ตอนที่แล้วตอนที่ 1664 เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1666 ถูกตัดสินเป็นแค่เพียงฝุ่นธุลี

ตอนที่ 1665 สงครามใต้พิภพ


ตอนที่ 1665 สงครามใต้พิภพ

ที่เบื้องหน้าหัวเรือหลักของนิกายแสงอัคคี กลุ่มชนชั้นหัวกะทิของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่อยู่ภายใต้การนำทัพของลั่วหลี ได้บุกทะลวงทุกอย่างราบเป็นหน้ากลองมาตลอดทาง โจมตีทลายแนวป้องกันไปหลายต่อหลายชั้น จนกระทั่งบุกเข้ามาจนถึงบริเวณจุดที่เป็นศูนย์กลางไปในทันที

เรือรบทั้งห้าลำต่อแถวตอนแนวเดียว ผลึกปืนใหญ่ดำทมิฬที่อยู่ภายในปากกระบอกได้ถูกกระตุ้นขึ้นด้วยพลังอันมหาศาล โดยที่เพ่งเล็งเข้าไปที่อีกฝ่ายที่อยู่ทางด้านล่าง ถ่ายทอดบรรยากาศพลังความตายและการทำลายล้างออกมา

ที่ด้านบนเรือหลัก ลั่วหลีได้ทอสีหน้าเย็นชา พร้อมกับก้มหน้ามองลง เหล่าเบื้องสูงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นแต่ละคนอยู่ในกิริยาสง่าผ่าเผย แยกย้ายกันออกเป็นสองทาง

บริเวณทางด้านล่างกว่าร้อยจั้ง ที่มีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง บัดนี้ เหล่าเบื้องสูงของนิกายแสงอัคคีเองก็ได้มารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้กันแล้ว โดยที่มีเว่ยชิงเป็นผู้นำ พร้อมทั้งทอสีหน้าปั้นยากแหงนหน้ามองขึ้นไป

ตรงบริเวณใจกลางระหว่างสองกองทัพ ยังได้มีเปลวเพลิงสีแดงสาดเป็นประกายร้อนระอุแฝงเอาไว้อีกชั้น

นี่ก็คือประการชั้นป้องกันสุดท้ายของนิกายแสงอัคคีแล้ว ทันทีที่ถูกทลายลง เช่นนั้นนิกายแสงอัคคีก็จะไม่มีพื้นที่ใช้ไว้เพื่อป้องกันแล้วโดยสิ้นเชิง ทำได้แต่เพียงยอมปล่อยให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นบุกรุกกันเข้ามา

เมื่อได้สบตามองกันอยู่นาน เว่ยชิงจึงค่อยตะโกนออกมาเสียงดังลั่น:“ผู้อาวุโสลั่วหลี หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นคิดที่จะตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับนิกายแสงอัคคีเราอย่างงั้นหรือ ?”

“ถูกต้อง !”ลั่วหลีตอบรับ

เว่ยชิงหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน : “ในเมื่อได้รับเกียรติจากผู้อาวุโสลั่วหลีเป็นผู้ลงมือเอง ย่อมนับเป็นเกียรติอันสูงสุดของนิกายแสงอัคคีข้าแล้ว แต่ทว่า……ผู้อาวุโสคิดหรือว่านิกายแสงอัคคีเราจะสามารถบดขยี้ได้ง่ายเหมือนดั่งลูกพลับอย่างงั้นหรือ จนสามารถที่จะบีบจะเคล้นอย่างไรได้ตามแต่ต้องการ ? ผู้เยาว์ยังคงขอแนะนำผู้อาวุโสสักคำ หากยังไม่ต้องการที่จะให้ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อาจพลิกฟื้นกลับมาได้อีกแล้วละก็ ยังคงขอเชิญให้ล่าถอยไปเสียแต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นท่านผู้อาวุโสจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน !”

