ตอนที่ 1664 เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี
ตอนที่ 1664 เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี
หยางไคกระบี่กระดูกมังกรอยู่ในมือ ก่อตัวจนเกิดเป็นคลื่นกระบี่ฟาดออกจากตัวกระบี่ออกไป เสมือนกับเป็นคลื่นสูงเสียดฟ้าไปนับหมื่นจั้ง เข้ากดดันเข้าไปบนร่างของเฒ่าชราทั้งสองแห่งนิกายแสงอัคคี จนทำให้พวกเขาต้องมีสีหน้าปั้นยาก
เสียงดังอึกทึกดังแสบแก้วหูประดุจมังกรคำรน
“รับไปกันคนละที รีบไปจัดการสะสางพวกเขากันซะ ข้าจะอยู่รอพวกเจ้ากันที่ด้านหน้า”ระหว่างนั้นหยางไคก็ได้กล่าวออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เพียงโบกมือพร้อมกับปล่อยหุ่นเชิดศิลากับอาวุธวิญญาณวิหคเพลิงออกมา
ทันทีทันใดเขาแทบจะหาได้หันไปมองเฒ่าชราทั้งสองคนนั้นแม้สักแวบเดียว ก็ได้ตรงดิ่งก้าวเดินไปทางด้านหน้าต่อไปแล้ว
เพียงการก้าวเท้าแค่ครั้งเดียว คล้ายกับเกิดการสั่นไหวขึ้นระหว่างอากาศมิติ จนเงามนุษย์เลือนรางหายลับ ในยามที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็พลันมาถึงอีกทางด้านหนึ่งของสันเขาไปแล้ว
“บังอาจ !”ผู้อาวุโสร่างผอมผู้นั้นพลันมีสีหน้าแข็งทื่อขึ้น ท่าทีที่หยางไคไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาได้ทำให้เขามีโทสะลุกเป็นคลื่นเพลิงไฟออกมากันได้แล้ว ระหว่างนั้นก็ได้ขยับร่างกายวูบไล่ตามออกไป
แต่เขาที่พึ่งจะขยับเคลื่อนไหว ก็ต้องมาเผชิญเข้ากับวัตถุที่เป็นเงาดุจพลองสีดำทมิฬฟาดเข้าใส่ เงาพลองนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจมากมายมหาศาล ราวกับว่ามีพลังอันหนาแน่นที่สามารถจบทุกอย่างลงได้นับสิบหมื่นชั่ง แม้กระทั่งอากาศก็ยังเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
เสียงร้องระคนความเจ็บปวดได้ดังมาจากเฒ่าชรา
ผู้อาวุโสร่างผอมมีสีหน้าบึ้งตึง ยกมือขึ้นเพื่อสกัดกั้นขึ้นโดยพลัน จนเกิดเป็นไฟลุกโหมขึ้นบนแขน
ตูม……
เมื่อเปลวเพลิงมอดลง ตลอดทั่วทั้งกายของผู้อาวุโสร่างผอมประดั่งเกิดสายอัสนีกัดกร่อน ร่างกายกระเด็นไปยังทางด้านหลังไปหลายสิบจั้ง จึงค่อยทรงกายเอาไว้ได้มั่น ใบหน้าที่พลันขาวซีดขึ้นเล็กน้อย มุมปากเองก็ได้มีเลือดโลหิตไหนรินออกมาเล็กน้อย
เพียงการโจมตีแค่ครั้งเดียว เขาก็ได้รับอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
ในขณะที่หันเหม่อมองบริเวณทางด้านหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ผู้อาวุโสร่างผอมกลับพบเห็นแต่เพียงร่างของหุ่นเชิดศิลาขนาดสามเชียะยืนอยู่ทางด้านนั้น บนแขนกลับมีลักษณะดุจพลองไม้ดำชิ้นหนึ่ง มีดวงตาดุจเม็ดถั่วสีดำเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามอันแสนเร้นลับจนยากที่จะอธิบายออกได้ เหมือนกับกำลังใช้แววตาจับจ้องมองไปที่เหยื่อของตัวเองอยู่
จากอีกทางด้านหนึ่ง เสียงวิหคร้องดังสดใสได้ดังขึ้น เฒ่าชราผิวสีแดงฉานนั้นก็ได้เข้าห้ำหั่นกับวิหคเพลิงเป็นพัลวัน ท่ามกลางผืนฟ้าบนอากาศ เงาร่างของหนึ่งมนุษย์หนึ่งวิหคได้กระโจนขึ้นขึ้นลงลง พร้อมกับกำลังปะทะพัวพันกันอยู่ในที่แห่งนี้ ด้วยพลังอันมหาศาลที่เกิดขึ้นจากเปลวเพลิงจมลึกเข้าสู่ภายในความว่างเปล่า ดูไปแล้วก็ดูเร่าร้อนอย่างถึงที่สุดอยู่เหมือนกัน
“นี่ล้วนแต่เป็นผีสางอะไรกัน ?”ผู้อาวุโสร่างผอมถึงกับแน่นิ่งไปแล้ว
และการดำรงอยู่เฉกเช่นวิหคเพลิงที่ต่อสู้อยู่กับตัวเขาเองอยู่นั้น เขาก็คล้ายกับสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นอาวุธวิญญาณชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน แต่หุ่นเชิดหินศิลาตัวนั้นที่กำลังขวางอยู่เบื้องหน้าของตัวเองเป็นของเล่นชนิดใดกันแน่ ?
