ตอนที่ 1662 เข้าสู่การบุกรุกรานครั้งสำคัญ
ตอนที่ 1662 เข้าสู่การบุกรุกรานครั้งสำคัญ
เมื่อมีความสามารถจนถึงขั้นขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สาม ต่างก็จะสามารถผนึกจนเกิดเป็นผลึกกำเนิดความคิดชนิดนี้ขึ้นมาได้ ผลึกกำเนิดความคิดจะห่อหุ้มเอาไว้ด้วยวิถียุทธ์และประสบการณ์ตลอดชั่วชีวิตนี้ของผู้แข็งแกร่งได้จนถึงแก่นแท้ ถึงแม้ว่าผู้ทรงพลังจะสิ้นลมหายใจตายจากไปแล้วก็ตาม ผลึกกำเนิดความคิดก็ยังหาได้สูญสลายหายไปไม่
บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่ได้ทิ้งกระบี่เหมันต์ลี้ลับเอาไว้อยู่ก้นบึ้งของโชควาสนาบ่อหนาวเหน็บ แต่กลับหาได้มีผลึกกำเนิดความคิด อยู่ด้วย เช่นนี้ก็เป็นการบอกถึงปัญหาหลายๆ สิ่งได้แล้ว
นางอาจจะยังไม่ตายจริงก็เป็นได้!
เพียงแต่ว่าหากนับเวลาดูเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็หาได้ปรากฏตัวมาก่อนในช่วงสองสามหมื่นปีที่ผ่านมา บัดนี้แท้จริงแล้วบรรพจารย์ปิงหวินอยู่ที่แห่งหนใด จะเป็นหรือจะตาย ก็หาได้มีผู้ใดสามารถทราบได้
แต่สิ่งนี้หากมองในมุมของลั่วหลี ย่อมต้องเป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ลัวหลี่สะบัดหน้าหันไปมองหยางไค พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
นางได้พบว่าถ้าหากหยางไคเป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นแล้วละก็ เช่นนั้นย่อมต้องถือเป็นบุญวาสนาของสำนักอย่างถึงที่สุดกันแล้ว!
นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นในหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ได้เกิดเรื่องที่น่ายินดีขึ้นมากและมากมายจนเกินไปแล้ว ก่อนอื่นก็คือการได้สังหารซื่อฮั่ว จากนั้นก็ยังสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเอง บัดนี้เทพกระบี่เหมันต์ลี้ลับยังได้ปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์ขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูเหยียนประสบพบพานมาก็เปรียบเสมือนกับเป็นการบอกว่าท่านบรรพจารย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลกหล้านี้อยู่…..
แต่น่าเสียดาย ที่หยางไคนั้นกลับเป็นบุรุษเพศ แทบจะไม่สามารถเข้าร่วมกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้ อีกทั้ง แต่เดิมเขาก็คล้ายกับไม่ได้มีความสนใจต่อหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอะไรมากมายนัก
“ท่านผู้อาวุโส คงจะได้เวลาที่จะไปเยือนนิกายแสงอัคคีกันสักคราแล้ว” หยางไคจึงได้รีบกล่าวออกมา
“อือ” ลั่วหลีพยักหน้าตอบอย่างเงียบเชียบ : “ย่อมต้องได้เวลาแล้วแน่นอน”
นางได้หันไปเหม่อมองยังสถานที่ห่างไกลออกไป อีกทั้งยังได้สาดทอแววตาลึกล้ำออกมา
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดาววารีสีชาดก็จะมีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมาเป็นผู้ปกครองแล้ว!
