ตอนที่แล้วตอนที่ 1660 โชควาสนาบ่อหนาวเหน็บ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1662 เข้าสู่การบุกรุกรานครั้งสำคัญ

ตอนที่ 1661         เทพกระบี่เหมันต์ลี้ลับ


ตอนที่ 1661         เทพกระบี่เหมันต์ลี้ลับ

“โชควาสนาบ่อหนาวเหน็บนับเป็นที่ตั้งอันลี้ลับทั้งหมดของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา อีกทั้งหากมิใช่บุคคลสำคัญจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป บ่อหนาวเหน็บแบ่งออกเป็นทั้งหมดสิบสองชั้น หากว่ายิ่งลงลึกเข้าไป ก็จะยิ่งมีความยากเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งทวีคูณอันตรายมากยิ่งขึ้น” ลั่วหลีหันไปมองหยางไค แล้วกล่าวอธิบายขึ้นมาต่อ

“อ๋อ? เช่นนั้นขอเรียนถามผู้อาวุโสสามารถเข้าสู่ชั้นที่ลึกสุดที่เท่าไหร่อย่างงั้นหรือ?” หยางไคจึงได้ถามออกไปด้วยความเสนาะสนใจ

“ตัวข้านั้นลงสู่ชั้นลึกสุดได้ก็ชั้นที่แปด ก็ไร้พลังที่จะดำดิ่งลงไปได้อีกแล้ว” ลั่วหลีถึงกับมีสีหน้าละอายใจอยู่เล็กน้อย

“ซูเหยียนอยู่ภายในนั้นอย่างงั้นหรือ?”

“มิผิด ด้วยคุณสมบัติชั้นเลิศล้ำของนาง มิหนำซ้ำยังมีกายาผลึกหยกเหมันต์ เดิมทีข้าก็กำลังรอคอยให้นางเติบใหญ่กว่านี้ค่อยเข้าสู่บ่อหนาวเหน็บ เพื่อเสาะหาโชควาสนา แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางถึงกับสามารถเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามได้ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นางในขณะนี้เองก็จึงค่อยนับว่ามีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่บ่อหนาวเหน็บกันแล้ว นางถึงแม้จะหาได้เป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา แต่ก็ถือซะว่าเป็นของขวัญอำลาเถอะ”

“เช่นนี้ก็คงต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากแล้ว”

เขาย่อมต้องทราบอยู่แล้วว่า สาเหตุหลักที่ลั่วหลีทำเช่นนี้ก็เพื่อที่คลี่คลายความขัดแย้งระหว่างตนเองและหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ยังไงเสียโชควาสนาบ่อหนาวเหน็บก็อยู่ในที่แห่งนี้กันอยู่แล้ว ซูเหยียนเองก็หาได้ไปทำให้มันเกิดความเสียหายอะไรอยู่แล้ว การให้ซูเหยียนได้ลองเข้าไปสักครั้ง ก็รับได้ว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมอบให้ด้วยความหวังดีแล้ว

ลั่วหลียิ้มน้อยๆ : “เป็นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราที่ติดค้างนางเองแล้ว จอมยุทธ์หยางมิจำเป็นต้องเกรงใจไป อือ……นางสมควรที่จะออกมาแล้ว ไม่ทราบว่าในครั้งนี้นางจะสามารถดำดิ่งเข้าสู่ชั้นที่เท่าไหร่กันได้แล้ว”

เมื่อได้ฟังนางกล่าวมาเช่นนี้ หยางไคก็พลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ใช้จิตวิญญาณเข้าสัมผัสภายใน ถึงกับยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังสภาวะของซูเหยียนที่กำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ อยู่ภายในก้นบึ้งบ่อหนาวเหน็บที่ไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งได้

ไม่นานนัก ทันใดนั้นที่ด้านบนบ่อหนาวเหน็บก็พลันปรากฏเกลียวคลื่นขนาดเล็กๆ ขึ้นจุดหนึ่ง ท่ามกลางการหมุนวนของเกลียวคลื่น ได้ทำให้ภายในใจกลางบ่อหนาวเหน็บแฝงเอาไว้ด้วยสภาพอันเวิ้งว้าง ยิ่งถูกเสริมเข้าไปด้วยภาวะความหนาวเหน็บที่สามารถแช่แข็งทุกอย่างได้แผ่ซ่านออกมา