ภายในร่างกายของมันแทบจะหาได้มีความผกผันของพลังเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พลังอันมหาศาลดั่งเช่นผู้ทรงพลังเช่นนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นได้เป็นอย่างยิ่งแล้ว
“โฮกโฮกโฮก……”ทันใดนั้นหุ่นเชิดศิลาก็ได้กู่ร้องเสียงดังกังวานออกมา กำปั้นข้างหนึ่งก็ได้กระแทกเข้าใส่บริเวณส่วนที่เป็นหน้าอกของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นเสียงดังฮูมฮูมฮูมดังขึ้น เปรียบเสมือนกับเป็นเสียงที่ของกลองศึกที่ดูเหมือนจะเร้นลับดังขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งจิตวิญญาณ
ในระหว่างที่เสียงพลันดังสนั่นขึ้นมา ร่างกายของหุ่นเชิดศิลาที่มีความสูงไม่ถึงสามเชียะนั้นก็พลันยืดขยายขึ้นด้วยความเร็วที่แม้เพียงตาเปล่าก็ยังสามารถมองเห็นได้ จนขยับขยายแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นมนุษย์ยักษ์ศิลาสูงห้าจั้งไปในบัดดล!
จุดที่ยุบตัวลงไปบนแขนอันดำทมิฬดุจพลองยาวนั้นของมันก็พลันแปรเปลี่ยนรูปทรงจนยาวเหยียดขึ้นมา
พร้อมกับเกิดเป็นประกายอันคมกล้าไหลผ่านออกมาจากผิวหนังชั้นนอกของมันดุจเปลวเพลิงทับซ้อนกันอีกชั้นหนึ่ง ด้วยสีหน้าของหุ่นเชิดศิลา พริบตานั้นก็ได้ผันแปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นสวมใส่เอาไว้ด้วยชุดเกราะศิลาชิ้นหนึ่งขึ้นมา!
ชุดเกราะสีแดงเพลิงนั้นก็ได้ทำให้เฒ่าชราบังเกิดความหวาดกลัวไม่สบายขึ้น
ชั่วขณะต่อมา ด้วยเนื้อหนังร่างกายที่ไม่ต่างอะไรไปจากเกราะเหล็กก็พลันการสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อยอยู่บนหัวเข่า ร่างกายขนาดยักษ์ได้ลอยพุ่งออกไปประดุจคมศรขนาดใหญ่พุ่งออกไป แม้กระทั่งผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง พริบตานั้นบนพื้นผิวก็พลันปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าสายตาพลันเกิดเป็นสภาพละลานตา ผู้อาวุโสร่างผอมเองก็เห็นได้ชัดว่าที่ด้านหลังของมนุษย์หินลาวายักษ์ได้แปรเปลี่ยนจนรวดเร็วขึ้นจนมาอยู่เหนือหัวของตัวเองแล้ว อีกทั้งยังได้กวาดมือยักษ์ที่ใหญ่โตดำทมิฬพุ่งพรวดเข้ามาที่ตัวเองดุจสายฟ้าแลบ จนเกิดเป็นรอยแตกของมิติอากาศขึ้นในบัดดล
ทันทีที่ตรวจสอบได้ถึงพลังทำลายล้างอันแสนน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนเร้นเอาไว้อยู่นั้น ผู้อาวุโสร่างผอมตะโกนร้องขึ้นเสียงดังก้องกังวาน จนแทบมิอาจหาญดูแคลนได้เลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็ได้กระตุ้นใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงไปอีกทาง
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหลบเลี่ยงได้เร็ว แต่การโจมตีนั้นก็นับว่ามาได้เร็วยิ่ง เพียงแค่พลังทำลาย ก็สามารถที่จะกวาดใส่ตัวเขาเองจนร่างชาไปกว่าครึ่งท่อน ราวกับว่าแม้กระทั่งจะไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจทำได้
ไม่อาจต้านทานได้!ไร้หนทางในการต้านทาน!
ดวงตาผู้อาวุโสร่างผอมพลันสั่นสะท้านขึ้นโดยแรง พริบตานั้นเขาก็ได้ตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและมนุษย์ยักษ์หินลาวาได้
ยังไม่ทันที่จะบังเกิดความคิดได้ทัน พลองขนาดยักษ์สีดำทมิฬนั้นก็ได้กระแทกเข้าใส่กดทับเข้ามาประดั่งขุนเขาไท่ซานกดทับ โดยที่จู่โจมลงมาจากบนลงล่าง
รูม่านตาของผู้อาวุโสร่างผอมหดตัวโดยพลัน แปรเปลี่ยนจนมีขนาดเท่ากับรูของปลายเข็ม กระตุ้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต ตะโกนเสียงดังก้องกังวาน พร้อมกับกระตุ้นใช้สมบัติลับที่มีลักษณะคล้ายกับโล่แผ่นหนึ่งขึ้น เข้าคุ้มครองส่วนที่อยู่เหนือหัวของเขาเอาไว้
ตูมตูม……
พลองขนาดยักษ์เมื่อกดทับลง สมบัติลับแผ่นโล่ชิ้นนั้นพลันสาดเป็นประกายสว่างไสวออกมา แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นชิ้นๆไปภายในพริบตา แตกกระจุยกระจายไปทุกสารทิศ
พลังที่มากมายมหาศาลจนและความใหญ่โตจนเรียกได้ว่าครอบฟ้าจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้พลันทับลงใส่บนร่างของผู้อาวุโสร่างผอม จนทำให้ร่างกายของเขาถูกบดไปกว่าครึ่งร่าง จุดที่เป็นบาดแผลยังได้กลายเป็นเพียงเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนสามารถที่จะมองเห็นอวัยวะภายในที่ค่อยๆเผยออกมาให้ได้เห็นกันอย่างชัดเจน
ในเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมกลับยังหาได้สิ้นใจตายไปในทันที ถ้าหากมียาลี้ลับโอสถปราณที่มากพอ ไม่แน่ว่าอาจสามารถที่จะฟื้นฟูร่างกายของเขาก็เป็นได้
แต่ความหวาดกลัวก็ยังคงทะลักล้นออกมาจากสุดก้นบึ้งจากจิตใจของเขา จนทำให้เขาแปรเปลี่ยนจนไร้ซึ่งจิตใจที่จะสู้ต่อ
เขาเพียงจับจ้องเหม่อมองไปที่พลองยักษ์ดำทมิฬที่กวาดเข้ามาอย่างตะลึงลาน ภายในหัวมีแต่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น
นี่มันแท้จริงแล้วเป็นวัตถุผีสางบ้าบอมารดาอะไรของมันกัน……
ช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังจะถึงฆาต ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้มองเห็นภาพฉากหนึ่งได้ นั่นก็คือสหายของตัวเองได้ถูกวิหคเพลิงตนนั้นกลืนกินเข้าไปในคำเดียว กรีดร้องโหยหวนดังติดต่อกัน!
พลองยักษ์พลันกวาดเข้ามา บดขยี้จนเศษเนื้อลอยกระจัดกระจาย จนโลกหล้านี้กลับคืนสู่ความเงียบสงบขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกันนั้นก็ได้มีเพลิงอัสนีขุมหนึ่งดีดตัวลอยออกมาจากซากผู้อาวุโสร่างผอมหลังจากที่ตายลง อาวุธวิญญาณวิหคเพลิงอ้าปากจนกว้าง ดุจดั่งปลาวาฬสูบวารีก็มิปาน พร้อมทั้งยังได้ทำให้เพลิงอัสนีนั้นซึมผ่านจนเข้าสู่ภายในกระเพาะ ภายในปากยังได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเสียงดัง
บนยอดส่วนปลายของภูเขาไฟ หยางไคที่ลอยอยู่กลางเวหา ก็ได้ร่อนกายลงมา จ้องเขม็งไปยังทางด้านของปล่องภูเขาไฟ จากที่ได้พบเห็น จะสามารถมองเห็นลาวาสีแดงฉานที่กำลังทะลักอยู่ภายในได้อย่างชัดเจน
ยอดเขาแห่งนี้ยังถือว่ามีอุณหภูมิที่สูงเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดโดยทั่วไปก็ล้วนแต่ยากที่จะแบกรับเอาไว้ได้ หากเป็นผู้ทรงที่ต่ำกว่าขอบเขตหวนกำเนิดเองหากมาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ ย่อมต้องถูกเผาตายไปจนสิ้นภายในเสี้ยววินาที
อาวุธวิญญาณก็ได้ลอยมาจนถึงข้างกายของหยางไค หุ่นเชิดศิลาก็ได้แปรสภาพจนอยู่ในรูปลักษณ์ขนาดเท่ากับมนุษย์ที่ไร้ริ้วรอยอีกครั้ง จากนั้นร่างพลันขยับวูบ พร้อมกับกลับไปนั่งอยู่บนอาวุธวิญญาณวิหคเพลิง
“เร็วถึงเพียงนี้เชียว พวกเจ้าเองก็ลงมือหนักกันเกินไปแล้วกระมั่ง”หยางไคยกมุมปากพร้อมกับยิ้มออกมา
หุ่นเชิดศิลาเพียงเกาหัวไปมา ทำท่าทำทางเหมือนกับว่าไม่ทราบว่าตัวมันเองได้ทำความผิดอะไรลงไป อาวุธวิญญาณเพียงส่งเสียงร้องขับขานออกมาด้วยความเบิกบาน
“เสวียวเสวี่ยวเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”หยางไคยื่นมือออกแสดงเคล็ด แล้วให้หุ่นเชิดศิลากลับไป เหลือไว้แต่เพียงอาวุธวิญญาณวิหคเพลิงเท่านั้น
วิหคเพลิงก็ได้อุดอู้อยู่ข้างกายหยางไค ในบางครั้งบางคราวยังได้ส่งเสียงแหลมเล็กออกมา ดูแล้วกระฉับกระเฉงอยู่บ้าง ราวกับอยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอแล้ว จนถึงกับมีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่มันคิดจะพุ่งเข้าสู่ภายในปล่องภูเขาไฟ
ในระหว่างที่มันส่งเสียงร้องออกมาอยู่นั้น ภายในภูเขาไฟก็ได้มีเสียงแหลมเล็กดังออกมา ประดุจดั่งกำลังตอบรับคำท้าทายของวิหคเพลิงอยู่ อีกทั้งยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะอ่อนโทรมกว่าเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าเองก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว”หยางไคหรี่ตามองไปยังทางด้านของปล่องภูเขาไฟ แสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย
วิหคเพลิงจึงได้รีบตอบรับทันที
“เป็นคู่ต่อสู้ของมันได้หรือเปล่า ?”หยางไคถามขึ้นอีกครั้ง
วิหคเพลิงนิ่งอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ได้แผดเสียงกู่ร้องดังก้องขึ้นในทันที
ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะล้างตาดูเลย กระนั้นเจ้าแน่ใจนะว่าจะทำเช่นนี้ นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการทุบหม้อข้าวจมเรือ1กันแล้วนะ หากไม่สำเร็จก็ต้องเสียสละเลยเชียวนะ!”
วิหคเพลิงเปล่งเสียงกู่ร้องดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจในความหมายของเจ้าแล้ว เช่นนั้น……ก็ขอให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน”หยางไคก็ได้แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาอีกครั้ง พร้อมทั้งโบกมือขึ้นอีกคราในทันที จนปรากฏอุปกรณ์เตาหลอมขนาดใหญ่ขึ้นหนึ่งใบ
นี่ก็คืออุปกรณ์เตาหลอมที่ให้กำเนิดวิหคเพลิงอาวุธวิญญาณ และเป็นหยางไคชั้นใต้ดินที่ห้านำออกมาจากใจกลางแกนอัคคีท่ามกลางทะเลทรายลาวาเพลิง
ซึ่งถือเป็นร่างภาชนะของวิหคเพลิง!
หากว่าอุปกรณ์เตาหลอมบุบสลาย เช่นนั้นวิหคเพลิงเองก็ย่อมมีแต่ถูกทำลายไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยที่หาได้มีความคิดที่จะปกปิดแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่ที่ตนเองนั้นได้ครอบครองอาวุธวิญญาณวิหคเพลิงมา โดยพื้นฐานแล้วหยางไคแทบจะไม่ได้กระตุ้นใช้อุปกรณ์เตาหลอมชิ้นนี้มาก่อนเลย ข้อแรกก็คือต้องไตร่ตรองในความปลอดภัยของอาวุธวิญญาณ ข้อสองก็คือไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ก็เท่านั้น
แต่ว่าในครั้งนี้ อุปกรณ์เตาหลอมกลับถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะไม่ใช้ออกมาได้แล้ว
เมื่อมีภาชนะเช่นนี้ อาวุธวิญญาณก็จะสามารถปลดปล่อยพลังความสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างมากประมาณสองในสิบส่วน
ทันทีที่ปรากฏอุปกรณ์เตาหลอม วิหคเพลิงก็ได้อ้าปากกว้าง ทำการกลืนเข้าสู่ภายในกระเพาะ
หยางไคหลับตาทั้งสองข้างลง สูดลมหายใจเข้าไปจนลึก รอจนกระทั่งเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง บริเวณตาซ้ายก็ได้สาดเป็นประกายขึ้นมาเป็นสาย
เนตรปีศาจทลายภพ!
สีทองเรียวเล็กแนวตรงนั้นถือเป็นสิ่งที่ซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยอำนาจที่ไร้จำกัด จนทำให้ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านกันขึ้นมา
เขาได้แหงนหน้ามองทางด้านล่าง สิ่งที่พบเห็นจากก่อนหน้านี้ทั้งหมด บัดนี้ล้วนแต่ปรากฏออกมาอยู่ข้างใต้หนังตานั้นแล้ว
เนตรปีศาจทลายภพที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ต่อการลบล้างซึ่งภาพมายาทั้งหมด ภายใต้การสนับสนุนจากเนตรปีศาจนี้ หยางไคก็สามารถมองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกปล่องภูเขาไฟเอาไว้ในทันที
พลังอันมหาศาลที่บริสุทธิ์แต่ละสาย ดุจดั่งโซ่ตรวนก็มิปาน กางออกในรูปแบบแปดมุม ทำการปิดกั้นไว้ทั่วทั้งปล่องภูเขาไฟ
ค่ายกลนี้ไม่เพียงแต่จะปิดกั้นสิ่งที่อยู่ภายในพลังอันมหาศาลที่ล้นทะลักอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟ อีกทั้งยังก็ได้ปิดผนึกซ่อนเร้นอิสระของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในภูเขาไฟลูกนั้น
หยางไคได้เหม่อมองดูอย่างละเอียด ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เขาพลันแววตาเป็นประกายออกมา กระบี่กระดูกมังกรในมือยังได้ถูกรวบดึงขึ้นอย่างแผ่วเบา ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้ถ่ายเทเข้าสู่ภายในตัวกระบี่
เสียงมังกรคำรามจนท้องฟ้าสั่นสะเทือน
“ไป!”หยางไคได้โยนกระบี่กระดูกมังกรออกไป
แสงสีม่วงอันคมกล้าแสบตา ได้แปรผันกระบี่กระดูกมังกรจนกลายเป็นมังกรยักษ์สีเขียวมรกต สะบัดหางส่ายหัวอยู่กลางห้วงเวหาอย่างดุดัน
ค่ายกลแปดเหลี่ยมของปล่องภูเขาไฟที่อยู่กำลังปิดผนึกเอาไว้พลันสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้แตกจนเกิดเป็นช่องขึ้น
เกิดเป็นบรรยากาศที่ร้อนระอุจนยากทนทานได้ ระอุขึ้นออกมาจากภายในใจกลางปากปล่องภูเขาไฟ ราวกับมีความตั้งใจที่จะเผาผลาญฟ้าดินแห่งนี้
“เข้าไป!”หยางไคตะโกนขึ้นเสียงดังกึกก้อง
อาวุธวิญญาณวิหคเพลิงแปรสภาพขจนกลายเป็นประกายแสงสายหนึ่ง ในระหว่างที่ผ่านช่องที่เกิดขึ้นนั้นไป หยางไคเองก็ได้ไล่ตามอยู่ทางด้านหลังไปติดๆ
ขอกำลังใจด้วยนะครับ มาอ่านกันที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ค่ายกลแปดเหลี่ยมเกิดการสั่นไหวขึ้น ก็ได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ ทำการปิดผนึกปล่องภูเขาไฟเอาไว้อีกครั้ง
และภายในค่ายกล หยางไคที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงได้รีบไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยพลัน เพื่อต้านทานความร้อนจนไม่อาจกล้ำกรายเข้ามาได้
วิหคเพลิงก็ได้พุ่งตัวดีดเข้าสู่ภายในปล่องภูเขาไฟ
เมื่อทอดตามองออกไป ลาวาที่อยู่ภายในภูเขาไฟนั้นเปิดเป็นคลื่นร้อนระอุเดือด โดยที่มีหินลาวาสีแดงชาดอยู่ภายใน ในระหว่างนั้นยังได้มีอัสนีไหลเวียนดังเปรี้ยงปังเล็กๆน้อยๆเป็นครั้งคราว เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกระตุ้นที่มาจากอาวุธวิญญาณวิหคเพลิง พลันเกิดเป็นบรรยากาศที่สลดสยองค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นมาจากอีกทางด้าน ราวกับมีมังกรที่กำลังตื่นขึ้นจากการจำศีลเอาไว้อยู่
อาวุธวิญญาณได้พุ่งเข้าสู่ภายในหินลาวาจนหายลับไป
หลังจากนั้น ทันใดนั้นก็ได้มีพลังจิตใจอันน่าแตกตื่นขุมหนึ่งระเบิดออก ถ่ายทอดจนทำให้หมื่นสรรพสิ่งล้วนแต่บังเกิดความคิดยินยอมถูกสยบ
“เป็นเพียงแค่อาวุธวิญญาณชั้นต่ำ ยังริอาจหาญท้าทายอำนาจแห่งข้าพเจ้า ช่างเป็นแมลงที่ไม่รู้จักกลัวตายเอาซะเลย ยังถึงกับประพฤติตัวแข็งขืนกับข้าพเจ้าเสียได้!”
ร่างกายของหยางไคพลันเกิดการสั่นไหวขึ้นชั่วขณะ สาดแววตาเป็นประกายหันไปมองยังบริเวณทางด้านล่าง ประดั่งสามารถที่จะขุดหลุมฝังหินศิลาที่หนาแน่นนั้นไปได้ จนสามารถมองเห็นส่วนลุกที่อยู่บริเวณชั้นใต้ดินได้ในทันที
สมกับที่เป็นดั่งที่ตามตำนานได้กล่าวถึงอย่างไม่ผิดแผก เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีของนิกายแสงอัคคีกลุ่มนี้ แน่นอนว่าต้องก่อเกิดสติสัมปชัญญะขึ้นมาแล้ว อีกทั้ง……ยังมีสติสัมปชัญญะที่ไม่ต่ำทรามเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับวิหคเพลิงกลับยิ่งกระจ่างแจ้งแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมีความสมบูรณ์แบบมากเป็นเท่าทวี
มันเองก็สามารถที่จะส่งถ่ายความคิดความต้องการของตัวเองออกไปได้ และวิหคเพลิงเองก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีพลังความสามารถอยู่เพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
วิหคเพลิงเองก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอยู่ ทันใดนั้นหยางไคก็พลันเป็นห่วงขึ้นมา
จนกระทั่งได้มาถึงยังเบื้องหน้าในที่แห่งนี้ เขาก็คิดไม่ถึงว่าเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีจะสามารถจำแลงกายจนถึงขั้นนี้ได้ เขายังคิดว่าเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีก็เปรียบเสมือนกับเป็นวิหคเพลิงเช่นเดียวกัน แต่ที่เมื่อได้เห็นในตอนนี้ เมื่อเทียบเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีกับวิหคเพลิงแน่นอนว่าย่อมจัดอยู่คนละชั้นเลยก็ว่าได้
เบื้องล่างปล่องภูเขาไฟ พลันเกิดเป็นพลังสำนึกที่น่าแตกตื่นปะทะเข้าใส่กัน ด้วยการปะทะกันระหว่างวิหคเพลิงอาวุธวิญญาณและเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้น ก็พลันเกิดเป็นขอบเขตจิตใจแผ่กระจายออกปกคลุมจนเกิดเป็นพลังปราณฟ้าดินที่วุ่นวายไปทั่วนิกายแสงอัคคีแล้ว
.
.
.