……
คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันห้าคนได้โดยสารอยู่บนเรือรบสีดำทมิฬ ออกเดินทางมาจากเกาะสุดขั่วเยือกเย็น บนเสาของเรือรบยังได้บรรทุกผู้คนชั้นโดดเด่นของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นประมาณสามพันคน ภายใต้การนำโดยเรือหลัก กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังตำแหน่งชีพจรขุนเขาแสงเพลิง
หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นซึ่งถือเป็นสำนักใหญ่ที่ไม่เป็นหนึ่งก็เป็นสองในดาววารีสีชาด ย่อมต้องถือครองเรือรบของตัวเองเอาไว้อยู่อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าหยางไคกลับพบว่าเรือรบเหล่านี้ที่ดีที่สุด ก็ยังอยู่ในระดับชั้นเลิศระดับกำเนิดราชันเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงเรือหลัก เรือรบที่เหลืออีกสี่ลำต่างก็อยู่ในระดับชั้นกลางกำเนิดราชันเท่านั้น
ในส่วนของคุณภาพหากเทียบกับที่ตัวเองมีลำนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้แล้ว
ดูเหมือนว่าท่ามกลางทั่วทั้งแดนดารา เรือรบระดับกำเนิดราชันเองก็นับได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่พบได้ยากอย่างถึงที่สุด
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นศัสตราในการบุกตีป้อมปราการ การเดินทางไปยังชีพจรขุนเขาแสงเพลิงในครั้งนี้ คิดที่จะทำลายนิกายแสงอัคคีให้หมดเลยอย่างงั้นหรือ ลั่วหลีที่คิดจะทำลายนิกายแสงอัคคีทั้งหมด ลั่วหลีย่อมต้องใช้เรือรบที่มีพลังทำลายแม้กระทั่งป้อมปราการเช่นนี้อยู่แล้ว
เหล่าลูกศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเองก็ทราบว่าครั้งนี้จะไปทำอะไร ทุกคนต่างก็ทอสีหน้าเคร่งเครียดกันออกมา ระหว่างนั้นก็เกิดความเหี้ยมชนิดหนึ่งขึ้นที่ตรงหว่างคิ้ว
ท่ามกลางการต่อสู้หลายต่อหลายปี ได้ทำให้ความแค้นระหว่างหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นและนิกายแสงอัคคีที่ยิ่งมาก็ยิ่งฝังรากลึกกันแล้ว แทบจะไม่อาจคลี่คลายได้ พวกนางมีศิษย์พี่น้องล้วนแต่ตายอยู่ในเงื้อมมือของผู้ทรงพลังจากนิกายแสงอัคคี เพราะว่าเป็นศิษย์สตรี ดังนั้นทันทีที่ตกไปอยู่ภายใต้เงื้อมมือผู้ทรงพลังของนิกายแสงอัคคี ย่อมต้องมีจุดจบที่อเนจอนาถเสียยิ่งกว่าตายอีก
ควรทราบว่าผู้นำผู้อาวุโสได้มีความคิดที่จะพาคนมุ่งหน้าเดินทางไปสู่นิกายแสงอัคคี อีกทั้งชนชั้นที่โดดเด่นทั้งสามพันคนนี้ล้วนแต่มากันด้วยความสมัครใจ เข้าร่วมสงครามกันอย่างแข็งขัน พกพาโทสะขุมหนึ่งไว้ รอจนกระทั่งเมื่อได้ทำลายชีพจรขุนเขาแสงเพลิงออกมา เมื่อทำลายล้างศัตรูอริตลอดหมื่นปีมานี้ให้สิ้นซาก
คณะเดินเรือสมุทรเองก็มีความเร็วที่ไม่ถือว่ามากนัก หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้อยู่ห่างไกลจากนิกายแสงอัคคีนับหมื่นลี้ เพียงแต่ว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เรือรบทั้งห้าลำก็ได้มาเยือนถึงรอบนอกของชีพจรขุนเขาแสงเพลิง
ทิศทางของเรือหลัก ลั่วหลีได้ยืนอยู่บนเรือ พร้อมทั้งหันไปเหม่อมองยังจุดที่ห่างไกลออกไป ที่ด้านหลังของนาง ก็คือเหล่าเบื้องสูงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น
หยางไคและซูเหยียนเองก็ผสมโรงอยู่ภายในกลุ่มด้วยเช่นเดียวกัน
“นี่ก็คือชีพจรขุนเขาแสงเพลิงอย่างงั้นหรือ?” หยางไคหันไปมองยังทางด้านหน้า อีกทั้งยังเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาบ้าง
ทุกสิ่งที่สายตาได้หันไปมอง มีทั้งเขาสูงเนินต่ำ ประดั่งมังกรยักษ์ที่กำลังหมอบคลานอยู่ จนไม่อาจทราบว่ายาวไกลกี่หมื่นลี้
อีกทั้ง ทั่วทั้งเทือกเขาแห่งนี้ ดูเหมือนจะมีพลังปราณธาตุอัคคีที่รุนแรงซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ หากมองด้วยตาเปล่า ระหว่างเทือกเขายังได้เกิดเป็นประกายแสงสีแดงเปล่งเป็นประกาย
แม้แต่อุณหภูมิระหว่างฟ้าดินเองเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
“มิผิด นี่ก็คือชีพจรขุนเขาแสงเพลิง ที่เป็นดั่งชีพจรมังกรอัคคีที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ประจวบยังเป็นแหล่งการบ่มเพาะของผู้ทรงพลังนิกายแสงอัคคี ทำให้พวกเขาสามารถบ่มเพาะพลังขอบเขตได้รวดเร็วขึ้นได้” ลั่วหลีกลับหาได้กล่าววาจา ปิงหลงเพียงกล่าวอธิบายออกมาให้แก่หยางไคด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป ที่นี่จะไม่ใช่ถูกถือครองโดยนิกายแสงอัคคีอีกต่อไป” หรานอวิ่นถิ่งส่งเสียงดังเหอะอย่างเย็นชา
เมื่อสิ้นเสียงลง ทันใดนั้นก็พบเห็นเรื่องอะไรบางอย่าง พร้อมกับทอดตามองออกไป ยื่นมือออกไปโดยพลัน คว้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า
ในระหว่างที่เกิดเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นมา ผู้ทรงพลังตนหนึ่งที่สวมเอาไว้ด้วยอาภรณ์นิกายแสงอัคคีก็ได้ถูกหรานอวิ่นถิ่งจับได้บริเวณภายในป่าลึก พร้อมกับจัดการห้อยอยู่บนเรือกลางเวหา
คนผู้นี้ดูไปแล้วมีอายุอยู่ที่ประมาณสามสี่สิบปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะที่ไม่ได้สูงอะไรมากนัก มิหนำซ้ำยังอยู่ในขอบเขตหวนคืนขั้นที่หนึ่ง กระทั่งลมปราณศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัคคีภายในกายยังได้ถูกหรานอวิ่นถิ่งสยบเอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง จนกระทั่งหลังจากที่ถูกห้อยอยู่บนเรือ แต่ทันทีที่ได้พบเห็นศิษย์สตรีที่มีทั้งผอมบางอ้วนฉุมากมาย ในใจก็พลันเกิดอาการตุ้มตุ้มต่อมต่อม พร้อมทั้งเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที พร้อมทั้งตะโกนขึ้นเสียงดังก้องกังวาน: “คนของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น พวกเจ้าเหตุใดถึงได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ พวกเจ้าคิดที่จะมาบุกรุกชีพจรขุนเขาแสงเพลิงอันยิ่งใหญ่เราอย่างงั้นหรือ แท้จริงแล้วคิดที่จะก่อสงครามกับนิกายแสงอัคคีเราให้ได้หรืออย่างไรกัน?”
“เปิดสงคราม?” หรานอวิ่นถิ่งเพียงยิ้มแย้มออกมาอย่างเย็นชา: “หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราและนิกายแสงอัคคีพวกเจ้า เคยมีช่วงเวลาที่พักรบกันมาก่อนด้วยอย่างงั้นหรือ?”
ผู้ทรงพลังนั้นถึงกับทอสีหน้าตะลึงลาน ถึงกับเป็นใบ้จนพูดอะไรไม่ออก
แน่นอนว่า สองขุมอำนาจที่เป็นดั่งมหาผู้ปกครองดาววารีสีชาด แทบจะหาได้เคยพักรบกันมาก่อนไม่ ตามช่วงเวลาปกติเองก็ยังเกิดข้อพิพาทกันไม่ขาด แต่วันนี้กลับเคลื่อนพลมารุกรานถึงยังอีกอาณาเขตอย่างโจ่งแจ้งมิเกรงกลัวเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ข้าจะกระซิบให้เจ้าฟังถึงความลับของหยางไค มาที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com สิ
“พวกเจ้าต้องการทำอะไร?” ผู้ทรงพลังของนิกายแสงอัคคีนี้กลับยังถือว่ามีความอาจหาญกันอยู่บ้าง ด้วยการที่เผชิญหน้ากับผู้ทรงพลังที่มีขอบเขตการบ่มเพาะต่ำทรามกว่า ยังคงสามารถเอ่ยถามออกมาได้อยู่
“ทำอะไรงั้นหรือ?” หรานอวิ่นถิ่งยิ้มอย่างไม่แยแส : “แน่นอนว่าย่อมต้องการที่จะทำลายล้างนิกายแสงอัคคีพวกเจ้ากันให้ราบคาบกันอยู่แล้ว!”
สีหน้าของผู้ทรงพลังผู้นั้นพลันขาวซีด ถลึงตากำลังเหม่อมองหรานอวิ่นถิ่ง ราวกับกำลังแยกแยะอยู่ว่าสิ่งที่นางกล่าวมานั้นใช่เป็นความจริงหรือไม่อยู่
“เจ้านับว่ามีการบ่มเพาะที่ไม่เลวเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งในนิกายแสงอัคคีที่ไม่ต่ำทรามเลยทีเดียว เช่นนั้นก็จงรีบไสหัวกลับไปแจ้งต่อเว่ยชิง ว่าหรานอวิ่นถิ่งข้าได้มาเยือนแล้ว ให้เรียกมันผู้นั้นล้างคอให้สะอาดรอไว้ได้เลย”
“หรานอวิ่นถิ่ง!” ผู้ทรงพลังผู้นั้นถึงกับพลันตะโกนขึ้นมาเสียงดังก้องกังวาน
ด้วยชื่อเสียงที่ทรงอำนาจของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น เขามีหรือที่จะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนได้ พร้อมทั้งยังได้ส่ายหน้าแล้วมองไปโดยรอบ ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นศิษย์สตรีที่มีพลังการบ่มเพาะที่ล้วนแต่ลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง ก็ถึงกับโพล่งขึ้นว่า : “นิกายแสงอัคคีเรามีผู้นำผู้อาวุโสคอยประจำการอยู่ พวกเจ้าอย่าได้คิดมาก่อกวนเชียว!”
“เจ้าจะบอกว่าซื่อฮั่วเป็นเฒ่าประหลาดอย่างงั้นหรือ?” หรานอวิ่นถิ่งเพียงหัวเราะเสียงเย็นชา : “ซื่อฮั่วได้ตายลงแล้ว ดูไปแล้วเจ้าคงจะยังไม่ตายอะไร”
“ผู้นำผู้อาวุโสตายแล้ว?” แววตาของคนผู้นั้นพลันสั่นสะท้าน พร้อมกับสิ้นเสียงไปโดยพลัน: “เป็นไปไม่ได้ ผู้นำผู้อาวุโสเป็นถึงผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชัน ในหมู่พวกเจ้ายังมีผู้ใดที่มีความสามารถฆ่าเขาได้อีกกัน?”
“จะใช่หรือไม่ใช่นั้น เจ้าก็ไปถามไถ่เว่ยชิงเองเถอะ ผู้อาวุโสอย่างข้าหาได้คิดที่จะเสวนาไร้สาระกับเจ้าไม่!” หรานอวิ่นถิ่งเองก็หาได้กล่าวอะไรออกมาอีก เพียงแต่ยื่นมือโยนผู้ทรงพลังตนนั้นทิ้งไปนอกเรือรบแทน
ร่างที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางเวหา ผู้ทรงพลังผู้นั้นก็ได้รีบกระตุ้นไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์จากทั่วทั้งร่าง จากนั้นก็ได้เงยหน้าหันไปมองเรือรบที่ทรงพลังอำนาจทั้งห้าลำ ทันทีที่กำลังกัดฟันอยู่ ก็ได้รีบพุ่งทะยานเข้าสู่ภายในชีพจรขุนเขาแสงเพลิงไป เห็นได้ชัดว่าได้กำลังไปรายงานแจ้งข่าวแล้ว
“ยังคงไปแจ้งต่อทุกคนกันกก่อน เช่นนี้ก็ดี จะได้ให้พวกเขาได้มีการเตรียมตัวเอาไว้บ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงว่าข้าลั่วหลีจะกลายเป็นที่ครหาว่าข่มเหงผู้น้อยเอาได้” ลั่วหลีที่ตลอดมานี้หาได้สนใจความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อผู้ทรงพลังผู้นั้นหายลับไปจากระยะสายตา จึงค่อยได้กล่าวออกมาอย่างเย็นชาขึ้นประโยคหนึ่ง
กองเรือยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อ โดยที่ใช้ความเร็วไม่ช้าเกินไปเร็วไป แต่กลับมีพลังแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวไร้สภาพขึ้นชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยที่ค่อยๆ เข้ามาปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ชีพจรขุนเขาแสงเพลิงเอาไว้
หลังผ่านไปหนึ่งช่วงก้านธูปไหม้ บริเวณหางเสือเรือหลักของนิกายแสงอัคคี ก็พลันมีเสียงดังก้องกังวานขึ้นมา
“หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นถึงกับบุกโจมตีอย่างอุกอาจเยี่ยงนี้เลยอย่างงั้นหรือ?”
“พวกนางช่างมีขวัญกล้าบังอาจที่ล้นฟ้าเกินไปแล้ว”
“ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกนางจะยังไม่ได้รับการสั่งสอนที่มากพอนะ ฮาฮา ถึงกับมารนหาที่เองเช่นนี้ ประจวบเหมาะเลยที่จะให้การสั่งสอนอย่างสาสมกันสักคราแล้ว”
“ได้ยินมาว่าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมีผู้อาวุโสอยู่นับสิบที่แต่ละคนล้วนแต่มีความงามที่เลิศล้ำ ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีโอกาสที่จะจับกุมตัวได้ บัดนี้ถึงกับมารนหาที่เอง ได้ได้ได้ ข้าผู้ชราก็จะจับตัวมาสักหลายคนทำการสั่งสอนเองก็แล้วกัน”
“ผู้อาวุโสฉี ท่านก็อายุอานามปูนนี้แล้ว ยังคงอย่าได้มาคิดถึงเรื่องเช่นนี้มิใช่ดีกว่าหรอกงั้นหรือ?”
“ข้าผู้ชราแม้จะอยู่ในวัยชราแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ยังต้องกลัวว่ายังไม่พอที่จะทำให้เหล่านางแพศยาแค่ไม่กี่คนพอใจไม่ได้อีกอย่างงั้นหรือ?”
“นี่มันก็ใช่ เช่นนั้นนางแพศยาย่อมมีแต่ต้องถูกสยบอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อาวุโสฉีอย่างแน่นอน”
เหล่าผู้อาวุโสเองก็มองในแง่ดีกันเกินไปแล้ว จากที่ได้ยินหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นบุกโจมตีเข้ามา ไม่เพียงแต่จะไม่กระวนกระวาย ในทางกลับกันยังแสดงท่าทีที่เบิกบานใจกันขึ้นมายกใหญ่ เมื่อนึกถึงเสียงกรีดร้องอันเจือแจวก่อนตายของเหล่าสตรีจากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเหล่านั้น หรือไม่ก็ช่วงเวลาที่ทำลายศักดิ์ศรีเวลานั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสเหล่านี้บังเกิดความลำพองใจขึ้นอย่างยิ่งยวด
การทำลายศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์นั้น ตลอดมานี้ล้วนแต่เป็นดั่งสิ่งที่เหล่าบุรุษเพศไม่อาจหยุดประพฤติได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่สามารถกระตุ้นความเป็นสัตว์ร้ายของบุรุษเพศออกมาได้อีกด้วย
เหล่าสตรีของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ตลอดมานี้ไม่ทราบว่าได้มีสตรีมากมายแค่ไหนที่ถูกกระทำเช่นนี้กันแล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก ยังคงขอเชิญสั่งการด้วยเถอะ พวกเรายังคงไปจัดการกับเหล่านางแพศยาพวกนั้นกัน” แล้วก็ได้มีผู้อาวุโสหันไปกล่าวต่อเว่ยชิงที่นั่งอยู่ทางด้านบนเบื้องสูง
เว่ยชิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ได้ชำเลืองมองไปที่เขา หว่างคิ้วพลันเกิดเป็นความเศร้าสร้อย
“เจ้าสำนัก ท่านนี่มัน……” สีหน้าของเว่ยชิงได้ทำให้ผู้อาวุโสไม่น้อยคล้ายกับจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ เสียงที่ดังขึ้นก็พลันเริ่มค่อยๆ ที่จะเงียบลง เหล่าผู้คนเองก็ได้หันไปมองเขาเพียงคนเดียวแล้ว
“ภัยพิบัตินิกายแสงอัคคี!” เว่ยชิงทำแค่เพียงถอนหายใจยาวนาน
เหล่าผู้อาวุโสพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
“ท่านเจ้าสำนัก ความหมายของท่านคืออะไรกัน?” ผู้อาวุโสที่เอ่ยขึ้นมาก่อนหน้านี้ผู้นั้นก็พลันทอสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา : “หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นถึงแม้จะมีความสามารถที่ไม่เลว แต่ถึงกับอาจหาญที่จะมาล่วงเกินสำนักนิกายแสงอัคคีเรา คงจะได้เวลาที่จะสั่งสอนพวกนางกันแล้ว ว่าอันใดจึงเรียกกันว่าเป็นภัยพิบัตินิกายแสงอัคคีเรา?”
“เพราะ……เป็นไปได้ที่ท่านผู้นำผู้อาวุโสจะสิ้นลมลงแล้ว”
ทันทีที่กล่าววาจาออกมา ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้จึงค่อยเงียบสงบกันไปหมด
ผ่านไปเนิ่นนาน จึงค่อยมีเสียงของผู้อาวุโสดังขึ้นอย่างสั่นเครือ: “เป็นไปไม่ได้หรอกกระมั่ง? ท่านเจ้าสำนักอย่าได้พูดเป็นเล่นแล้ว”
“มาจนถึงขั้นนี้กันแล้ว ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักมีหรือที่จะมัวแต่มาสนใจกล่าวหยอกล้อเช่นนี้กับพวกเจ้าไม่?” เว่ยชิงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“แต่ว่า……ผู้นำผู้อาวุโสจะตายได้ยังไงกัน? ยังมีใต้เท้าหลัวไห่ เขามิใช่เปรียบเสมือนกับว่าเป็นที่พึ่งพาของผู้นำผู้อาวุโสมาโดยตลอดอย่างงั้นหรือ?”
เว่ยชิงทำได้แต่เพียงปาดเหงื่อบนหน้าผากไปมา: “เมื่อหลายเดือนก่อนผู้นำผู้อาวุโสและใต้เท้าหลัวไห่ก็ได้ออกไปจากนิกายแสงอัคคีแล้ว อีกทั้งยังได้มุ่งหน้าไปยังหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น จนถึงตอนนี้ยังหาได้กลับมาไม่”
“นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านผู้เฒ่าผู้นำผู้อาวุโสเขาจะสิ้นใจไปแล้วไม่” มีคนเกิดอาการไม่อยากจะเชื่อ อีกทั้งยังเหลือความหวังเอาไว้อีกเป็นสาย แต่ทว่าวาจาเช่นนี้แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจรับรองได้
ถ้าหากผู้นำผู้อาวุโสไม่สิ้นลมหายใจแล้วละก็ แล้วเหตุใดถึงยังไม่กลับมานิกายแสงอัคคีกันอีกล่ะ?
ถ้าหากผู้นำผู้อาวุโสไม่สิ้นลมหายใจแล้วละก็ หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมีหรือที่จะสามารถกระทำการฆ่าฟันที่อุกอาจเช่นนี้ได้กัน?
เห็นได้ชัดว่าพวกนางเองก็ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดังนั้นจึงได้ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก
“ลั่วหลีแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมิใช่ว่าสามารถสังหารท่านผู้นำผู้อาวุโสไปได้แล้วหรอกนะ แท้จริงแล้วแม้กระทั่ง……ใต้เท้าหลัวไห่?” ระหว่างนั้นก็ได้มีคนกู่ร้องขึ้นเสียงดัง
คงมีแต่เพียงหลัวไห่ จึงจะสามารถสังหารที่จะสังหารผู้นำผู้อาวุโสได้ แต่ทว่า มิใช่ว่าพวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลยมิใช่หรอกหรือ? อีกทั้งในครั้งนี้ในยามที่ใต้เท้าหลัวไห่เดินทางไปเยือนดาววารีสีชาด ก็ยังได้ไปเป็นแขกเกริกที่นิกายแสงอัคคีโดยตลอดมิใช่หรอกหรือ เหตุไฉนจู่ๆ ถึงได้ลงมือต่อท่านผู้นำผู้อาวุโสสำนักเราอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตกัน?
.
.
.