ระหว่างนั้นก็พลันผ่านไปอีกสักพัก เงาร่างสายหนึ่งก็ได้ลอยมาจากใจกลางเกลียวคลื่นดีดตัวออกมา

ระหว่างนั้นก็พลันมีลำแสงอันหนาวเหน็บดีดตัวลอยออกมา หยางไคพลันหรี่ตาลง จนสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขั้นตอนนี้ได้ จนชั่วพริบตาที่มองเหก็ประกายอันหนาวเหน็บนี้ได้ ก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะพลันเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมา ตลอดทั้งร่างราวกับเกิดเป็นเข็มนับล้านล้านเล่มทิ่มแทงเข้ามาก็มิปาน

หยางไคพลันบังเกิดความรู้สึกฉงนสงสัย พร้อมกับจดจ้องเข้าไปที่ความหนาวเหน็บนี้เอาไว้

“นี่มัน……” ลั่วหลีถึงกับเผยสีหน้าตกใจ เงยหน้าขึ้นมองไปยังทางด้านบนของท้องนภา

ใจกลางอากาศ เงาร่างของซูเหยียนพลันสดับยืนอยู่กลางเวหาอันว่างเปล่า โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ร่างกายที่แผ่ซ่านพลังสภาวะความหนาวเหน็บออกมายิ่งกว่าเมื่อสิบวันก่อน อีกทั้งยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเสียยิ่งหลายเท่าตัว ที่ด้านบนมือขวาของนาง ยังได้กุมกระบี่ที่มีความยาวสามเชียะเล่มหนึ่ง แผ่ซ่านประกายกระบี่อันเย็นเฉียบออกมา

ประกายอันคมกล้าที่เสียดแทงออกมาผ่านกระบี่ยาว

แววตาของหยางไคและลั่วหลีพริบตานั้นก็พลันเกิดแน่นิ่งมองไปที่กระบี่เล่มนั้น ถึงกับบังเกิดความเบิกบานและรอยยิ้มขึ้นนับตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าแตกตื่น ร่างกายสั่นสะท้าน

กระบี่ที่อยู่ในมือของซูเหยียนดูไปแล้วเก่าแก่อยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีความยาวเพียงสามเชียะ แต่ก็ยังนับว่าบางเบาเป็นอย่างยิ่ง แทบจะหาได้ใช่มีความหนาเหมือนกับกระบี่โดยทั่วไปไม่ จนทำให้ผู้คนต้องเกิดความรู้สึกว่ามันนั้นแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง

ความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในกระบี่ไม่หยุดมิหย่อน ซูเหยียนที่กุมกระบี่ด้วยมือเพียงข้างเดียว ระหว่างนั้นก็แตะไปที่ปลายกระบี่อย่างแผ่วเบา

ร่างดาบสั่นสะท้านดังอึงอล เกิดเป็นแสงเย็นเฉียบแลบผ่าน รวมไปจนถึงความเย็นยะเยือกที่แสนจะน่าน่ากลัวแผ่ซ่านมาจากซูเหยียน

บนยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งซึ่งเย็นเยียบอย่างถึงขีดสุด ก็พลันเกิดแนวโน้มว่าจะถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ได้มากกว่าเดิม

เพิงมุ้งหญ้าที่อยู่ด้านนอกพลันเกิดเป็นเสียงดังโครมครามดังขึ้นผ่านลมพายุฝนจากทุกสารทิศ ราวกับไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีก จนพร้อมที่จะพังทลายลงอยู่ทุกเวลา

“เหมันต์ลี้ลับ?” ลั่วหลีเองก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ลุกขึ้นยืนโดยพลัน พร้อมทั้งอุทานขึ้นเสียงดัง พร้อมกับใช้แววตาคู่งามจับจ้องมองไปที่ดาบที่แบนเรียบละเอียดยิบในมือของซูเหยียน ภายในสายตายังเต็มไปด้วยอาการไม่น่าเชื่อใน