“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างงั้นหรือ ?”ลั่วหลีสาดแววตาที่คมกล้าดุจน้ำแข็งอันเย็นเยียบมองไปที่เว่ยชิง อีกทั้งยังคมกล้าอย่างสุดแสน แม้แต่บุคคลที่มีความแข็งแกร่งได้เหมือนอย่างเว่ยชิง ก็ยังถึงกับอดไม่ได้ที่จะต้องถอยหลังไปหลายก้าว

ในใจพลันเกิดความประหลาดใจขึ้นเป็นสาย พร้อมทั้งผสานมือแล้วกล่าว : “มิบังอาจ ที่เว่ยชิงทำไปก็เพราะอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนักของนิกายแสงอัคคีเท่านั้น ย่อมต้องใคร่ครวญแทนศิษย์ในสำนักนับหมื่นอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสที่มีการบ่มเพาะสูงล้ำ บัดนี้นิกายแสงอัคคีเราย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเป็นศัตรูกับท่านได้อย่างแน่นอน แต่หากคิดที่จะทำลายนิกายแสงอัคคีเรา กลับหาใช่เรื่องที่ง่ายดายถึงเพียงนั้นไม่”

“ข้าทราบดีว่าสิ่งที่เจ้าต้องการที่จะพึ่งพานั้นคือสิ่งใด !”ทันใดนั้นลั่วหลีก็ได้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย : “ว่ากันตามตรง ตัวข้าเองนั้นก็รู้สึกปวดเศียรต่อวัตถุสิ่งนั้นอยู่พอสมควร หากว่ามิใช่ทางเลือกสุดท้าย ก็ย่อมไม่มีทางที่จะหันไปเผชิญหน้ากับมันอย่างแน่นอน”

“ผู้อาวุโสเข้าใจแล้วก็ดี !”เว่ยชิงมีสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย ยังคิดว่าลั่วหลีได้เริ่มใคร่ครวญอยู่ว่าจะขว้างหนูก็กลัวจะไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ1แล้ว

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ลั่วหลีกลับยิ้มขึ้นมาอีกครั้งอยู่ชั่วขณะ : “กระนั้นในคราครั้งนี้ตัวข้าก็ทำได้แต่เพียงมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการกับพวกเจ้าเท่านั้น วัตถุสิ่งนั้นเองก็ย่อมต้องมีใครบางคนเข้ามารับผิดชอบ ดังนั้น……พวกเจ้ายังคงรีบไปศิโรราบเสียเถอะ ตัวข้าเองกลับหาได้คิดที่จะใช้พวกมากข่มเหงพวกน้อยไม่ หากพวกเจ้าย่อมทำลายการบ่มเพาะของตนเอง ตัวข้าเองอาจจะละเว้นโทษตายให้แก่พวกเจ้าเอาได้นะ !”

เว่ยชิงถึงกับทอสีหน้าเดือดดาล ในขณะที่กำลังคิดจะกล่าวอะไรออกมาอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังความคิดที่ไม่แน่นอนขึ้นมาได้ พร้อมกับเจตจำนงอันแตกตื่นและน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งได้โผล่ยื่นออกมาจากอีกทิศทางด้านหนึ่ง โดยที่โผล่ออกมาจนแทบจะทำให้มือเท้าของเขาเย็นเฉียบดุจเป็นน้ำแข็ง !

“เป็นเพียงแค่อาวุธวิญญาณชั้นต่ำ ยังริอาจหาญมาท้าทายอำนาจแห่งข้าพเจ้า เจ้าแมลงที่ไม่รู้จักคำว่าตายกันเสียแล้ว ถึงกับยังสำแดงอำนาจเบื้องหน้าข้าพเจ้าออกมาอีก !”

เจตจำนงเช่นนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาขึ้นโดยพลัน บริเวณทางด้านหลังของภูเขาไฟนั้น ก็คือสิ่งที่ปลดปล่อยเจตจำนงที่ทำให้ผู้คนที่สัมผัสถึงพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยน

ในขณะนี้ทุกผู้คนล้วนแต่สัมผัสกันได้อย่างกระจ่างแจ้งชัดเจน

กลุ่มเบื้องสูงของนิกายแสงอัคคีถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พร้อมทั้งแยกย้ายกันหหันไปมองยังทางด้านนั้น

“เป็นผู้ใดกันถึงได้หาญกล้าไปท้าทายเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี !”ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของนิกายแสงอัคคีถึงกับโพล่งออกมาด้วยความแตกกตื่น

“เกิดอะไรขึ้นกัน ?”ลั่วหลีได้กะพริบตาคู่งามไปมา

นางยังคงประเมินความเร็วของหยางไคต่ำทรามไปแล้ว เดิมที่ยังคิดว่ายังต้องรออีกนานกว่านี้ หยางไคจึงค่อยได้ไปกระตุ้นเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากลับเป็นฝ่ายตนที่พึ่งจะมาถึงหน้าประตูบ้านของอีกฝ่าย ทางด้านของหยางไคนั้นก็ได้ลงมือไปแล้ว

“จะให้โอกาสแก่พวกเจ้าเป็นเวลาสิบช่วงลมหายใจ จงทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าให้สักครา มิเช่นนั้นตัวข้าจะทลายป้องกันชั้นสุดท้ายของเจ้า แล้วทำให้พวกเจ้าได้ตายเอง !”ในขณะนี้ สภาวะไร้เทียมทานและเยือกเย็นจากก่อนหน้านี้ของลั่วหลี ก็พลันแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นการกดดันผู้คนขึ้นมา

ความแค้นระหว่างขุมอำนาจทั้งสองแห่งอันลึกล้ำ ในที่สุดก็ถึงชั่วเวลาที่หากไม่มีศัตรูก็จะไม่มีข้าอีกต่อไป

สีหน้าของเว่ยชิงถึงกลับแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดนิ่ง พร้อมกับสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่พลิกผันของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีที่ถ่ายทอดมาจากบริเวณพื้นที่ต้องห้าม เมื่อทราบว่าท้ายที่สุดสิ่งที่พึ่งพาได้ไม่อาจเชื่อใจได้อีกแล้ว แต่การจะให้เขาทำลายการบ่มเพาะของตัวเขาเอง นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ชีวิตที่เกิดมาเป็นผู้ทรงพลัง ที่ช่วงชิงโชคชะตากับสวรรค์ ช่วงชิงการมีชีวิตรอด ทุกครั้งที่เลื่อนขั้นล้วนแต่ต้องเผชิญกับกองทัพนับหมื่นพันอย่างโดดเดี่ยว อีกทั้งยังมีคนอีกมากมายนับไม่ถ้วนต้องหยุดอยู่ในขอบเขตก่อนหน้านี้

เว่ยชิงเองกลับต้องสูญสิ้นซึ่งเวลาไปทั้งหมดสามร้อยปี อีกทั้งตนยังมีถึงผู้ที่มีการบ่มเพาะเลื่อนขั้นจนถึงระดับขั้นสูงสุดของขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามไปแล้ว ย่อมถือเป็นผู้ทรงพลังที่มีความหวังที่จะทะลวงจนถึงขอบเขตกำเนิดราชันได้

เขามีอย่างที่ไหนที่จะยินยอมทำลายการบ่มเพาะของตัวเองกัน ?

แทนที่จะปล่อยไปโดยที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ มิสู้เสี่ยงชีวิตเข้าแลก และคว้าโอกาสที่จะมีชีวิตได้เพียงสายเดียวมา

“เข้าแลกกับพวกนางกันได้แล้ว !”เว่ยชิงกู่ร้องขึ้นมาเสียงต่ำ

กลุ่มเบื้องสูงของนิกายแสงอัคคีเห็นได้ชัดว่าต่างก็มีความคิดกันเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ทราบดีว่า ด้วยบุญคุณความแค้นระหว่างสองฝ่าย ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอ้อนวอนร้องเพื่อขอมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นเมื่อเว่ยชิงโพล่งวาจาประโยคนี้ออกมา บรรดาเหล่าเบื้องสูงเองก็ได้แยกย้ายกันกระตุ้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์กันขึ้นมา เพื่อที่จะกระตุ้นใช้สมบัติลับกัน โดยที่หันไปโจมตีใส่เรือรบทั้งห้าลำนั้นไป

“รนหาที่ตาย !”ลั่วหลีทอสีหน้าเย็นเยียบ พร้อมกับยื่นมือเคาะเข้าไปที่เบื้องหน้าเล็กน้อย

ที่นิ้วมือข้างหนึ่งราวกับได้แฝงเอาไว้ด้วยควันไฟอยู่สายหนึ่ง ที่พุ่งปราดมาจากปลายนิ้วของนาง จนเกิดเป็นผลึกเกล็ดหิมะหกแฉกเริงระบำ ก่อตัวขึ้นมาพร้อมกับพายุหมุน

เพียงชั่วพริบตาเดียว ผลึกเกล็ดหิมะหกแฉกน้อยใหญ่นั้นก็ได้เข้าปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทุกแห่งหน

ถึงกับเป็นความเย็นยะเยือกจากน้ำแข็งที่พอจะทำให้ผู้คนหนาวสะท้านมาเยือนจากฟากฟ้า !

“ผนึกเหมันต์พันลี้ !”ปิงหลงและหรานอวิ่นถิ่งและพวกทันใดนั้นก็ได้กู่ร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

ภายในร่างกายของทุกคนล้วนแต่เอ่อล้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งได้รวมตัวกันขึ้นมา แล้วพุ่งไปยังทางด้านหน้า

ทุกแห่งหนที่ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้ไปเยือน พื้นที่อันกว้างใหญ่ได้เริ่มเกิดเป็นความหนาวเหน็บขึ้นมา

บนท้องนภาลัย ถึงกับได้มีหิมะร่วงหล่นลงมาแล้ว

ท่ามกลางเกล็ดหิมะทุกชิ้นนั้นล้วนแต่แฝงเร้นเอาไว้ด้วยพลังความผกผันที่เพียงพอจะทำให้ผู้คนแตกตื่นหวาดกลัวกันได้ ภายใต้ชั่วขณะที่คืบคลานเข้าปกคลุมทุกอณูอย่างแช่มช้า ก็ได้ปกคลุมใส่แนวป้องกันสีแดงเพลิงนั้น ราวกับกำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะการกัดกร่อน แนวป้องกันที่ที่มีความทนทานดุจดั่งทองคำถึงกับถูกกัดลงไปทีละเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย

บนพื้นอันกว้างใหญ่ภายในขอบข่ายผนึกเหมันต์ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยเหล่านี้ กลับแผ่ขยายกระจายผ่านจากศูนย์กลางของสถานที่แห่งนี้ออกไป

ศิษย์นิกายแสงอัคคีที่มีพลังความสามารถต่ำทรามกันเหล่านี้ถึงกับต้องถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปทีละตน

เว่ยชิงใจลอยด้วยความสิ้นหวัง เมื่อได้ทราบว่าในครั้งนี้นิกายแสงอัคคียากที่จะรอดพ้นจากความพินาศกันได้แล้ว

การที่มีลั่วหลีคอยประจำการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ คนของพวกเขาพวกนี้แทบจะไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ได้เลยด้วยซ้ำ เดิมทีก็คิดที่จะพึ่งพาตราผนึกของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีเพื่อเป็นตัวล่อลั่วหลีออกไป แต่บัดนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีได้ถูกคนพัวพันเอาไว้ไปแล้ว จึงแทบจะไม่มีความหวังที่จะใช้สิ่งนี้ได้อีกเลย

อีกทั้ง จากที่เห็นสีหน้าของลั่วหลี มีอย่างที่ไหนที่เหมือนกับมีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บอีกกัน ?

เห็นได้ชัดว่านางได้อยู่ในช่วงที่พลังสภาวะเต็มเปี่ยมอย่างถึงขีดสุด !

