ตอนที่ 1660 โชควาสนาบ่อหนาวเหน็บ
ตอนที่ 1660 โชควาสนาบ่อหนาวเหน็บ
ซูเหยียนได้ถูกหยางไคปล่อยออกมาจากภายในดาวลึกลับ เพียงแต่มุ่งหน้าไปยังยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งไป
ถึงแม้หยางไคจะไม่ทราบว่าลั่วหลีแท้จริงแล้วเพราะเหตุใดถึงต้องการที่จะพบกับซูเหยียน แต่ก็สามารถที่จะมองออกได้ว่า สตรีนางนี้หาได้คิดร้ายต่อซูเหยียนอะไรไม่ อีกทั้งเขายังสามารถรู้สึกได้ว่า นี่ยังอาจจะเป็นวาสนาของซูเหยียนเลยก็ว่าได้
ซูเหยียนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดได้ทำให้ผู้อาวุโสหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่อยู่ด้านนอกของตำหนักล้วนแต่แตกตื่นตกใจกันนับหมื่นส่วน
นางแทบจะหาได้เคยพบเห็นซูเหยียนเข้าสู่หอสูงมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับเดินออกมาจากภายในหอสูง
ในยามนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจคิดได้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หยางไคที่รั้งอยู่ภายในหอสูง ก็ได้เริ่มทำการหลอมโอสถขึ้นมา
โอสถปราณระดับกำเนิดราชัน กลับหาใช่สิ่งที่จะบอกว่าหลอมก็จะหลอมขึ้นมาได้ หากเป็นไปตามความเข้าใจต่อเคล็ดการหลอมโอสถที่เที่ยงแท้ของหยางไค หากคิดที่จะหลอมโอสถปราณระดับกำเนิดราชัน ย่อมจำเป็นที่จะต้องหลอม
จนเกิดเป็นเอกลักษณ์โอสถให้โดดเด่นที่สุด
เอกลักษณ์โอสถมีปราณ การหลอมโอสถยาออกมาจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นโอสถปราณ
หยางไคได้ชักนำเอกลักษณ์โอสถของโอสถภายในสัตว์อสูรชั้นสูงมาใช้ได้ในระดับที่แน่นอน
แกนบริสุทธิ์เทวะของสัตว์อสูรของสัตว์อสูรเองก็ได้ถูกแฝงไว้ภายในโอสถ ย่อมต้องแฝงไว้ด้วยคุณสมบัติที่สูงสุดเอาไว้ด้วย จนสอดคล้องกับเงื่อนไขได้
สัตว์อสูรภายในโอสถทั้งสิบขั้น หยางไคกลับหามีไม่ หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเองก็หาได้มีไม่ แต่ว่าสัตว์อสูรขั้นสูงสุดขั้นก้าวภายในโอสถ ด้านหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกลับมีอยู่น้อยเป็นอย่างยิ่ง ในก่อนหน้านี้ที่ยื่นขอวัตถุดิบไป กลับได้มาเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น
ต่อมาเมื่อผ่านไปได้อีกสามวัน หยางไคก็ได้เข้าสู่การเก็บตัวมาโดยตลอด
ภายในหอสูงในบางครั้งบางคราวจะเกิดเสียงและความเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น พริบตานั้น ภายในใจกลางหหอสูง ได้เกิดเป็นกลิ่นอันหอมหวนโชยพัดไปนับหมื่นจั้ง
ปิงหลงและคนอื่นๆ ที่ได้ทราบเรื่องมาตั้งแต่แรกจากลั่วหลีก็ยังถึงกับต้องอ้าปากตาค้าง ที่ด้านนอกในการเฝ้ายามของหอสูง ก็ถึงกับต้องแตกตื่นตกใจจนแม้กระทั่งคางก็เกือบที่จะร่วงลงมาแล้ว
หยางไคถึงกับเป็นผู้หลอมโอสถที่มีความโดดเด่นได้อย่างแท้จริง ถึงแม้จะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเขาจะสามารถหลอมโอสถปราณระดับกำเนิดราชันออกมาได้หรือไม่ แต่เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เพียงพอที่จะเป็นการบอกได้ว่าเขานั้นมีวิถีโอสถที่ไม่นับว่าตื้นเขินเลยทีเดียว
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
อายุอานามหยางไคที่ดูไปแล้วก็ไม่ถือว่ามากมายนัก อีกทั้งการบ่มเพาะจากทั้งร่างก็ยังสามารถที่จะทำให้เข้าสู่
แม้จะดูไปแล้วจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่เพียงแต่ร่างที่บ่มเพาะสามารถเข้าถึงขั้นขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อได้มากพออยู่แล้ว เขายังพอมีสมาธิอีกมากแค่ไหนที่จะไปวิเคราะห์วิถีโอสถได้อีกกัน? มิหนำซ้ำยังเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้มาตั้งไกลได้ถึงเพียงนี้อยู่อีก
จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ ปิงหลงและพวกจึงค่อยเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้วหยางไคนั้นมีการดำรงอยู่ที่น่าหวาดกลัวจนถึงระดับใด
เมื่อในขณะที่กำลังใช้แววตาเหม่อมองไปยังด้านบนของหอสูงที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นน่าหวาดกลัวขึ้น
ในระหว่างที่วันเวลาได้ค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป ภายในหอสูงก็พลันเกิดความเคลื่อนไหวที่ประหลาดพิกลมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เกิดเป็นแสงนับหมื่นพันที่สาดส่องออกมาจากภายใน ใจกลางมวลอากาศพลันเกิดเป็นกลิ่นหอมหวนจากโอสถที่ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมหวนที่แตะเข้ามายังภายในโพลงจมูก ถึงกับทำให้ทุกคนที่สูดดมเข้าไปนั้นล้วนแต่เคลิบเคลิ้ม รู้สึกเบาหวิวไปตลอดทั้งร่าง
วันเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปกว่าสามวัน บานประตูของหอสูงได้ถูกเปิดออกมา
ภายในยังได้มีเสียงของหยางไคดังขึ้น : “ขอเชิญผู้อาวุโสปิงหลงเข้ามาร่วมสนทนาด้วย”
ปิงหลงถึงกับทอสีหน้าตึงเครียด พร้อมกับรีบมุ่งหน้าเดินเข้าไป
เมื่อได้เข้าสู่หอสูง ผ่านไปไม่นานนักก็ได้เดินออกมาอีกครั้ง พร้อมกับทอสีหน้าตื่นเต้นระคนร้อนรนออกมา
“ท่านจ้าวหุบเขา สถานการณ์เป็นอย่างไรกันบ้าง?” ผู้อาวุโสสูงสุดหรานอวิ่นถิ่งและคนอื่นๆ ก็ได้หันไปเหม่อมองแทบจะหุบปากกันไม่ลง พวกนางที่ล้วนแต่ทราบกันอยู่แล้ว ว่าในหลายวันนี้หยางไคได้กำลังหลอมโอสถปราณเพื่อมอบให้แก่ท่านผู้นำผู้อาวุโส บัดนี้ย่อมต้องการที่จะทราบถึงข้อสรุปกันแทบจะทนรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
ปิงหลงหาได้ตอบกลับไม่ เพียงแต่ล้วงขวดหยกที่มีสีขาวบริสุทธิ์ขวดหนึ่งออกมาเพื่อประจักษ์ให้ได้เห็นกัน จากนั้นก็ได้เก็บเข้าสู่ภายในแหวนมิติโดยที่ไม่กล่าววาจาใดออกมาแม้สักคำเดียว จากนั้นก็ได้เร่งรุดมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งไปด้วยความรวดเร็ว
“แท้จริงแล้วหลอมออกมาสำเร็จได้อย่างไรกัน?” หรานอวิ่นถิ่งเพียงมีสีหน้าดำคล้ำ อีกทั้งยังกำลังพึมพำกับตัวเองอยู่
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ กำลังหันไปเหม่อมองปิงหลงที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วจึงค่อยหันไปมองหรานอวิ่นถิ่ง ระหว่างนั้นก็ยังคงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ถอนหายใจออกมากันอย่างแผ่วเบา ภายในส่วนลึกของแววตาที่เผยความรู้สึกที่กำลังตำหนิตัวเองกันอยู่
ถึงแม้ว่าพวกนางล้วนแต่ก็ทราบกันดีว่า ถ้าหากเปลี่ยนตัวเองไปอยู่แทนที่หรานอวิ่นถิ่ง การมาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นของซื่อฮั่วและหลัวไห่เมื่อในวันนั้น พวกนางก็อาจจะเลือกที่จะทำแบบเดียวกัน ยอมที่จะปล่อยซูเหยียนไป เพื่อรักษาสำนักให้อยู่รอดปลอดภัย
แต่ด้วยความมหัศจรรย์และพลังที่ล้นหลามที่หยางไคได้แสดงออกให้ได้เห็น ยังคงทำให้พวกนางอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเสียใจกันอยู่ดี
เมื่อในยามนั้นหากไม่ทำเช่นนั้น แต่กลับเลือกที่จะคุ้มครองซูเหยียนด้วยชีวิต……นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว หากว่าเป็นไปตามที่กล่าวมาเช่นนั้น ก็จะสามารถสานสัมพันธ์อันดีกับหยางไคได้แล้ว
ผู้หลอมโอสถในระดับกำเนิดราชัน นี่แท้จริงแล้วเป็นสถานภาพที่สูงล้ำมากถึงเพียงใดกัน?
ภายในหอสูงนี้ หยางไคหลับตาปรับสภาวะ การหลอมโอสถปราณระดับกำเนิดราชันในครั้งนี้ ได้ทำให้เขาเกิดความเข้าใจขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว ประจวบกับที่ลั่วหลีเองก็ต้องการใช้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อหล่อหลอมฤทธิ์ยาจากโอสถยา ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ชดเชยและบำรุงจิตสมาธิในส่วนที่จะก่อให้เกิดอันตราย ดังนั้นเขาจึงขวัญกล้าบังอาจที่จะคิดทำความเข้าใจขึ้น
รอจนลั่วหลีฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่จะบุกโจมตีนิกายแสงอัคคีครั้งใหญ่กันแล้ว
หยางไคที่มีความตั้งใจจะทำลายนิกายแสงอัคคี เหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้นอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้เขาที่ได้บังเอิญพบพานกับผู้ทรงพลังนิกายแสงอัคคี ล้วนแล้วแต่ก็บ่มเพาะกันด้วยเคล็ดวิชาลับเพลิงอัสนีฟ้าดินนี้กันมาก่อน และเพลิงอัสนีฟ้าดินซึ่งถือเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนขีดจำกัดของพลังให้แก่อาวุธวิญญาณวิหคเพลิงขึ้นได้เป็นอย่างมาก
แต่เดิมระหว่างหยางไคและสำนักแห่งนี้ก็นับว่ามีการปะทะและความแค้นกันหลายต่อหลายครั้ง จนเกิดการภาพลักษณ์ที่เลวร้ายต่อพวกเขามากเป็นอย่างยิ่ง
หลังผ่านไปได้หนึ่งวัน หยางไคก็ได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
จากการเลื่อนขั้นในวิถีแห่งการหลอมโอสถ แท้จริงแล้วยังสมควรที่จะมีการลงมืออะไรอีกมากมาย การหลอมโอสถปราณระดับกำเนิดราชันเพียงครั้งเดียว ก็สามารถที่จะทำให้ตัวเองสามารถที่จะเก็บเกี่ยวสะสมประสบการณ์เอาไว้ได้อยู่ไม่น้อย ถ้าหากมีวัตถุดิบที่มากพอก็จะสามารถฝึกฝนทำการหล่อหลอมได้เป็นประจำแล้วละก็ หยางไคเองก็รู้สึกว่าเคล็ดวิชาหลอมโอสถของตัวเองย่อมสมควรที่จะสามารถเพิ่มพูนขึ้นอีกมาก
ระหว่างนั้นที่ได้ละสายตากวาดมองไปทางด้านข้าง หยางไคก็ได้หันหน้ามองไป ก็ได้ประจวบพบกับชิงหย่าที่กำลังอยู่ในท่าทีลังเลและหยุดทำอะไรบางอย่าง
“ศิษย์พี่ชิงหย่ามีคำพูดอันใดสามารถบอกมาได้เลย” หยางไคยิ้มออกมาเล็กน้อย : “เจ้าใช่ต้องการที่จะให้ข้าช่วยหลอมโอสถปราณให้แก่เจ้าด้วยอย่างงั้นหรือ?”
“ไม่ไม่ไม่” ชิงหย่าจึงได้โบกมือไปมา เมื่อลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็ยังคงกล่าวออกมาว่า: “แต่กลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเชียนเฮ่า”
“เชียนเฮ่า……” หยางไคพยักหน้าเล็กน้อย หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักเหมันต์เมื่อวันวาน ซึ่งก็คือพี่ชายแท้ๆ ของเชียนเยว่
เมื่อครั้งอดีตที่เขาได้มาเยือนดาววารีสีชาดพร้อมกับชิงหย่าและซูเหยียน เนื่องจากเป็นเพราะเกิดจากการที่มีเพศที่ต่างออกไป จึงไม่อาจที่จะเข้าร่วมกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้ ยังดีที่หรานอวิ่นถิ่งได้จัดการให้เข้าไปอยู่ภายในสำนักที่อยู่ภายใต้สังกัดของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น อีกทั้งยังได้ยินว่าในช่วงหลายปีมานี้เองก็มีชีวิตที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“เจ้าคิดที่จะให้เขาออกไปจากสำนักแห่งนั้นด้วยอย่างงั้นหรือ?” หยางไคพลันเข้าใจในความตั้งใจของชิงหย่าขึ้นในทันที
“อือ บัดนี้ข้าและซูเหยียนล้วนแต่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ถ้าหากเชียนเฮ่ายังอยู่ในสำนักแห่งนั้นแล้วละก็ ย่อมไม่อาจที่จะถูกผู้คนดูแคลนเอาไว้ อีกทั้งในเมื่อพวกเราหลายคนในตอนนี้ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้เชียนเฮ่าอยู่ที่ภายนอกเพียงคนเดียวอยู่ดี ข้าจึงต้องการที่จะให้เขากลับมาด้วย”
“เรื่องนี้ย่อมจัดการได้ง่ายอยู่แล้ว” หยางไคยิ้มขึ้นน้อยๆ แผ่ซ่านจิตสัมผัสตรวจสอบรอบนอก พร้อมกับถ่ายทอดวาจาให้แก่ใครบางคนอยู่หลายประโยค
ไม่นานนัก เขาก็ได้หันไปยิ้มต่อชิงหย่าแล้วตอบไปว่า : “พรุ่งนี้เชียนเฮ่าเข้ามาหาเอง เมื่อถึงเวลานั้นคนของสำนักเหมันต์พวกเจ้าก็จะสามารถกลับมารวมตัวกันได้แล้ว”
“ขอบคุณมาก” ชิงหย่าเองก็ได้กล่าวขอบคุณออกมาจากใจ
สำนักเหมันต์เมื่อในวันวาน ซึ่งถือเป็นขุมอำนาจขนาดใหญ่ที่จัดอยู่ชั้นแนวหน้าของทวีปถางซ๋วน แม้จะมีศิษย์ภายในสำนักที่ไม่ถือว่ามากมายนัก อีกทั้งยังไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ก็ยังนับว่าการดำรงอยู่ของสำนักเหมันต์ก็มีผู้ทรงพลังไม่น้อยที่ล้วนแต่ก็รู้จักบ้างเหมือนกัน ภายใต้การอยู่อย่างสันติมาโดยตลอด วันเวลาก็ได้ถูกมรสุมพัดผ่าน
แต่ว่าบัดนี้ ทั่วทั้งสำนักเหมันต์กลับเหลือแค่พวกเขาสี่คนแล้วเท่านั้น
เมื่อลองย้อนมองกลับไปในอดีต ชิงหย่าเองก็อดนึกถึงไม่ได้
นับว่าซูเหยียนหาบุรุษที่ดีมาได้เลยทีเดียว!ชิงหย่ากำลังเหม่อมองไปที่หยางไค บนใบหน้ายังได้เผยรอยยิ้มระคนปลาบปลื้มอยู่เล็กน้อย
การดำเนินการของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นยังถือว่ารวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ในวันที่สอง เชียนเฮ่าถึงกับได้มาถึงยังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว หลังจากที่ได้พบกับชิงหย่า ด้วยสายสัมพันธ์อันสนิทจริงใจ จากการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปได้สักพัก จนกระทั่งได้พบกับหยางไค วินาทีนั้นก็พลันอ้าปากตาค้างทันที จนแทบจะไม่ต่างอะไรกับการได้พบเห็นผีสางก็มิปาน
เมื่อได้กวาดตามองอยู่หลายครั้ง จึงค่อยแน่ใจได้ว่าหยางไคได้ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของตัวเองแล้วจริงๆ แทบจะหาได้เป็นแค่ภาพมายาเท่านั้น
“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็แยกจากกันมาเนิ่นนานแล้ว สมควรที่จะมีวาจาอีกมากมายให้ได้กล่าว เมื่อปล่อยวางซึ่งจิตสำนึก ข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นจะมีคนรอคอยพวกเจ้าเอาไว้อยู่!” หยางไคยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปกล่าวกำชับต่อชิงหย่าและเชียนเฮ่า
ทั้งสองกลับหาได้กล่าวอะไรออกมามากมายนัก ก็พลันปลดปล่อยจิตสำนึกออกมา
หยางไคกางมือออก พร้อมทั้งเกิดเป็นพลังอันมหาศาลไร้รูปลักษณ์ออกมาปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้ ชั่วเวลาต่อมา ชิงหย่าและเชียนเฮ่าเองก็พลันหายตัวไป ปรากฏอยู่ภายในดาวลึกลับแล้ว
สองพี่น้องเมื่อพบหน้ากัน เชียนเฮ่าเชียนเยว่ต่างก็ยินดีกันจนหลั่งน้ำตากันออกมา……
หลังผ่านพ้นไปได้สิบวัน ทันใดนั้นหยางไคก็พลันได้ยินเสียงที่ถูกถ่ายทอดมาจากลั่วหลี พร้อมกับออกไปจากหอสูงทันที มุ่งหน้าไปยังยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็ง
เมื่อเทียบเสียงของลั่วหลีกับก่อนหน้านี้ย่อมนับว่าดีกว่าเดิมอยู่มากแล้ว สมควรที่จะเป็นผลที่ได้รับมาจากโอสถปราณระดับกำเนิดราชันนั้นกันแล้ว หยางไคเองก็ไม่ทราบว่าในครั้งนี้นางต้องการที่จะให้ตนเองมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งแท้จริงแล้วเพื่อไปทำอะไร แต่ก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเหยียน
นับตั้งแต่วันนั้นที่ซูเหยียนได้เข้าสู่ยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งไปแล้ว ก็หาได้ปรากฏตัวออกมาอีก
หยางไคกลับหาได้เป็นห่วงไม่ เพราะว่าภายใต้ท่ามกลางสัมผัสของเขา ซูเหยียนยังคงปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นเมื่อผ่านพ้นไปได้ไม่นานนัก หยางไคก็ได้มาเยือนถึงสุดปลายยอดของยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งแล้ว อีกทั้งยังสามารถไปถึงส่วนที่เป็นปลายยอดได้อย่างไม่ยากเย็น นอกเสียจากนั้นแล้วยังได้มาถึงยังด้านนอกเพิงมุ้งหญ้าที่มีสายลมพัดมาจากทุกสารทิศ นอกเหนือจากนั้นก็หาได้มีสิ่งใดอยู่อีก
ลั่วหลีที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในเพิงมุ้งหญ้า อยู่ในสภาวะที่สงบเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสีหน้าก็ยังอมชมพูดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
อาการบาดเจ็บของนางเห็นได้ชัดว่าดีขึ้นมากแล้ว
“เจ้ามาแล้ว?” ลั่วหลีแสดงท่าทีเพื่อบอกให้หยางไคนั่งลง
หยางไคกวาดสายมองไปโดยรอบ แล้วจึงค่อยขมวดคิ้วขึ้น: “ซูเหยียนเล่า?”
เขาถึงกับหาได้พบเห็นร่องรอยของซูเหยียนไม่
“จอมยุทธน้อยและซูเหยียนราวกับสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณบางอย่างขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วกลับไม่อาจที่จะตรวจสอบการดำรงอยู่ของนางได้เลยอย่างงั้นหรือ?” ลั่วหลียิ้มพลางแต่กลับหาได้ตอบคำไม่
และนี้ก็คือการทดสอบต่อข้าอย่างงั้นหรือ?
หยางไคเพียงฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย สาดทอแววตาเป็นประกายหันไปมองบ่อหนาวเหน็บที่ไม่ห่างไกลออกไป
บ่อหนาวเหน็บนั้นกลับมีขนาดอยู่ที่ประมาณห้าฉื่อเท่านั้น น้ำภายในบ่อยังกระจ่างสดใสจนสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ แต่กลับไม่อาจที่จะประเมินได้ว่าลึกล้ำมากแค่ไหน เกิดเป็นไอขาวที่คดเคี้ยวลอยขึ้น ท่ามกลางไอขาวนั้นยังได้ซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลของสุดขั่วน้ำแข็งเหมันต์เอาไว้
หยางไคได้ตัดสินใจที่จะปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมา แต่ทว่าไม่นานนักก็พลันได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้น พร้อมกับทอสีหน้าแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา มิอาจหาญพอที่จะปลดปล่อยออกมาอีกครั้งแล้ว
ในเวลาที่เขามาเยือนยังสถานที่แห่งนี้เมื่อครั้งก่อน ก็ได้สังเกตเห็นบ่อหนาวเหน็บนี้แล้ว แต่เมื่อในเวลานั้นกลับหาได้ทำการสำรวจอย่างละเอียดอะไรมากนัก จากการปลดปล่อยจิตสัมผัสเพื่อเข้าทำการตรวจสอบนั้น วินาทีนั้นพลันต้องเกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
ใจกลางบ่อหนาวเหน็บนั้นถึงกับซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยพลังอำนาจของอาณาเขตเอาไว้บางส่วน ภายใต้การแทรกซึมด้วยจิตสัมผัสของตัวเอง จึงแทบจะไม่สามารถแทรกซึมผ่านเข้าไปได้ไกลจนเกินไปนัก ก็พลันต้องถูกป้องปัดตีกลับมาทันที อีกทั้งยังมีพลังที่สามารถแช่แข็งเอาไว้อยู่
สืบเนื่องจากการที่มี [1] บัวทวนเทพ ด้วยพลังอันมหาศาลจากจิตสำนึกเทวะของหยางไคยังเทียบเท่ากับขอบเขตกำเนิดราชันที่แท้จริงได้เลย
[1] เดิม เป็นดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ (อ้างอิงตอนที่ 194)
บ่อหนาวเหน็บนี้แท้จริงแล้วมีที่มายังไงกันแน่ ถึงกับสามารถมีพลังอำนาจได้ถึงเพียงนี้เชียว?
สนับสนุนต้นฉบับที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com นะคะ
และหยางไคเองก็พอที่จะสัมผัสได้ ซูเหยียนก็อยู่บริเวณส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อหนาวเหน็บ
“นี่ก็คือโชควาสนาแห่งบ่อหนาวเหน็บของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา!” เมื่อลั่วหลีพบเห็นหยางไคแสดงสีหน้าสงสัย จึงได้เป็นฝ่ายที่กล่าวอธิบายออกมาด้วยตัวเอง : “และเป็นหนึ่งในทวิมหาสุสานเทวะที่ใกล้เคียงกับเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้น ทันทีที่เข้าสู่บ่อหนาวเหน็บ จะสร้างเกิดเป็นวาสนาที่พลิกฟ้า ที่กำลังจะกล่าวก็คือจุดนี้นี่แหลาะ”
“มีผลลัพธ์ประหลาดอะไรอย่างงั้นหรือ?” หยางไคก็พลันสาดแววตาเป็นประกายระยิบระยับหันไปมองบ่อหนาวเหน็บนั้น ก็ได้พบเห็นวัตถุประหลาดนี้ขึ้นแล้ว
“เกี่ยวกับมุมมองของผู้ที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็ง ก่อเกิดเป็นโชควาสนาบ่อหนาวเหน็บอันเป็นทำนองลิขิตแห่งฟ้า จึงเป็นสาเหตุที่ก่อตั้งสำนักหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราไว้ในสถานที่แห่งนี้ นั่นก็สืบเนื่องมาจากวาสนาของบ่อหนาวเหน็บแห่งนี้อยู่ ด้วยสภาวะร่างกายอันเป็นผู้ทรงพลังที่สามารถรับวาสนา จึงได้ทำให้ยิ่งเพิ่มพูนพลังฟ้าดินที่เกิดจากน้ำแข็งเหมันต์ เหล่าบรรดาเบื้องสูงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา ก็ล้วนแต่เคยได้รับประโยชน์มาจากภายในบ่อหนาวเหน็บกันมาก่อน”
หยางไคได้พยักหน้าเล็กน้อย โดยที่ไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร
ลั่วหลีเพียงแต่กล่าวขึ้นต่อ: “ส่วนผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันตามประวัติศาสตร์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นข้า ก็พลันเกิดการแผ่ซ่านอำนาจจักรพรรดิไปทั่วทั้งร่างกาย โดยที่พลังอำนาจแห่งอำนาจจักรพรรดิจะแทรกซึมเข้าสู่ภายในใจกลางบ่อหนาวเหน็บ แต่เป็นธรรมดาที่เมื่อผู้ใดเข้าสู่บ่อหนาวเหน็บ ต่างก็จะสามารถบรรลุความลี้ลับของขอบเขตแห่งเหมันต์ได้ พร้อมด้วยวาสนาอันเร้นลับสุดยั้งคาดอำนาจจักรพรรดิอาณาเขตน้ำแข็งเหมันต์ได้.
.
.
.