หยางไคเองก็สังเกตสีหน้าและแววตา ก็ทราบได้ว่าในครั้งนี้ซูเหยียนย่อมต้องได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากอย่างแน่ นอน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังก้องกังวาน

ในขณะนี้ซูเหยียนก็เหมือนกับว่าในที่สุดก็มีสติกลับคืนมา พร้อมทั้งหันไปมองยังทางด้านนั้น ร่างกายพลันสลายสภาวะที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งเหมันต์เลือนหายไป พร้อมทั้งเผย รอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา ร่างกายเพียงสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ก็ได้มาถึงยังด้านหน้าของเพิงมุ้งหญ้า : “ศิษย์น้องเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรแล้ว”

“เป็นผู้อาวุโสเรียกข้ามาเอง” หยางไคกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม ภายในดวงตายังได้สาดเป็นประกายระยิบระยับออกมา

ทันใดนั้นเขาก็พบว่า พลังสภาวะของซูเหยียนได้เกิดความมั่นคงขึ้นยิ่งกว่าเดิม เทียบกับเมื่อสิบวันก่อนที่จะแยกจากกันถึงกับแปรเปลี่ยนจนแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมอยู่มากอักโข ดูเหมือนว่าคงจะได้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลจากภายในโชควาสนาบ่อหนาวเหน็บนี้กันแล้ว

สายตาของเขาพลันได้หันไปมองกระบี่ยาวที่เล็กละเอียดนั้นอีกครั้ง เมื่อได้มองเข้าไปที่กระบี่เล่มนี้ในระยะใกล้ ถึงกับเป็นสมบัติลึกลับระดับกำเนิดราชันที่หยางไคคุ้นเคยเป็นอย่างดี จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแตกตื่นไม่ได้

ในกระบี่เล็กนั้น ถึงกับมีสำนึกแห่งน้ำแข็งเหมันต์อยู่ขุมหนึ่ง ดั่งได้อัดแน่นเอาไว้ด้วยความคมกล้าที่ไร้สภาพเอาไว้ พร้อมทั้งเสียดแทงเข้าสู่ภายในจิตใจผู้คน ราวกับกำลังปฏิเสธสายตาที่ตนกำลังมองไปที่มันอยู่ก็มิปาน

“ซูเหยียน กระบี่เล่มนี้......พอจะให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?” ลั่วหลีที่มีสีหน้าฟื้นคืนกลับมา จึงได้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมออกไป

“ยังคงขอโปรดให้ท่านผู้นำผู้อาวุโสช่วยดูให้ด้วย!” ซูเหยียนได้ประคองกระบี่ยาวเล่มบางด้วยมือทั้งสองข้าง ยื่นให้ด้วยความเคารพ

ลั่วหลียื่นมือไปจับกระบี่

ประกายแสงอันเจิดจ้าที่เปล่งประกายจากตัวกระบี่ จนทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงคมเย็นเยือกที่แล่นผ่านมาจากภายในตัวของกระบี่ ระหว่างนั้นก็พลันแพร่กระจายเข้าสู่ภายในร่างลั่วหลี

มืออันเล็กบางของลั่วหลี ถึงกับถูกเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ อย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนปรากฏเป็นชั้นน้ำแข็งขึ้นอยู่ตามผิวหนัง

หยางไคขมวดคิ้วขึ้น เผยสีหน้าเหนือความคาดหมายออกมา

กระบี่เล่มบางนี้ที่ดูไปแล้วเล็กเป็นอย่างยิ่ง จนหาได้มีคนที่สามารถประเมินพลังของมันเอาไว้ได้ มันถึงกับสามารถทำให้ผู้ทรงพลังอย่างลั่วหลีเช่นนี้เกิดอาการชาขึ้นมาเล็กน้อย หากว่ามีคนคิดที่จะรุกรานมัน มิใช่ว่าจะยิ่งหนักยิ่งกว่านี้อีกงั้นหรือ?

เพียงแค่กระบี่เล่มนี้ พลังความสามารถของซูเหยียนก็พลันพลิ้วไหวขึ้นมาอีกเป็นชั้น!

นี่ก็คือความน่าสะพรึงกลัวของสมบัติลับระดับกำเนิดราชันขั้นสูงอย่างงั้นหรือ? หยางไคที่ทำได้แต่เพียงลอบคาดเดาอยู่

“แท้จริงแล้วก็เป็นเหมันต์ลี้ลับ!” ลั่วหลีพลันมองไปที่ตัวกระบี่อย่างละเอียด ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยได้พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งทอสีหน้าและกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ : “คิดไม่ถึงว่าข้าที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ จะยังมีโอกาสที่จะสามารถสดับมองเห็นกระบี่เหมันต์ลี้ลับได้อีกครั้ง”

หยางไคเอ่ยถาม : “กระบี่เล่มนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน?”

บนสีหน้าลั่วหลีพลันได้ปรากฏเค้าความยินดีออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ว่า: "มันก็คือกระบี่คู่กายของบรรพจารย์ปิงหวินผู้เป็นบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา”

หยางไคและซูเหยียนพลันหันหน้ามองสบตากัน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าแตกตื่นตกใจกันออกมา

หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้ก่อตั้งมานานกว่าสองสามหมื่นปีแล้ว เล่าลือกันว่าบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักได้บ่มเพาะจนถึงขีดสุดของขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สาม อีกทั้งยังเป็นชนชั้นผู้ปกครองท่ามกลางแดนดารา เพียงแต่ทว่าถึงแม้จะมีสิ่งที่ตกทอดมาจากนาง แต่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นในหลายหมื่นปีมานี้กลับไม่สามารถที่จะก้าวหน้าได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ภายในสำนักยังหาได้ปรากฏผู้ทรงพลังชั้นสูงเช่นนางขได้ แม้ว่าที่มีความสามารถที่สูงสุด ก็ยังทว่ายังอยู่เพียงแค่กำเนิดราชันขั้นที่สองเท่านั้น

เมื่อมาถึงยังยุคสมัยนี้ ลั่วหลียิ่งมีขอบเขตการบ่มเพาะอยู่แค่เพียงขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่หนึ่งแล้วเท่านั้น

“ถึงกับเป็นกระบี่คู่กายของบรรพจารย์จริงหรือ?” ซูเหยียนเองก็รู้สึกอายเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า : “ในเมื่อเป็นกระบี่คู่กายของบรรพจารย์ เช่นนั้นก็ยังคงขอมอบให้ท่านผู้นำผู้อาวุโสดูแลเถอะ ศิษย์ที่หาได้ทราบถึงความล้ำค่าของกระบี่เล่มนี้ ดังนั้นจึงค่อยได้นำมันออกมาด้วย”

ลั่วหลีส่ายหน้าเล็กน้อย : "เจ้าที่ยังสามารถเรียกข้าว่าผู้นำผู้อาวุโสได้ ก็นับเป็นความยินดีในใจของข้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับการเก็บรักษากระบี่เล่มนี้ เหอะเหอะ......ตัวข้านั้นกลับหาได้มีความสามารถเช่นนั้นไม่"

ในยามที่สนทนากัน แขนทั้งสองข้างที่นางที่กุมกระบี่เอาไว้ก็ได้ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยน้ำแข็งเหมันต์ไว้ชั้นหนึ่งไปแล้ว ระหว่างนั้นก็พลันลุกลามและซ้อนขึ้นเป็นชั้นแล้วชั้นเล่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เห็น ก็พลันแผ่กระจายไปจนถึงส่วนหน้าอกของนางไปในทันที หากผ่านไปอีกสักพัก เกรงว่านางคงจะต้องถูกปกคลุมเต็มไปด้วยชั้นน้ำแข็งไปทั้งกายกันแล้ว