นิกายแสงอัคคี จะต้องจบสิ้นลงเช่นนี้จริงอย่างงั้นหรือ ? เบื้องหน้าเว่ยชิงพลันแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นดำสนิทขึ้นโดยพลัน ราวกับถูกเมฆทมิฬเข้าปกคลุม จนไม่อาจมองเห็นแสงอันเจิดจ้าได้แม้แต่น้อยอีก

……

เบื้องล่างปล่องภูเขาไฟ หยางไคที่ได้ร่อนกายเหยียบลงบนหินศิลาสีแดงชิ้นหนึ่งเอาไว้ หินศิลาลาวาชิ้นนั้นถือว่ามีอุณหภูมิที่สูงอย่างยิ่งยวด หยางไคจึงมีแต่ต้องใช้ลมปราณศักดิ์สิทธิ์เข้าคุ้มครองร่างกายเอาไว้ จึงค่อยหาได้ถูกเผาไหม้ไป

ลาวาที่อยู่เบื้องหน้าพลันเกิดการเดือดจนกระเด่งกระด่อนไปมา สภาวะแห่งชีวิตที่แตกต่างไปสองขุมที่กำลังใช้การต่อสู้ตัดสินด้วยความตายอยู่ภายใต้ชั้นลาวา ในบางครั้งบางคราวก็ได้มีเสียงของวิหคเพลิงกู่ร้องดังออกมาพร้อมกับเสียงของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี

ดูไปแล้วคล้ายกับอยู่ในสภาพที่มีความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงอยู่เหมือนกัน

แต่ว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นถึงเจ้านายของอาวุธวิญญาณ หยางไคย่อมสามารถตรวจพบได้ว่าวิหคเพลิงนั้นมีพลังที่ไม่เพียงพอกันอยู่บ้าง

มันที่ได้เข้าสู่การจำแลงร่างย่อมไม่อาจที่จะเทียบได้กับเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีอยู่แล้ว เงื่อนไขของการกำเนิดก็ย่อมได้มีสภาพแวดล้อมที่อำนวยต่อเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีได้อยู่แล้ว

อาวุธวิญญาณที่มีตัวกำเนิดเปลวอยู่แค่ภายในปอดเท่านั้น โดยที่สะสมเปลวเพลิงเผาผลาญมาหลายหมื่นปี และเป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากอุปกรณ์เตาหลอมระดับก่อเกิดราชันชิ้นหนึ่งเท่านั้น ย่อมถือเป็นสิ่งมีการกำเนิดชั้นต่ำอยู่แล้ว

และเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีขุมนี้ กลับเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่เกิดการสร้างประวัติศาสตร์ เติบใหญ่ขึ้นมาทีละขั้นตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่น้อยนักจะปรากฏขึ้นในใต้หล้าได้

ต้นกำเนิด ด้านความสามารถย่อมไม่อาจเทียบได้ วิหคเพลิงเองที่มีการสนับสนุนมาจากอุปกรณ์เตาหลอม ก็ได้เริ่มค่อยๆที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบขึ้นมา

คงจะได้เวลาที่จะใช้พลังเพียงสนับสนุนมันอีกแรงแล้ว

ทันใดนั้นหยางไคที่นั่งสมาธิอยู่บนหินศิลาก้อนนั้น ก็ได้เรียกหุ่นเชิดศิลาออกมาใหม่อีกครั้ง เพื่อคอยคุ้มกันอยู่ทางด้านข้าง พร้อมกับหลับตาทั้งสองข้างลง แผ่ซ่านจิตสัมผัสออกไป

พริบตานั้นเงาอันเลือนรางสายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาภายในห้วงสมองของหยางไค หากว่าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็แทบจะไม่ได้มีความแตกต่างไปจากตัวของหยางไคเลยแม้แต่น้อย

แต่ว่าเงาอันเรืองรองนี้กลับไร้ซึ่งกายหยาบที่แท้จริงไม่

ปลดเปรื่องจิตวิญญาณ !

การปลดเปรื่องก็คือภาชนะปราณจิตวิญญาณ !

ภาชนะปราณกวาดแกว่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้เริ่มจมดิ่งลงไปภายในลาวา ดำดิ่งเข้าไปลึกลงไป

จิตวิญญาณปลดเปรื่องถือเป็นการกระตุ้นพลังที่นับว่ามีความเสี่ยงที่สูงเป็นอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ทันทีที่ทำเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นกายหยาบของตนเองก็จะอยู่ในสภาวะที่ไร้ซึ่งการป้องกันไปโดยปริยาย

ดังนั้นหยางไคจึงจำเป็นที่จะต้องเรียกให้หุ่นเชิดศิลาออกมา

หากเจ้ามิมอบลูกแก้วเทวะของเจ้าให้กับ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง แล้วหยางไคจะออกจากแดนดาราได้อย่างไร

อีกทั้ง จิตวิญญาณยังถือเป็นสิ่งที่มีการดำรงอยู่ที่มีความอ่อนโทรมอย่างถึงที่สุด หากไม่มีกายหยาบคอยปกปัก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายได้ง่ายอย่างยิ่งยวด

ยิ่งไปกว่านั้น ในพื้นที่แห่งนี้ยังได้มีเปลวเพลิงที่ร้อนระอุออกมาจากปล่องภูเขาไฟ จิตวิญญาณของคนโดยทั่วไปแม้คิดที่จะเข้าไปใกล้ก็ยังไม่อาจที่จะทำได้ อย่าว่าแต่การเข้าไปใกล้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังสามารถถูกพลังอันมหาศาลจากเปลวเพลิงที่ร้อนระอุเผาผลาญจนมลายหายไป จนจิตวิญญาณถูกทำลายไปจนสิ้น

แต่ว่าหยางไคกลับแตกต่างกันออกไป

พลังจิตสมาธิของเขานับว่ามีพลังสำนึกแห่งเพลิงไฟที่แสนมหัศจรรย์อยู่ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากพลังเพลิงที่มาจากหินลาวาเช่นเดียวกัน

นี่ได้ทำให้ผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันล้วนแต่หวาดกลัวต่อพลังเพลิงที่ร้อนระอุเป็นอย่างยิ่ง ในมุมมองของพวกเขาแทบจะถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย

โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมากมาย ภาชนะปราณจิตวิญญาณของหยางไคก็ได้ดำดิ่งลงไปจนถึงบริเวณที่ลึกลงไปนับหมื่นจั้ง

รอบบริเวณที่ล้วนแต่เกิดเป็นเพลิงไฟที่ร้อนระอุ จนเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดแสนกันเลยทีเดียว

และบริเวณส่วนลึกนับหมื่นจั้งนี้ ยังได้มีประกายแสงที่ประหลาดพิสดารที่เกิดจากการต่อสู้ห้ำหั่นจนเหนือที่จะจินตนาการได้เกิดขึ้น

ท่ามกลางจุดที่เกิดการต่อสู้ขึ้นนั้น ถึงกับมีขนาดความกว้างถึงสามสิบจั้ง เรียกได้ว่าเป็นถูกหลอมทั้งเป็นจากอาวุธวิญญาณวิหคเพลิงอย่างสมบูรณ์แบบงดงามเลยทีเดียว ซึ่งก็คือการต่อสู้ที่เกิดจากสิ่งที่เป็นเงาสีม่วงขนาดยักษ์เข้าพัวพันอยู่กับสิ่งที่เป็นก้อนสีแดงอยู่

เงานั้นมีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายกับเป็นมนุษย์อยู่หลายส่วน แต่กลับปรากฏอยู่ท่ามกลางอากาศอันเวิ้งว้าง แต่กลับหาได้มีสองขาไม่ แต่กลับมีแขนที่งอกเงยประดุจหนวดแต่ละเส้นงอกเงยออกมาแทน ที่ขยับเคลื่อนไหวไปมา ปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นที่เป็นช่องว่างเอาไว้

และบริเวณส่วนที่เป็นศีรษะของเงาร่างสายนี้ ยังได้มีดวงตายักษ์เพียงดวงเดียว สาดซึ่งประกายแสงอันคมกล้าจนสามารถผู้คนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง

บนร่างกายของมันยังได้ลุกไหม้ไปด้วยพลังอันมหาศาลที่เกิดจากธาตุของเปลวเพลิง ตามร่างกายยังได้มีประกายสายฟ้าสีม่วงไหลเวียนอยู่ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์พลังอันคลุ้มคลั่งของสายฟ้า

เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี !

หยางไคมองด้วยอาการแตกตื่น ถึงกับไม่อาจที่จะนึกถึงสภาพรูปร่างที่แท้จริงของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีเช่นนี้ได้อยู่บ้าง

ทว่าก็ยังคงมีสิ่งที่ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ก็คือ ด้วยกระแสพลังแห่งการทำลายล้างที่แสนโหดเหี้ยมอำมหิตของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านกันได้แล้ว

หนวดแต่เส้นที่กวาดเคลื่อนไหวไปมาไม่ต่างจากแขนของมัน ก็ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามรบเอาไว้จนเกิดเป็นการโจมตีของตัวเอง หากวิหคเพลิงไม่ทันระวังป้องกันย่อมต้องถูกจัดการลงในพริบตาแน่นอน ประกายอันคมกล้าที่อยู่บนร่างยังมีแต่จะถูกลดทอนให้อ่อนโทรมลงทีละเล็กทีละน้อยกันเท่านั้น

ราวกับว่าเป็นพลังแห่งต้นกำเนิดของวิหคเพลิงได้ถูกเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีช่วงชิงไปเสียเช่นนั้น

วิหคเพลิงเองก็หาได้แสดงความอ่อนแอออกมาให้ได้เห็น ในทุกๆครั้งล้วนแต่สามารถที่จะหาโอกาสได้อย่างเหมาะเจาะ พร้อมทั้งพุ่งเข้าไปจนถึงข้างกายของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี จากนั้นก็ได้อ้าปากกัดเข้าไปหนึ่งคำโต ในทุกครั้งที่กัดเข้าไป ก็จะช่วงชิงพลังแห่งต้นกำเนิดมาเพื่อฟื้นฟูพลังได้เป็นอย่างมาก

สิ่งมีชีวิตประหลาดพิสดารทั้งสองชนิดนี้ ที่กำลังใช้กลวิธีต่อสู้ที่ประหลาดเช่นนี้ปะทะกันอยู่ การช่วงชิงการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย ก็เหมือนกับการเขมือบพลังอันมหาศาลจากอีกฝ่าย จนกลายเป็นดั่งการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าน่าแตกตื่นจนสะเทือนฟ้าสะท้านพิภพกันเลยทีเดียว

ทว่า ด้วยความไหวพริบของหยางไคก็ได้พบว่า ที่เบื้องหลังของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนี้ ยังได้มีโซ่ตรวนสีทองคำทั้งแปดสายคอยตรึงพลังเอาไว้อยู่ โดยที่คอยตรึงร่างกายของมันเอาไว้ จนทำให้มันถูกสะกดจนต้องอยู่ในสถานที่แห่งนี้

โซ่ตรวนทั้งแปดสายนี้ ได้แผ่ซ่านสภาวะบรรยากาศดุจดั่งค่ายกลแปดเหลี่ยมจากปล่องภูเขาไฟทั้งแปดนั้นเอาไว้

จากที่ได้เห็น การดำรงอยู่ของโซ่ตรวนทั้งแปดสายนี้เรียกได้ว่ามีความสามารถในการควบคุมขีดจำกัดของเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีได้เป็นอย่างยิ่ง หากว่าเป็นเช่นนี้ วิหคเพลิงก็แทบจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ได้เลย

เมื่อนึกได้จนถึงตรงนี้ หยางไครู้สึกประหลาดใจขึ้นอยู่ลึกๆ

เป็นที่ยากจะคาดเดาได้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ได้มีการพันธนาการของค่ายกล เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีก็จะสามารถปลดปล่อยพลังความสามารถอะไรออกมาได้กัน ในระดับกำเนิดราชันขั้นที่สอง หรือว่าจะในระดับขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สาม ?

แล้วจะเป็นผู้ใดที่จะสามารถกระตุ้นพลังเพื่อเชื่อมโยงนี้ได้ โดยที่มันยังคงถูกพันธนาการอยู่ในที่แห่งนี้อยู่ ?

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด