ตอนที่ 1659 สนทนาปราศรัยประเด็นหลัก
ตอนที่ 1659 สนทนาปราศรัยประเด็นหลัก
เมื่อได้พบเห็นบรรยากาศที่เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ลั่วหลีที่เพียงพยักหน้าอย่างเงียบงัน ก็ได้ยื่นมือไปรินชาใส่ถ้วยชาที่อยู่ด้านหน้าหยางไค แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า : “ลองชิมเกสรก้านหิมะคำนึงนี้ดู” ภายใต้การรินน้ำชาอย่างแช่มช้า ก็พลันเกิดเป็นบรรยากาศที่หอมหวนโชยมาพร้อมกัน
หยางไคพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แล้วยกถ้วยชาอยู่ในระดับปลายจมูกดมอยู่หลายครา จนใบหน้าเผยสีหน้าลุ่มหลง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นทันควัน ยกถ้วนชาดื่มจนถ้วนหงายจรดท้องฟ้า แม้แต่ใบชาที่อยู่ภายในถ้วนก็ยังถูกกัดเข้าไป โดยที่ทั้งขบทั้งเคี้ยวไปมาไม่หยุด
ลั่วหลีตะลึงลานเล็กน้อย ฉีกยิ้มแล้วหัวเราะ : “ดูไปแล้วจอมยุทธ์หยางเองก็คงจะเป็นผู้อยู่ในวิถีใบชามาอย่างลึกล้ำเลยทีเดียว”
“ความจริงหาได้เคยศึกษามาก่อนไม่” หยางไคหัวเราะคิกคัก : “หลายปีมานี้เพียงแต่ยุ่งวุ่นวายตระเวนไปมา จึงหาได้มีเวลาที่จะไปศึกษาสิ่งเหล่านี้ได้”
“ธรรมชาติของมนุษย์ วีรบุรุษมักเกิดกับคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะที่น่าตกใจ ย่อมต้องผ่านการตรากตรำมาไม่น้อยเลยทีเดียว”
“ผู้อาวุโสชมเชยเกินไปแล้ว ผู้น้อยกลับหาได้มีความลึกซึ้งในวิถีชามากนัก แต่ก็เคยได้ลิ้มลองความบริสุทธิ์ที่ออกมาจากชาถ้วยนี้ได้ ที่สามารถช่วยขับธาตุไฟที่ส่งผลร้ายออกไปได้ ผู้อาวุโสกลับให้ข้าดื่มชาเช่นนี้ในขณะที่ข้าพึ่งจะมาเยือน ใช่กำลังเป็นกังวลต่อสิ่งใดอย่างงั้นหรือ?” หยางไคเผยอาการคล้ายยิ้มมิคล้ายยิ้มออกมา”
ลั่วหลีทำได้แต่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ : “เหตุใดจอมยุทธ์หยางถึงได้ถามออกมาได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้?”
หยางไคจึงได้ทอสีหน้าถอนหายใจ แล้วแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าว : “เช่นนั้นผู้น้อยก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกันแล้ว สถานภาพและวิธีการของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก่อนหน้านี้ ย่อมถือเป็นสิ่งที่ทำให้ข้ามีโทสะอย่างแน่นอน แม้จะเพียงแค่ชั่ววูบเดียว ครั้งหนึ่งข้าเองก็เคยคิดที่จะทำลายล้างหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทั้งหมดให้ราบคาบลง!”
ลั่วหลีได้พลันทอสีหน้าแปรเปลี่ยนไป เพียงแต่หันไปมองหยางไคด้วยความเงียบงัน
“แต่จากที่คิดในตอนนี้ นั่นคงจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีความจำเป็นเช่นนี้ อีกทั้ง ต่อให้ข้าคิดที่จะทำเช่นนี้จริง ซูเหยียนเองก็คงจะไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ยินหยางไคเอ่ยถึงซูเหยียน บนใบหน้าลั่วหลีก็พลันสาดเป็นประกายมัวหมอง: “ซูเหยียนเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย ข้าเองก็เคยสอนสั่งนางอยู่หลายครั้งต่อหลายครา ด้วยความเข้าใจ คุณสมบัติ นิสัยของนางย่อมโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตข้างหน้าของซูเหยียน ย่อมต้องสำเร็จเป็นเสาหลักสูงสุดของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังชักนำหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ที่เหนือกว่าที่เป็นอยู่ได้”
“น่าเสียดายที่ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้แล้ว” หยางไคเพียงหัวเราะอย่างเย็นชา
“ในครั้งนี้ย่อมต้องเป็นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่ทำไม่ถูก เป็นลั่วหลีที่ทำผิดพลาดไป ยังคงขอให้จอมยุทธ์หยางช่วยใจกว้าง ไม่ถือโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยเถอะ ลั่วหลีเองยังคงต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี่ก่อนด้วยแล้ว!” ในระหว่างที่สนทนา ลั่วหลีก็ได้ลุกขึ้น แล้วคารวะต่อหยางไคอย่างนอบน้อม
หยางไคขมวดคิ้ว กระนั้นยังคงมีสีหน้าที่อบอุ่น คิดไปคิดมาจึงค่อยได้กล่าวขึ้นว่า : “ผู้อาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว ผู้อาวุโสเป็นถึงผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชัน ผู้น้อยที่ทว่ายังเป็นอยู่เพียงขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม บัดนี้ผู้อาวุโสได้ทำให้ผู้น้อยละอายขึ้นแล้ว”
ลั่วหลีที่แสดงสีหน้าจริงจังแล้วกล่าว : “ผู้เยาว์ข่มเหงผู้ชรา ยังนับว่ามีน้อยยิ่ง ข้าเองก็ชรามากแล้ว และจอมยุทธน้อยกลับยังมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่ ข้าถึงแม้จะมีตาหามีแววไม่กันอยู่บ้าง แต่ก็ทราบว่าอนาคตของจอมยุทธน้อยย่อมต้องเจิดจรัสอย่างแน่นอน”
หยางไคหัวเราะออกมาฮาฮา: “น้อมรับคำชมจากท่านผู้อาวุโส”
เสียงหัวเราะพลันดังขึ้น หยางไคจึงค่อยกล่าวในทันทีไปว่า : “ในเมื่อผู้อาวุโสเปิดเผยจริงตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นนั้นผู้น้อยก็คงต้องสารภาพกับผู้อาวุโสแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซูเหยียน ชิงหย่าจะไม่ได้เป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกต่อไป ส่วนสิ่งที่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทำไปทุกอย่างก่อนหน้านี้ ข้าเองก็จะไม่สืบสาวเอาความอีก”
ลั่วหลีเองก็ได้สาดแววตาเศร้าสร้อยออกมาเป็นสาย ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ได้ก็ดี เป็นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นข้าเองที่ไม่มีวาสนาและโชคที่มากพอ ย่อมไม่อาจที่จะไปโทษกล่าวผู้ใดได้”
“ผู้อาวุโสคิดได้เช่นนี้ นั่นก็ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” หยางไคพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ลั่วหลียังคงสนทนาเข้าใจอะไรได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง การมาเยือนในครานี้ สาเหตุหลักของหยางไคถึงแม้จะมาเพื่อพาชิงหย่าไปแล้ว ยังได้ตั้งใจที่จะมาพบกับผู้นำผู้อาวุโสแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นผู้นี้สักครา เพื่อเป็นตัวแทนในการสะสางทุกเรื่องราวระหว่างซูเหยียนและหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น
ถึงอย่างไรหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็เคยเลี้ยงดูซูเหยียนและชิงหย่ามานานถึงสามสิบกว่าปี ย่อมถือว่ามีบุญคุณมากล้น ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดในช่วงเวลาที่สำคัญจะถึงกับทำให้หยางไคต้องทั้งเดือดดาลและผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกกล่าวกันอย่างชัดเจนกันก่อน
“เอาเถอะ เรื่องส่วนตัวก็ไว้แต่เพียงเท่านี้ พวกเรามาสนทนาปราศรัยประเด็นหลักกันเถอะ” หยางไคพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป หัวเราะคิกคักหันไปเหม่อมองลั่วหลี ดูไปแล้วคล้ายกับเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเลยก็มิปาน ราวกับกำลังเก็งเพื่อให้ได้กำไรจากอะไรบางอย่างอยู่
ลั่วหลีตะลึง: “ประเด็นหลัก? ประเด็นหลักอะไรกัน?”
นางที่เดิมก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความฉลาดเป็นกรด ก็ยังแทบจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดได้ทันกันแล้ว
“สงครามระหว่างนิกายแสงอัคคีและหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นในดาววารีสีชาดที่ดำเนินมานานกว่าพันเกือบหมื่นปี ในระหว่างนี้ยังได้เคี่ยวกรำจนเกิดเป็นความแค้นที่ฝังรากลึกเอาไว้แล้ว ศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ได้ตายด้วยเงื้อมมือของผู้ทรงพลังจากนิกายแสงอัคคีไปนับไม่ถ้วน บัดนี้ผู้นำผู้อาวุโสซื่อฮั่วนิกายแสงอัคคีก็ได้ถูกข้าฆ่าตายลงแล้ว แท้จริงแล้วผู้อาวุโสกลับไม่ได้มีความคิดอะไรเลยอย่างงั้นหรือ?” หยางไคฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยกำลังมองไปที่ลั่วหลี โดยที่ค่อยๆ ที่จะกล่าวโน้มน้าวออกมาว่า : “ยกตัวอย่างเช่น การขุดรากถอนโคน ก็นับเป็นความคิดที่ดีต่อทายาทรุ่นหลังมิใช่หรอกหรือ?”
ลั่วหลีถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป เหม่อมองไปที่หยางไคด้วยอาการแตกตื่น : “จอมยุทธน้อยช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก”
“เหอะ หากคนไม่อำมหิต ก็ย่อมยืนได้ไม่มั่นคงอยู่แล้ว” หยางไคยิ้มอย่างเย็นชาไม่หยุดไม่หย่อน
ดวงตาคู่งามของลั่วหลีพลันเปล่งเป็นประกายเจิดจ้าสาดมองออกมา : “หากเป็นเช่นนี้แล้วย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีกันทุกฝ่ายอยู่แล้ว จนแม้แต่ข้าเองก็คงจะดูแคลนจอมยุทธน้อยเกินไปแล้ว”
“เช่นนั้นความหมายของท่านผู้อาวุโสก็คือ?”
“มิขอปิดบังจอมยุทธน้อย ข้าเองก็มีความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ซื่อฮั่วเมื่อสิ้นลม นิกายแสงอัคคีก็เหมือนกับมังกรไร้เศียร นี่ย่อมนับเป็นโอกาสดีที่จะได้สะสางความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้วอย่างแน่นอน แต่ว่า……ข้าแม้จะมีความคิดแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง”
หยางไคคล้ายกับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว: “ผู้อาวุโสใช่กำลังหมายถึงอาการบอบช้ำภายในและรวมไปจนถึงอันตรายที่แฝงเร้นเอาไว้อยู่ภายในของตัวท่านเองอย่างงั้นหรือ?”
“จอมยุทธน้อยช่างมีสายตาที่คมกล้ายิ่งนัก” ลั่วหลีกลับหาได้ยอมรับไม่
นางที่ลอบสังเกตอาการบาดเจ็บภายในร่างกายของนาง นั่นก็คือความผิดพลาดที่เกิดจากการบ่มเพาะเมื่อครั้งก่อน รวมไปจนถึงอันตรายที่ย้อนตีสู่จิตใจ จึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้นางตัดสินใจที่จะยอมปล่อยวางต่อซูเหยียนไป ที่แย่ไปกว่านั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ลั่วหลีไม่เคลื่อนพลมาโดยตลอด
มิเช่นนั้นหากเป็นไปตามความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ซื่อฮั่วที่ได้ถูกสังหารมาตั้งแต่วันแรกในวันนั้น ลั่วหลีเองก็ได้คล้ายกับเป็นดังภูเขาไฟที่คุยจะปะทุเดินทางไปก็มิปาน พร้อมกับขุดรากถอนโค่นนิกายแสงอัคคี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ด้วยพลังฝีมืออย่างผู้อาวุโส แท้จริงแล้วก็ยังไม่อาจทำอะไรนิกายแสงอัคคีได้?” หยางไคถามขึ้นด้วยความสงสัย
“จอมยุทธน้อยยิ้มแล้วกล่าว” ลั่วหลีสลายรอยยิ้มพลางส่ายหน้า : “หากว่าข้ายังอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถที่จะทำลายค่ายกลภูผาคุ้มภัยของนิกายแสงอัคคีได้ แต่หากมองจากสถานการณ์ในขณะนี้……คงจะเป็นไปได้ยากแล้ว บัดนี้นิกายแสงอัคคีถึงแม้จะไม่มีผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันมาประจำการ แต่ว่าภายในสำนักก็ยังคงมียอดฝีมือขอบเขตหวนกำเนิดขั้นสูงสุดอยู่กันไม่น้อยเช่นเดียวกัน เมื่อผนวกเข้ากับค่ายกลภูผาคุ้มภัย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะยังรั้งข้าเอาไว้ได้อยู่เหมือนกัน”
“แต่กลับเป็นข้าเองที่ดูแคลนนิกายแสงอัคคีมากจนเกินไปแล้ว!” หยางไคลูบไปที่คาง พร้อมกับเผยสีหน้าสงสัยขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่สืบทอดมานานกว่าหมื่นปี จะอย่างไรก็ยังมีความมั่นคงอยู่บ้างเหมือนกัน
mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เท่านั้นที่มีตอนใหม่ๆครับ
“กระนั้น……หากว่าข้าสามารถทำให้ผู้อาวุโสฟื้นคืนสู่สภาวะสมบูรณ์จากอาการบาดเจ็บที่ซ่อนเร้นและอันตรายที่ย้อนทวน แล้วหากรวมมือเข้ากับข้าขึ้นมาแล้วละก็?” ทันใดนั้นหยางไคก็ได้ยิ้มขึ้นมาด้วยความประหลาดใจออกมา
“อะไรกัน?” ลั่วหลีตะลึงลาน ขมวดคิ้วอันดกดำ: “เจ้าบอกว่าสามารถทำให้ข้ากลับคืนสู่สภาวะที่สมบูรณ์อย่างงั้นหรือ?”
“มิผิด!”
“แต่ว่าด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของข้า โอสถยาโดยทั่วไปย่อมไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่เพียงโอสถปราณในระดับกำเนิดราชันเท่านั้น จึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องมีโอสถยาในระดับกำเนิดราชันที่มั่นคงในไม่กี่ชนิดเท่านั้น!” กล่าวไป ลั่วหลีเองก็คล้ายกับตัดสินใจอะไรได้ พร้อมกับทอสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง พร้อมกับโพล่งออกมาเสียงดังก้อง : “แท้จริงแล้วจอมยุทธน้อยยังเป็นถึงผู้หลอมโอสถระดับกำเนิดราชันด้วยอย่างงั้นหรือ?”
หยางไคยิ้มแต่ไม่กล่าววาจา เห็นได้ชัดว่ายากจะคาดเดาลึกซึ้ง: “จะใช่หรือไม่ใช่นั้น ขอโปรดให้ผู้อาวุโสตั้งหน้าตั้งตารอคอยเอาไว้ก็พอแล้ว อือ ข้ายังจำเป็นต้องมีวัตถุดิบบางส่วน ด้วยอำนาจของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ย่อมสมควรที่จะหามาได้อยู่แล้ว ขอผู้อาวุโสช่วยรับฟังเอาไว้ด้วยแล้ว……”
เมื่อหยางไคได้แจ้งรายชื่อวัตถุดิบออกมายาวเหยียด โดยที่หาได้มีวัตถุดิบใดที่มิใช่อยู่ในระดับกำเนิดราชันไม่
ลั่วหลีถึงกับตะลึงลานไปอย่างสิ้นเชิง ทางหนึ่งก็จดจำจนขึ้นใจ อีกทางก็ได้ใช้แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังหันไปมองหยางไค แม้กระทั่งร่างกายก็ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมาได้ วัตถุดิบแต่ละชนิดล้วนแต่เป็นตัวที่แสดงให้เห็นว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้ยังคงสมกับที่เป็นผู้หลอมโอสถระดับกำเนิดราชันได้อย่างแท้จริง หรือไม่แน่ว่า เบื้องหลังของเขายังอาจที่จะมีผู้หลอมโอสถระดับกำเนิดราชันก็เป็นได้ มิเช่นนั้นแล้วละก็ เขาจะต้องการยาสมุนไพรไปมากมายเช่นนั้นไปทำไมกัน?
ในใจลั่วหลีพลันเกิดการถาโถมดั่งคลื่นที่ซัดถาโถม ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่อาจที่จะสงบลงได้ ผู้หลอมโอสถระดับกำเนิดราชัน ภายในใจกลางทั่วทั้งแดนดาราล้วนแต่ล้ำค่าอย่างสุดแสน ที่มีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่มีคนใดที่ไม่มีการดำรงอยู่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแม้สักคนเดียวไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันขั้นสูงสุดอย่างขั้นที่สามเมื่อพบพานกับพวกเขา ก็ยังต้องให้เคารพเป็นพิเศษ ไม่อาจที่จะไม่ละเลยแม้แต่น้อยได้
พวกเขาย่อมถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นสูงของทั่วทั้งแดนดาราได้อย่างแท้จริง
ถ้าหากบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้เป็นผู้หลอมโอสถระดับกำเนิดราชันจริงแล้วละก็ เช่นนั้นในครั้งนี้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ช่างเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่กันแล้ว
เมื่อคิดจนถึงตรงนี้ เบื้องหน้าสายตาลั่วหลีคล้ายกับมืดวูบขึ้นทันควัน บังเกิดอาการวิงเวียนขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะมีแนวทางการบ่มเพาะที่ไม่เลว แต่ด้วยการที่ต้องมาสะกดอาการแตกตื่นตกใจ เพื่อคอยประคองสติเอาไว้
“วัตถุดิบเหล่านี้ สมควรหาได้ไม่ยากใช่หรือไม่?” หยางไคหันไปมองลั่วหลี
“ข้าจะให้คนไปตรวจสอบที่ห้องคลังเก็บของทันที วัตถุดิบทั้งหมดตามที่จอมยุทธน้อยบอกมา สมควรที่จะมีอยู่ในคลังเก็บของทั้งหมด!”
“เป็นเช่นนี้ได้ก็ดี อือ ข้ายังต้องการขอใช้ห้องลับสักห้องด้วย”
“ข้าจะให้คนไปจัดเตรียมเอาไว้ให้เอง!” ลั่วหลีพยักหน้าขึ้นทันที
“เอาล่ะ หลังผ่านไปได้สามวัน ข้าจะมาเยือนที่แห่งนี้อีก ขอผู้อาวุโสติดตามรอรับชมเถอะ!” หยางไคลุกขึ้นยืนแล้ว
“จอมยุทธ์หยาง……” ลั่วหลีเองก็ทำได้แต่เพียงลุกขึ้นยืนแล้วเรียกขาน
“ผู้อาวุโสยังมีเรื่องอันใดงั้นหรือ?”
“ข้าเพียงคิดที่จะเรียนถามว่า เจ้าใช่มีเจตนาที่จะลบล้างสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างนิกายแสงอัคคีแล้ว นั่นเป็นเพราะเกิดมาจากสาเหตุใดกัน! ถึงแม้จะบอกว่าเมื่อในวันนั้นเว่ยเฟิงได้เคยสร้างความอัปยศให้แก่ซูเหยียน แต่เขาเองก็ได้สิ้นใจลงแล้ว นอกเสียจากนี้แล้ว นิกายแสงอัคคียังคล้ายกับหาได้เคยไปรังควานจอมยุทธน้อยมิใช่หรอกหรือ? ถึงอย่างไรเจ้าเองก็คงจะไม่ช่วยเหลือหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นพวกเรามาทำเรื่องเหล่านี้แน่นอนอยู่แล้ว”
“ผู้ใดบอกกันว่าพวกเขาหาได้เคยมารังควานข้ามาก่อน?” หยางไคเพียงส่งเสียงสบถดังชิชะ : “พวกเขาได้เคยรังควานข้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่า นี่ย่อมมิใช่สาเหตุหลัก ที่ข้าคิดจะต่อกรกับนิกายแสงอัคคี ก็เป็นเพราะข้าต้องการเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีของพวกเขา!”
ลั่วหลีถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “จอมยุทธน้อยนับว่ามีความละโมบอยู่พอตัวเลยทีเดียว! เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้นถึงอย่างไรก็ถือเป็นสิ่งที่มาจากบรรพชนผู้ก่อตั้งนกายแสงอัคคี ลือกันว่าสามารถเชื่อมปราณ มีพลังอำนาจอันลี้ลับ ข้าเองจึงหาได้อาจหาญที่จะไปล่วงเกินนิกายแสงอัคคี และความกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น!”
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นได้ก็ยิ่งดี หากสามารถทำให้ผู้อาวุโสหวาดเกรงได้เช่นนี้ ดูเหมือนว่าเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนี้จะเลวร้ายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จนข้าเองก็คงต้องเอามาให้ได้แล้ว!” หยางไคเองก็ได้ลอบหัวเราะออกมาเสียงดังก้องกังวาน
“เจ้า……” ลั่วหลีหันไปมองหยางไคด้วยอาการตะลึงลาน ในใจพลันครุ่นคิดว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือยังไงกัน แม้กระทั่งตัวเองก็ยังหวาดกลัวต่อเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีอย่างไร้ที่เปรียบ แต่เขาถึงกลับหาได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วได้วางแผนอะไรเอาไว้กันแน่
หวังว่าเขาเองก็คงจะไม่ใช่คนที่มีเป้าหมายที่สูงส่งแต่มีความสามารถที่น้อยนิดกันหรอกนะ
ในใจลั่วหลีจึงได้กำลังคำอธิษฐานอยู่
ในระหว่างที่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงกลับกลาย ลั่วหลีราวกับได้ตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งอะไรบางอย่างไป แล้วจึงค่อยเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า: “จอมยุทธ์หยาง หากว่ามีโอกาสแล้วละก็ พอจะสามารถให้ซูเหยียนมาพบกับข้าสักคราได้หรือไม่? ข้ายังมีเรื่องที่ใคร่บอกต่อนางอยู่เล็กน้อย”
หยางไคได้หันไปมองนางอย่างเคร่งขรึม เมื่อผ่านไปได้สักพัก จึงค่อยได้พยักหน้าแล้วตอบ : “ได้ คืนนี้ข้าจะให้ซูเหยียนมาพบกับท่าน ยังคงต้องขอลาก่อนแล้ว”
“ขอบคุณจอมยุทธน้อยมากแล้ว” ลั่วหลีพยักหน้าเล็กน้อย
หยางไคได้เดินลงมาจากด้านบนยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็ง เมื่อชิงหย่าได้พบเห็นเขาลงมาจากยอดเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา
และก็เห็นได้ชัดว่าปิงหลงเองก็ได้รับเรียกตัวจากลั่วหลีแล้ว จึงได้เข้ามาในทันที พร้อมทั้งเอ่ยปากกล่าวว่า: “ขอเชิญคุณชายหยางติดตามข้ามาด้วย”
“ได้เวลาทำงานแล้ว!”
ผ่านไปได้ไม่นานนัก หยางไคก็ได้ถูกพามาจนถึงบนอาคารประหลาดสูงหลายชั้น และที่ด้านหน้าของเขาก็ได้ปรากฏวัตถุดิบกองกันอยู่ที่ด้านหน้า อีกทั้งยังได้ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ครึ่งชั่วยามในการรวบรวมมาได้จนครบ โดยที่มีปิงหลงมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง
.
.
.