ลั่วหลีจึงหาได้อาจหาญที่จะถือกุมกระบี่ต่อไปไม่ จากนั้นก็พลันยื่นมือที่ถือเหมันต์ลี้ลับส่งให้แก่ซูเหยียนแล้ว : “ในเมื่อเจ้าสามารถนำมันออกมาได้ เช่นนั้นก็ว่ามีวาสนากับมันแล้ว! ตัวข้าเองก็หาได้มีเหตุผลที่จะเก็บรักษามันเอาไว้ มิเช่นนั้นจะยิ่งมีแต่ยิ่งเป็นการผิดต่อท่านบรรพชนเอาได้ บาปมหันต์เช่นนี้ตัวข้านั้นกลับหาได้สามารถแบกรับไว้ได้ไม่”

“แต่ว่า.......” ซูเหยียนราวกับคล้ายจะกล่าวอะไรออกมา

“นี่คงจะเป็นโชคที่ผ่านมาตามกาลเวลา นี่ก็คือสิ่งที่เหมันต์ลี้ลับได้เลือกเอาไว้แล้ว และก็คงจะเป็นสิ่งที่บรรพจารย์เลือกเอาไว้แล้ว” ลั่วหลีถอนหายใจ

หากว่าซูเหยียนยังเป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอยู่ และครอบครองกระบี่เหมันต์ลี้ลับเอาไว้ได้ เช่นนั้นลั่วหลีย่อมต้องมีความสุขอย่างล้นพ้นอยู่แล้ว แต่บัดนี้ซูเหยียนกลับหาได้เป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่านางก็ยังได้รับการยอมรับจากกระบี่เหมันต์ลี้ลับ สิ่งนี่ในมุมมองของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ย่อมเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้

ท่านบรรพจารย์เองยังได้กำชับถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ลั่วหลีเอาก็มิกล้าฝ่าฝืน

นางเองก็ต้องการที่จะโน้มน้าวให้ซูเหยียนกลับมาสู่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเองและปิงหลงกระทำก่อนหน้านี้ ก็ถึงกับไม่อาจเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องนี้ออกมากันได้เลย

“ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวมาเช่นนี้แล้ว ซูเหยียนเจ้าก็หยิบฉวยเอาไว้เถอะ ขอเพียงในใจยังคงมีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอยู่ ไยจึงยังต้องไปสนใจว่าจะเกี่ยวพันเป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกหรือไม่แล้วมิใช่หรอกหรือ?” หยางไคก็ได้กล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยอยู่ทางด้านข้าง

ลั่วหลีได้หันไปมองเขาคล้ายกับกำลังแสดงความขอบคุณ

แม้ว่าหยางไคจะไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจนมากนัก แต่ลั่วหลีเองก็สามารถที่จะฟังจากน้ำเสียงที่ของเขาออกได้ แม้ว่าน้ำที่หกไปแล้วจะไม่สามารถเก็บคืนได้ แต่ว่าก็ยังสามารถผูกมัดกันด้วยสัมพันธ์จากกระบี่เหมันต์ลี้ลับนี้ได้อยู่ วันหน้าหากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นตกอยู่ในวิกฤติยากคลี่คลาย ซูเหยียนก็ย่อมไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน

สิ่งนี้ในมุมมองของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ย่อมถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดกันแล้ว

“ใช่แล้ว ซูเหยียนเจ้าในเมื่อได้รับกระบี่เหมันต์ลี้ลับมา เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าได้ดำดิ่งเข้าสู่ชั้นที่สิบสองได้แล้วอย่างงั้นหรือ?” ลั่วหลีพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที พร้อมทั้งยังได้ถามออกไปด้วยความร้อนรน

“ศิษย์เองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอยู่ในส่วนลึกลำดับที่เท่าใด เพียงแต่ว่าตรงส่วนนั้นกลับเป็นชั้นที่ลึกที่สุดของบ่อหนาวเหน็บแล้ว” ซูเหยียนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เป็นชั้นที่ลึกที่สุด เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว นั่นแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นชั้นที่สิบสองแล้วอย่างแน่นอน” ลั่วหลีทอดถอนใจออกมา : “ดูไปแล้วการที่มีพลังแห่งต้นกำเนิดวิหคเหมันต์เสริมร่างกายเอาไว้ อนาคตของเจ้าไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเจิดจรัสเสียยิ่งกว่าข้าอยู่มากมายเลยทีเดียว”

หลายปีที่ผ่านมานี้นางเองก็คอยพยายามมาโดยตลอด แต่กลับทำได้แต่เพียงเข้าสู่ชั้นที่แปดเท่านั้น แต่ในทางกลับกันซูเหยียนที่ได้เข้าสู่บ่อหนาวเหน็บเป็นครั้งแรก ก็สามารถที่จะเข้าไปจนถึงชั้นที่สิบสองได้ในทันที นี่ก็เป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งต้นกำเนิดวิหคเหมันต์ว่ามีมากถึงเพียงใดกันแล้ว”

หากว่าไม่มีต้นกำเนิดวิหคเหมันต์ ซูเหยียนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวีรกรรมที่เกริกก้องเช่นนี้ได้แล้ว

“ในเมื่อเจ้าสามารถไปจนถึงชั้นลึกสุดได้ แต่ได้พบเห็นผลึกกำเนิดความคิดของบรรพจารย์ด้วยหรือไม่?” ในเวลาที่ลั่วหลีถามคำถามเช่นนี้ออกไป ก็พลันทอสีหน้าตื่นเต้นออกมายิ่งกว่าเดิมแล้ว

“ผลึกกำเนิดความคิด?” ซูเหยียนขมวดคิ้วอันดกดำ : “นี่กลับหาได้เคยพบเห็นมาก่อนไม่ เช่นนั้นแท้จริงแล้วท่ามกลางชั้นลึกสุดที่เกิดจากอำนาจจักรพรรดิที่แข็งแกร่ง ก็ย่อมต้องมีกระบี่เหมันต์ลี้ลับถูกฝังไว้อยู่ในที่แห่งนั้นด้วย แต่ศิษย์กลับหาได้พบเห็นผลึกกำเนิดความคิด ไม่”

“กลับหาได้พบเห็นไม่!” ลั่วหลีพลันสาดดวงตาคู่งามเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงกลับกลายไม่หยุดนิ่ง หลังผ่านไปได้สักพัก ก็จึงค่อยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับพึมพำกับตัวเองออกมาว่า : “จากที่เห็นเช่นนี้ ที่เล่าลือออกมาคงจะเป็นเรื่องจริงแล้ว ฮาฮา เรื่องที่เล่าลือมาแท้จริงก็เป็นความจริงแล้ว”

จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด นางถึงกับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมายกใหญ่ คล้ายกับอยู่ในอาการที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

หยางไคขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมถามขึ้นด้วยความสงสัย: “ผู้อาวุโสกำลังหมายถึงอะไรอยู่งั้นหรือ?”

“บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา มีความเป็นไปได้ที่ยังหาได้สิ้นลมหายใจไปไม่!” ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความแตกตื่นตกใจ!

หยางไคถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ซูเหยียนเองก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือน้อยๆ ป้องไว้ที่ปาก

“แน่นอนว่า นี่กลับมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว” ลั่วหลียิ้มน้อยๆ : “ถึงอย่างไรด้วยการที่บุคคลที่มีความสามารถล้นฟ้าเช่นท่านบรรพจารย์เช่นนั้น ย่อมไม่สามารถที่จะตายตกไปเช่นนั้นอย่างง่ายดายแน่นอน คัมภีร์โบราณที่ตกทอดกันมาของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา ท่ามกลางโชควาสนาบ่อหนาวเหน็บ ยังได้มีเทพกระบี่เหมันต์ลี้ลับที่บรรพจารย์ได้หลงเหลือเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วบรรพจารย์นั้นจะมรณะไปแล้วหรือไม่นั้น กลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีการบันทึกรายละเอียดเอาไว้ไม่ แม้ว่าภายในบ่อหนาวเหน็บจะหาได้มีผลึกกำเนิดความคิดของบรรพจารย์อยู่ก็ตาม เช่นนั้นก็หมายความว่านางมีความเป็นไปได้ที่จะยังมีชีวิตอยู่”

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด