทอแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมทั้งกระตุ้นพลังขึ้นจนสูง จากนั้นก็ได้หันไปเหม่อมองเชวียนเอ่อจากแววตาที่แดงซ่านระคนดุร้ายก็ได้ถูกแทนที่เข้าไปด้วยแววตาที่แสนจะอบอุ่นขึ้นมาภายในพริบตา
ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่า เสี่ยลี่นับได้ว่าเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว กล่าวออกมาเพียงไม่กี่คำก็สามารถที่จะคลี่คลายสภาวะของเหว่ยกู่ชางลงได้แล้ว
ต่งเชวียนเอ่อเองก็ได้กัดฟันไว้จนแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว: “ศิษย์พี่อย่าได้ไปฟังเขากล่าววาจาเหลวไหล เขาหาได้เป็นอาจารย์อาของพวกเราอีกต่อไปแล้ว ชีวิตนี้เชวียนเอ่อจะขอร่วมเป็นร่วมตายกับศิษย์พี่เอง ต่อให้ต้องตายก็จะไม่เสียใจเป็นอันขาด กระนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็จะไม่มีวันที่จะส่งมอบถาดจันทร์ฟ้าเงินให้อย่างแน่นอน!”
“เชวียนเอ่อ……” เหว่ยกู่ชางกล่าวพึมพำขึ้นมาเล็กน้อย
และในเวลานี้เอง ภายในดวงตาของเสี่ยลี่ก็ได้สาดเป็นประกายเจิดจ้าออกมา เขาที่รั้งสภาวะไม่ขยับเคลื่อนไหวเพื่อเก็บออมความบริสุทธิ์ของลมปราณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ จากนั้นก็ได้ชี้ไปยังทางด้านของเหว่ยกู่ชาง
จนเกิดเป็นประกายแสงดำทมิฬสายหนึ่งขึ้น ก็พลันพุ่งปราดออกไปตามปลายนิ้วมือของเขา พุ่งผ่านเข้าไปยังหน้าอกของเหว่ยกู่ชางไปภายในพริบตาในช่วงขณะที่เขายังไม่ทันจะได้ตั้งตัว
ร่างกายของเหว่ยกู่ชางพลันเกิดการสั่นไหวขึ้น เหมือนกับได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยที่กระอักเลือดออกมาคำโต เดิมทีก็ตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนโทรมกันอยู่แล้ว จนถึงกับถูกกระแทกจนต้องถอยร่นไปไกลนับสิบจั้งจึงค่อยสามารถทรงตัวได้มั่น
“ศิษย์พี่!” ต่งเชวียนเอ่อแตกตื่นขึ้นยกใหญ่ กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ประดั่งนกกาเหว่าระทมออกมาเป็นสายเลือด จนทำให้ผู้คนต้องหลั่งน้ำตาออกมาตามๆ กัน
บนสีหน้าของเสี่ยลี่ก็ได้สาดเป็นสีหน้าที่ดุร้ายออกมา เพียงหัวเราะออกมาเสียงดังก้องกังวาน: “เจ้าเด็กโสโครก ถึงกับอาจหาญมาต่อกรกับข้าผู้ชรา ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะตายหรือไม่ตาย บุกเข้าไปฆ่ากันได้แล้ว!”
“บัดนี้!” เหว่ยกู่ชางกัดฟันพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาล อีกทั้งยังกำลังหันไปมองศัตรูที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังสภาวะที่รุนแรงซึ่งอยู่เบื้องหน้าของตัวเอง สมบัติลับและวิชาลับมากมายได้สาดแสงเป็นประกาย ปกคลุมร่างกายของตัวเองเอาไว้ ลมปราณศักดิ์สิทธิ์จากทั้งร่างก็แทบจะไม่อาจที่จะปัดป้องเอาไว้ได้เลย จากนั้นถาดแสงสีเงินประดั่งดวงจันทราก็ได้ลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะเริ่มที่จะสาดแสงริบหรี่ลง จนแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแม้แต่น้อย
ความตายเองก็กำลังคืบคลานเข้ามายังทางด้านของตนเอง
ที่น่าประหลาดก็คือ ชั่วพริบตานั้นเองของเหว่ยกู่ชาง ก็ได้ทอสีหน้าอบอุ่นขึ้นมา เพียงแต่ในช่วงสุดท้ายที่หันไปมองต่งเชวียนเอ่อ ภายในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวดใจ
และที่ด้านหลังของต่งเชวียนเอ่อ ผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดอีกสองคนจากอีกทางด้านโดยที่มุ่งหน้าสำแดงพลังการโจมตีเข้ามาจากทางด้านหลังของนาง
ต่งเชวียนเอ่อก็ได้หันไปยิ้มให้แก่เขา ทันใดนั้นทั่วทั้งโลกหล้าก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นสดใสขึ้นมา
ภายใต้การเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ทั้งสองคนแทบจะหาได้เปล่งวาจาออกมาแม้แต่น้อย เพียงแต่ใช้สายตามองเข้าไปรวมกัน พร้อมกับพอที่จะทราบได้ถึงความพึงพอใจที่กำลังเกิดขึ้นนี้แล้ว แม้จะไม่ได้เกิดในวันเดือนปีเดียวกัน แต่ก็ยังสามารถที่จะตายในวันเดือนปีเดียวกันได้ เพียงแค่นี้ยังมีอันใดให้เรียกร้องกันได้อีก
เหว่ยกู่ชางก็ได้ยื่นมือคว้าต่งเชวียนเอ่อเอาไว้ ต่งเชวียนเอ่อเองก็ได้ยื่นมืออันขาวผ่องของตัวเองออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
ฝ่ามือสองข้างได้ผนึกรวมกันลอยคว้างอยู่ท่ามกลางเวหา ราวกับผสานรวมกันเป็นร่างเดียวกันเลยทีเดียว
ทันทีที่ทั้งสองคนได้สวมกอดกันอย่างแนบชิด ก็ได้หลับตาทั้งสองข้างลง รอคอยให้ความตายคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบงัน
ที่ข้างโสตพลันเกิดเป็นเสียงร้องของศัตรูหลายคนดังขึ้น คล้ายกับได้ถูกพลังอันมหาศาลบางอย่างกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีเสียงของกระดูกหักดังออกมาไม่ขาด ถึงกับเป็นเรื่องที่เหนือจากความตายที่คิดเอาไว้ขึ้นมา……
เหว่ยกู่ชางขมวดคิ้วชนกัน แล้วก็ได้ใช้แววตามองออกไปด้วยความฉงนสงสัย ประจวบกับได้พบเห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยปรากฏตัวโดยที่ยืนอยู่ที่ข้างกาย อีกทั้งยังได้หันมามองตัวเองด้วยท่าทางยิ้มแย้มอย่างเย็นชา
เหว่ยกู่ชางเองก็ตะลึงลานขึ้นแล้ว ถึงกับเบิ่งตาขึ้นจนกว้างภายในพริบตา ราวกับไม่อยากที่จะเชื่อได้ลงต่อภาพที่กำลังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้าของตัวเองได้
อีกทั้งยังถึงกับต้องขยี้ตาโดยแรง แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าสายตาผู้ย่อมไม่ใช่ภาพลวงตาของเขาอย่างแน่นอน เหว่ยกู่ชางถึงกับโพล่งออกมาอย่างลืมตัว: “พี่หยาง!”
ผู้ที่มายืนอยู่ที่ด้านข้างของตัวเองนั้น เห็นได้ชัดว่าย่อมต้องเป็นหยางไค!
เหว่ยกู่ชางถึงกับจิตใจเต้นตุ้มตุ้มตอมตอมขึ้นโดยพลัน
หยางไคที่ได้ออกไปจากดาวอนันตกาลมาตั้งแต่แรกแล้ว ยังได้คิดที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปยังแดนดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล ในข้อนี้เหว่ยกู่ชางย่อมต้องทราบกันอยู่แล้ว เพราะว่าเขาไม่เพียงแต่จะได้ยินได้ฟังเฟ่ยจื่อถูเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่านั้น ในทุกครั้งในเวลาที่เอ่ยถึง เฟ่ยจื่อถูเองก็มีสีหน้าโศกเศร้าเสียใจระคนเสียใจออกมา
เมื่อในอดีตหากมิใช่เป็นเพราะว่าเขานั้นก้าวข้ามพลังขอบเขตล้มเหลว เขาเองก็สามารถที่จะติดตามหยางไคเพื่อออกไปจากดาวอนันตกาลกันแล้ว เพื่อที่จะได้รู้จักกับความเจิดจรัสและแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในแดนดารา
แต่ก็ยังคงมีทุกเหตุการณ์ที่ถาโถมเข้ามา เรื่องเกิดเรื่องอย่างการบ่มเพาะล้มเหลวขึ้นกับเขา
ท้ายที่สุดทางด้านของตำหนักเงาจันทรา ก็ได้ติดตามหยางไคจากไปด้วย เหลือไว้แต่เพียงเฉียนถงเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหยางไคจากไป ก็น่าจะประมาณเจ็ดแปดปีก่อน หาได้มีข่าวคราวใดถ่ายทอดออกมาไม่ ยังมีผู้ใดไม่ทราบกันบ้างว่าพวกเขานั้นได้อยู่ภายในแดนดาราปลอดภัยหรือไม่
แต่ว่าในวันนี้ กลับได้ปรากฏตัวในช่วงเวลาที่วิกฤติสำคัญ หยางไคก็ได้ปรากฏกายขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์แล้ว อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือศิษย์พี่น้องของตัวเองเอาไว้!
หยางไคคล้ายกับได้หวนนึกกลับไปในทันที ผู้อาวุโสเฉียนผู้นั้นเล่า? เหว่ยกู่ชางจึงได้รีบสะบัดหน้ามองไปโดยรอบ แต่นอกเสียจากจะพบเห็นแต่เพียงสาวงามสองนางที่ไม่รู้จักแล้ว ก็ไม่อาจพบเห็นร่องรอยของผู้อาวุโสเฉียนได้อีกแล้ว
เหว่ยกู่ชางเองก็จิตใจร่วงหล่นลงไปถึงตาตุ่มแล้ว
“ผู้อาวุโสเฉียนช่างเยี่ยมยอดนัก พี่เหว่ยมิต้องเป็นห่วงไป” หยางไคก็ได้มองไปที่สีหน้าของเขา ยิ่งไม่อาจที่จะทราบได้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรกันแล้ว จึงค่อยได้คลายใจลงได้โดยพลัน : “ไม่ได้พบกันนานหลายปีนะ พี่เหว่ย……อือ ยังคงสง่างามเหมือนเดิมเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำเยินยอของหยางไค เหว่ยกู่ชางก็ทำได้แต่ยิ้มแย้มหัวเราะออกมา แต่เลือดก็ยังคงติดอยู่ตรงมุมปากก็ได้ทำให้เขาดูเหมือนดุร้ายขึ้นมาเป็นพิเศษแล้ว: “นี่พี่หยางกำลังล้อเล่นกับข้าผู้แซ่เหว่ยอยู่อย่างงั้นหรือ?”
“มิบังอาจมิบังอาจ!”
“ศิษย์พี่……ท่านปล่อยข้าไปก่อนเถอะ” ต่งเชวียนเอ่อก็ได้เปล่งเสียงดังเข้าที่ข้างโสตของเหว่ยกู่ชาง
เขาเองก็ตะลึงลานขึ้น นี่จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ ว่าตัวเองยังคงกอดรัดต่งเชวียนเอ่อเอาไว้จนแน่นอยู่ จนถึงบัดนี้ยังถึงกับหาได้ปล่อยมือไม่
ด้วยความอบอุ่นที่มาจากภายในอ้อมแขนและร่างกายที่อรชร ข้างโสตยังคงมีเสียงของลมหายใจที่ทำให้เหว่ยกู่ชางยากจะอธิบายออกมาได้ อีกทั้งตรงหน้าอกยังเอ่อล้นไปด้วยความคิดที่ไม่ยอมแพ้พลุ่งพล่านขึ้นมา
สองศิษย์พี่น้องถึงแม้จะรักใคร่กันมานานแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ทั้งสองต่างก็หาได้เคยมีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจนเกินเลยไปมาก่อนไม่ ในครั้งนี้หากมิใช่เป็นเพราะตกอยู่ภายใต้วิกฤติความเป็นความตาย เกรงว่าก็คงจะไม่อาจที่จะทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน
จึงค่อยได้ค่อยๆ ปล่อยต่งเชวียนเอ่อไป เหว่ยกู่ชางทำได้แต่เพียงส่ายหน้าไปมา: “เป็นที่ขายหน้าของพี่หยางแล้ว”
ต่งเชวียนเอ่อก็ได้ยิ้มแย้มออกมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรือ จากนั้นก็ได้ก้มหน้าก้มตาลง โดยที่ไม่เปล่งวาจาเลยแม้แต่น้อย
ซูเหยียนและเซี่ยหนิงซางก็ได้สบตามองกัน พร้อมทั้งแย้มยิ้มน้อยๆ
“พี่เหว่ยและแม่นางต่งประจบกับความทุกข์ยาก ข้าผู้แซ่หยางรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก มีหรือที่จะหัวเราะได้” หยางไคที่ทอสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมกับเงยหน้าเปิดเปลือกตาหันไปมองบริเวณทางด้านหน้าในทันที พร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างเฉยชาว่า : “นี่เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? ช่วงเวลาหลายปีที่ข้าได้จากไปนี้ ตำหนักเงาจันทราคล้ายกับได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างขึ้นกันแล้ว”
รักกัน ชอบกัน แวะไปที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เลยครับ
ในขณะที่เงียบเชียบไม่กล่าววาจา เหว่ยกู่ชางก็ได้มีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา: “เหตุไฉนตำหนักเงาจันทรา ที่ทำให้ทั่วทั้งดาวอนันตกาลยังต้องฟ้าถล่มดินทลายแล้ว ผ่านไปไม่ทันไรก็ยิ่งเหมือนกับยังไม่กระจ่างแจ้งชัดเจนขึ้น กระนั้นคนผู้นี้เดิมทีก็เป็นหนึ่งในเบื้องสูงของตำหนักเงาจันทราเรา อีกทั้งยังมีอำนาจมากมาย บัดนี้กลับหันไปแอบอิงอริศัตรู คอยก่อกรรมทำเข็ญ อีกทั้งยังได้ลอบฆ่าท่านผู้เฒ่าเจ้าตำหนัก กักขังท่านเจ้าเมืองเฝ้ยอย่างงั้นหรือ!”
“ฆ่าท่านผู้เฒ่าเจ้าตำหนัก กักขังท่านเจ้าเมืองเฝ้ยอย่างงั้นหรือ?” หยางไคเองก็ได้ทอสีหน้าแตกตื่นตกใจออกมา
“มิผิด!”
“เดรัจฉานน้อย ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” ทางด้านของอีกฝ่าย เสี่ยลี่ที่ทอสีหน้าเย็นเยียบเหม่อมองไปที่หยางไค และแววตาคู่นั้นก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่แค้นเคืองดุจพบกันศัตรูคู่แค้น คล้ายกับว่าหยางไคและเขานั้นมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกต่อกันก็มิปาน พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นหัวเราะดังก้องไปทั้งฟ้า: “[2] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย ข้าผู้ชราเองก็ได้ตามหาเจ้ามานานปี คิดไม่ถึงว่าเดรัจฉานน้อยอย่างเจ้าวันนี้จะถึงกับมาหาเองถึงที่ ดี ดีมาก วันนี้ข้าผู้ชราจะฆ่าเจ้าแล้ว เพื่อที่จะได้ล้างแค้นให้แก่บุตรชายข้าที่ได้ลาจากไปด้วยความคับแค้น!”
[2] หมายถึง พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยประสบพบเจอกันมาแล้วนั่นเอง
“เจ้ารู้จักข้าอย่างงั้นหรือ?” หยางไคจึงค่อยได้หันไปมองเขาด้วยความสงสัย
เสี่ยลี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “เมื่อสิบปีก่อน เสี่ยหงเหวินที่ตายด้วยเงื้อมมือเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
“เสี่ยหงเหวิน?” หยางไคขมวดคิ้ว จากนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ในทันที: “ที่เจ้าหมายถึงก็คือนายน้อยตระกูลเสี่ยที่นำพาผู้คนมาเพื่อลอบสังหารข้าผู้นั้นอย่างงั้นหรือ”
“มิผิด!”
“ในเมื่อกล่าวมาเช่นนี้ เจ้าก็คือบิดาของเสี่ยหงเหวิน เสี่ยลี่แล้วสินะ?” หยางไคพลันกระจ่างในสถานะของอีกฝ่ายขึ้นมาได้
“เป็นข้าผู้ชราเอง!วันนี้ก็จะได้เวลาที่ข้าจะได้ล้างแค้นให้กับบุตรชายข้าผู้นั้นแล้ว เดรัจฉานน้อย เจ้ามีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่?” เสี่ยลี่กัดฟันด้วยความโกรธ สาดทอแววตาทั้งคู่กลายเป็นสีแดงซ่าน ประดุจดั่งสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งก็มิปาน ถึงกับทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหนาวเหน็บสั่นสะท้านกันขึ้นมา
หยางไคหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา: “เสี่ยหงเหวินตายแล้ว ทั้งหมดล้วนแต่เกิดมาจากข้าโดยทั้งสิ้น จะไปโทษใครก็ไม่ได้ด้วยสิ”
“ที่แท้ก็คนที่เป็นคนร้าย ถึงกับยังกล้ามาโต้แย้งอย่างไร้เหตุผลอีก ประเสริฐ ในเมื่อเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ เช่นนั้นวันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้า เป็นเจ้าที่หาเรื่องใส่ตัวเองนะ จะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะไปโทษผู้ใดได้” เสี่ยลี่แผดเสียงกู่ร้องออกมาจนสุดเสียง
หยางไคแสยะยิ้มออกมา แล้วส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว: “ตาแก่ เจ้ากล่าวผิดแล้ว วันนี้ข้าจะไม่ตาย ที่ต้องตายนั้นกลับเป็นเจ้า”
เสี่ยลี่หัวเราะออกมาเสียงดังกังวาน: “เจ้าเด็กน้อยขนเหลือง เจ้าคิดหรือว่าข้าผู้ชราจะยอมฟังที่เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลออกมากัน”
“เจ้าจะฟังหรือไม่ฟังเกี่ยวอะไรกับข้ากัน ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเรื่องของตำหนักเงาจันทรา ข้าเองก็ไม่สะดวกที่จะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว เช่นนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสเฉียนมาจัดการลบล้างสำนักเลยก็แล้วกัน” หยางไคเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะโต้เถียงกับเสี่ยลี่อีกต่อไป เพียงแผ่จิตสัมผัสเชื่อมโยงเข้ากับดาวลึกลับ จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงไปให้แก่เฉียนถงได้ฟัง พร้อมทั้งยื่นมือแตะออกไปยังบริเวณทางด้านหน้า
“ผู้อาวุโสเฉียน……” เหว่ยกู่ชางนิ่งเงียบมิกล่าววาจา เพียงแสดงอาการเบิกบานออกมา จนกระทั่งดวงตาทั้งสี่ดวงได้เหม่อมองออกไป: “ผู้อาวุโสเฉียนอยู่ที่ใดกัน?”
“ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ด้วยอย่างงั้นหรือ?” ต่งเชวียนเอ่อเองก็ได้มีสีหน้ายินดีออกมาเป็นสาย
“ย่อมต้องอยู่แน่นอน” หยางไคยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ชี้ไปยังจุดที่เกิดเป็นพลังอันลี้ลับผุดออกมา พร้อมกับเกิดเป็นเกลียวคลื่นมรสุมค่อยๆ ที่จะปรากฏขึ้นมาจากเบื้องหน้า
สายตาของเหว่ยกู่ชางและต่งเชวียนเอ่อก็ได้ถูกดึงดูดเข้าไป คอยเฝ้าสถานที่แห่งนี้อยู่อย่างกระชั้นชิด ภายใต้เกลียวคลื่นนั้น ก็ได้มีเงาของผู้ชราตนหนึ่งเดินออกมา
เฉียนถง!
“นี่คืออะไร!” เสี่ยลี่ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อีกทั้งยังได้จ้องเขม็งไปที่เกลียวคลื่นมรสุมที่สุดแสนอันตราย มีหรือที่จะยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเฉียนถงเดินออกมาจากในที่แห่งนั้นได้อย่างไร อีกทั้งเกลียวคลื่นมรสุมนั้น ราวกับสามารถพัดจนหลุดไปถึงอีกมิติหนึ่งได้ก็มิปาน จนทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกกันขึ้นมา
ทว่าไม่นานนัก สายตาของเขาก็ได้หันไปมองกันอยู่รวมกันที่ร่างของเฉียนถง พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
.
.
.