ตอนที่แล้วตอนที่ 1657 ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1659 สนทนาปราศรัยประเด็นหลัก

ตอนที่ 1658 กลับคืนสู่เกาะสุดขั่วเยือกเย็น


ตอนที่ 1658 กลับคืนสู่เกาะสุดขั่วเยือกเย็น

และการได้พบหน้าญาติมิตร ที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงและความจริงใจได้

หยางไคที่เกิดความอบอุ่นขึ้นจับใจ

ทันใดนั้นเขาก็ได้พบว่า การที่ตัวเองทุ่มเทพลังใจทั้งหมดเพื่อกลับมายังทวีปถ่งซ๋อน กลับถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดกันแล้ว

ต้นไม้เขียวขจีย่อมต้องมีราก สายธารย่อมต้องมีต้นน้ำ คนของทวีปถ่งซ๋วนเหล่านี้ ยิ่งเป็นด้วยรากฐานของหยางไค

หากไม่มีรากก็ไม่มีต้นไม้ หากไม่มีต้นน้ำก็ไม่มีสายธารที่ยั้งยืน

ภายในดาวลึกลับ เพื่อเป็นการอวยพรในการกลับมาของซูเหยียน มนุษย์มารปีศาจสามเผ่าจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ บรรยากาศคึกคักอย่างถึงที่สุด

ระหว่างงานเลี้ยงยังได้มีการแลกจอกชนจอกกัน ระหว่างการสังสรรค์ ไม่ว่าจะมีการบ่มเพาะที่สูงหรือต่ำ ไม่ว่าจะอยู่ในอายุเยาว์มากน้อยแค่ไหน ล้วนแต่สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้

หยางไคเองยังได้ถูกผู้ทรงพลังจากทั้งสามเผ่าเข้าไปร่วมวงด้วยจนหมอบราบ เมื่อได้สติยังเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้ามิเลือนหาย

จากนั้น หยางไคยังได้อยู่ร่วมกับบิดามารดาอีกสองวัน ตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู แล้วจึงค่อยได้ออกไปจากดาวลึกลับไปอย่างเงียบงัน

ในช่วงเวลาก่อนที่จะจากไป หยางไคยังได้มอบเคล็ดแปลงมารถ่ายทอดให้แก่ซูเหยียน

ซูเหยียนในตอนนี้ที่มีพลังต้นกำเนิดจากวิหคเหมันต์ ย่อมสามารถบ่มเพาะเคล็ดแปลงมารได้เช่นเดียวกัน เริ่มต้นสร้างพลังต้นกำเนิดภายในร่างกายได้ จนทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้ทิ้ง

เตียงหยกวารีเหมันต์เอาไว้ด้วย

สมบัติชิ้นนี้แต่เดิมก็ใช้มาเพื่อปลดปล่อยบรรจุพลังบริสุทธิ์สุริยันเที่ยงแท้เอาไว้อยู่แล้ว บัดนี้แม้จะตกไปอยู่ในมือของหยางไคเองก็ไม่มีประโยชน์ใช้สอยอะไร แต่ในมุมมองของซูเหยียน กลับถือได้ว่าเป็นสมบัติชั้นยอดเลยทีเดียว

อีกทั้งยังเป็นสมบัติที่ช่วยสนับสนุนต่อการบ่มเพาะได้อย่างถึงขีดสุด

เมื่อมีเตียงหยกวารีเหมันต์ ความเร็วในการบ่มเพาะของซูเหยียนเองอย่างน้อยก็จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามเท่าได้

เมื่อได้จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย หยางไคก็ได้มุ่งหน้าไปยังทางด้านของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกันอีกครั้ง

เกาะสุดขั่วเยือกเย็น ที่อยู่ในความสงบสุขไปทุกแห่งหน

เหล่าลูกศิษย์ราวกับว่าได้ผ่านวันเวลาน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากควันหลงของการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็ได้ค่อยๆ ฟื้นคืนขึ้นมา ที่ควรเข้าสู่การบ่มเพาะก็ได้บ่มเพาะ ที่ควรเก็บตัวก็ได้เข้าสู่การเก็บตัว ใช้ชีวิตกันอย่างเงียบสงบเรียบง่าย

ที่ด้านนอกเกาะ เบื้องล่างยอดเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ศิษย์สตรีที่สวมไว้ด้วยชุดกระโปรงสีขาวคลุมทั้งร่างกำลังปัดกวาดเส้นทางน้ำแข็งอยู่ ทันใดนั้นก็ได้เกิดเป็นสายพายุคลั่งหอบผ่านข้างกายของตัวเองเข้ามา ศิษย์หญิงผู้นั้นเองก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้น จนเกิดเป็นความรู้สึกที่เย็นยะเยือกแล่นผ่านเข้ามาจนถึงจิตใจ

นางได้ชะเง้อคอมองขึ้นไป ตรวจตราอยู่รอบบริเวณ แต่กลับหาได้พบเห็นสิ่งใดไม่

แต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วกวาดลานกว้างต่อไป

ที่เบื้องหน้ายอดเขาน้ำแข็งที่ไม่ห่างไกลจากศิษย์สตรีผู้นี้มากนัก ได้มีเงาร่างสายหนึ่งประกบขึ้นมาด้วยความพิศวง

เขามีท่าร่างเยื้องย่างไม่หยุด มุ่งหน้าไปยังเรือนพำนักน้ำแข็งแห่งหนึ่งไป ภายใต้ช่วงขณะที่ไม่นานนัก ก็ได้มาถึงยังเบื้องหน้าเรือนน้ำแข็ง เหม่อมองไปยังค่ายกลป้องกันที่ขวางกั้นอยู่บริเวณทางด้านหน้า ฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยื่นมือไปยังจุดที่เป็นช่องว่างอยู่ทางด้านหน้า

ทันใดนั้นก็ได้เกิดคลื่นพัดเข้ามาหนึ่งชั้น ทลายเขตแดนป้องกัน แล้วเขาจึงค่อยเดินเข้าไปในทันที

ภายในเรือนพำนักน้ำแข็ง ชิงหย่าที่กำลังนั่งสมาธิอยู่กับพื้น ใช้มือเกาะเอาไว้ที่ข้างแก้ม ใช้สายตาคู่เล็กหันไปมองดวงตาคู่ใหญ่ของหุ่นเชิดศิลา

นางคล้ายกับได้เกิดความสนใจต่อหุ่นเชิดศิลาอยู่เหมือนกัน

เมื่อวันก่อนหยางไคและซูเหยียนได้ใช้พลังความสามารถที่น่าแตกตื่นไปทั้งโลกาสังหารสองสุดยอดขอบเขตกำเนิดราชัน หลังเสร็จศึกก็ได้จากไปในทันที แต่กลับหาได้หันกลับมาสนใจนางไม่ ในเวลานี้ ชิงหย่าไม่เพียงแต่จะไม่มีโทสะ พริบตานั้นก็คาดเดาได้ว่าหยางไคและซูเหยียนทั้งสองคนคงจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจที่จะรั้งอยู่ต่อไปได้แม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น หยางไคถึงแม้จะไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือหุ่นเชิดศิลาที่ประหลาดพิกลเช่นนี้เอาไว้คอยดูแลตัวเองอยู่ แน่นอนว่าชิงหย่าเองก็ย่อมไม่มีกล่าวอะไรไม่ดีออกมาอย่างแน่นอน

นางเองก็ทราบดีว่า หยางไคและซูเหยียนจะต้องกลับมาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกครั้งแน่นอน และพาตัวนางเองจากไปด้วย

หลายวันมานี้ ชิงหย่าได้คอยเก็บตัวอยู่ภายในสำนักมาตลอดโดยที่ไม่ออกไกปไหน ภายในเรือนพำนักยังได้คอยชะเง้อคอสอดส่องไปม ในยามที่กำลังเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ ยิ่งบัดนี้ได้อยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุด ก็ได้หันไปสบตามองกับหุ่นเชิดศิลา

นางก็ได้พบว่า หุ่นเชิดศิลาถึงแม้จะมีสติสัมปชัญญะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าตัวเองจะสนทนาอะไรกับมัน มันก็ไม่ตอบรับตัวเองไม่ เพียงแต่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายตัวเองไม่ห่างแม้สักเพียงครึ่งชุ่น

“เจ้าหนู เจ้าว่าหยางไคกับซูเหยียนจะมากันเมื่อไหร่ล่ะ” ชิงหย่าผ่อนลมหายใจออกมา ครั้งหนึ่ง นางที่ได้เคยยึดถือหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเป็นดั่งเกียรติสูงสุด แต่หลังจากที่ประสบพบเจอกับเรื่องเมื่อครั้งก่อน นาก็แทบตั้งต่อรอให้ถึงวันที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้แทบไม่ไหวกันอีกแล้ว ออกไปจากสำนักที่ทำให้นางที่ทั้งเจ็บช้ำใจและต้องประสบกับอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตแห่งนี้ไป

“เอ๊ะ มัวแต่ทำหน้าทำตาโง่งมเช่นนี้ เจ้าน่าจะไม่รู้ว่าข้าพูดอะไรแล้วกระมั่ง” ชิงหย่ายื่นมือดีดเข้าไปที่หน้าผากของหุ่นเชิดศิลา

นิ้วชี้พลันเกิดเป็นความเจ็บปวดแล่นผ่าน หุ่นเชิดศิลากลับแค่เพียงกะพริบตาเท่านั้น พร้อมด้วยอาการแตกตื่นตกใจ

ชิงหย่าถูกท่าทางของมันหยอกเย้าจนเบิกบาน จนถึงกับอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมาอย่างหยาดเยิ้ม

เรื่องนี้จะไม่จบนะ ช่วยผู้แปลหน่อยนะ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ

“อารมณ์ดีไม่เลวเลยนะ” ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียงดังออกมา

ชิงหย่าพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ลมปราณศักดิ์สิทธิ์จากทั่วร่างได้เกิดการสะท้อนไหลเวียนขึ้นไปตามกระแส ทว่ารอจนกระทั่งตั้งสติกลับคืนว่าผู้ที่มานั้นเป็นผู้ใดแล้ว วินาทีนั้นก็ได้ทอสีหน้าหันไปมองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ

บุรุษผู้หนึ่งที่กำลังหัวเราะยืนอยู่ในที่แห่งนั้น อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่เฉิดฉายสว่างไสว ราวกับเป็นดั่งดวงอาทิตย์ สาดกระจายไปทั่วทั้งท่ามกลางเรือนพำนักน้ำแข็งจนเกิดเป็นความอบอุ่นแทนที่ความเย็น

ดวงตาน้อยสีดำคู่นั้นของหุ่นเชิดศิลาพลันสาดเป็นประกายแตกตื่นตก แทบจะใช้ทั้งมือทั้งเท้าคลานไปจนถึงข้างกายบุรุษหนุ่ม ยื่นมือที่มีนิ้วมืออันกำยำทั้งห้าชี้ไปที่ตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่ชิงหย่า เกิดเป็นท่าทางที่คิดจะกล่าวอะไรแต่ก็กล่าวออกมาไม่ได้เสียอย่างนั้น

“ทราบแล้ว ความดีความชอบที่เจ้าคอยปกป้อง ย่อมต้องได้รับคำชื่นชมอย่างดีแน่นอน!” บุรุษหนุ่มก็ได้ลูบไปที่หัวของหุ่นเชิดศิลา

ดวงตาคู่น้อยของหุ่นเชิดศิลาได้หรี่ลงเล็ก เห็นได้ชัดว่ากำลังดื่มด่ำกับอะไรบางอย่างอยู่

“หยางไค!” ชิงหย่าหลุดร้องโพล่งออกมา พร้อมทั้งทอใบหน้าแดงซ่านไปทั้งแก้ม

ดูเหมือนว่าคำพูดที่เมื่อครู่นี้ที่ตนเองบ่นพึมพำกับตัวเอง จะต้องถูกเขาได้ยินเข้ากันแล้ว นี่ได้ทำให้ชิงหย่าเกิดความเอียงอายกันอยู่บ้าง

ทว่าไม่นานนัก ชิงหย่าก็ได้ปรับสีหน้าจนดีขึ้นมา พร้อมกับถามไปด้วยความกังวล: “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”

หยางไคส่ายหน้า: “หากว่าเกิดเรื่องก็คงจะไม่ปรากฏตัวที่นี่แล้วล่ะ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เอ๊ะ……ซูเหยียนเล่า?” ชิงหย่าถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไป นางกลับหาได้พบเห็นเงาของซูเหยียนไม่ จึงได้คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับนางขึ้นก็เป็นได้

“ซูเหยียนได้ไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งแล้ว” หยางไคก็ได้แสดงท่าทางว่าอย่าได้ร้อนใจไปแก่นาง : “ในครั้งนี้ที่ข้ามา ก็เพื่อที่จะพาเจ้าไปด้วย เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?”

ชิงหย่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม : “เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!” หยางไคขยับศีรษะเอียงไปอีกทางเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลันต้องขมวดคิ้วขึ้นมา ใช้มือลูบไปที่ปลายคาง กล่าวออกมาด้วยอาการคล้ายยิ้มมิยิ้ม : “อือ ถูกพบเห็นเข้าแล้ว”

ในเวลานี้ ก็ได้มีเสียงสดใสดังสะท้อนอยู่ภายในเรือนพำนักน้ำแข็ง : “ในเมื่อจอมยุทธ์หยางก็ได้มาแล้ว เหตุไฉนถึงต้องรีบร้อนจากไปด้วยล่ะ? หากว่ามีเวลาแล้วละก็ มิสู้มานั่งสนทนากันบทยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งเป็นอย่างไร?”

“ผู้นำผู้อาวุโส!” ชิงหย่าถึงกับหน้าถอดสี โพล่งออกมาด้วยความแตกตื่นตกใจ นางเองก็ได้จดจำน้ำเสียงนี้ได้ว่าแท้จริงแล้วก็คือผู้นำผู้อาวุโสลั่วหลีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น

หยางไคเพียงปรายตาให้แก่นางเพื่อเป็นการบอกว่าให้วางใจได้เลย จากนั้นก็ได้หันไปมองยังจุดที่เป็นความว่างเปล่า ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วเปล่งเสียงดังตอบกลับไปว่า : “คำเชิญชวนของผู้อาวุโส ผู้น้อยหากปฏิเสธก็คงจะเสียมารยาทกันแล้ว!”

“เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่บนยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็ง จะต้อนรับขับสู้ให้ดีที่สุดเอง!” เสียงของลั่วหลีได้สะท้อนดังกลับมา จิตสัมผัสท่ามกลางมวลอากาศสายนั้นก็พลันมลายหายไปโดยพลัน

“ไปเถอะ!” หยางไคได้หันไปกวักมือให้แก่ชิงหย่า

“หยางไค……” ใบหน้าของชิงหย่าถึงกับเต็มไปด้วยความกังวล

“วางใจเถอะ นางไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างไร” หยางไคเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย

เมื่อได้ฟังเขาพูดมาเช่นนี้ ชิงหย่าจึงค่อยวางใจขึ้นมาได้ในที่สุด พร้อมทั้งรีบติดตามอยู่ทางด้านหลังของหยางไค แล้วมุ่งหน้าเดินทางไปยังทางด้านนอก

จนกระทั่งมาถึงด้านหน้าเรือนพำนักน้ำแข็ง ชิงหย่าเอบก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางเองก็ได้พบว่าที่ด้านหน้าเรือนพำนักน้ำแข็งถึงกับมีคนนับสิบคนยืนกันอยู่แล้ว รวมไปจนถึงท่านจ้าวหุบเขา ต่อมาก็คือผู้อาวุโสสูงสุด ไม่ทราบว่าได้มารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับกำลังรอคอยหยางไคกันอยู่แล้วก็มิปาน

เมื่อได้พบเห็นหยางไคปรากฏตัว สีหน้าอาการของทุกคนล้วนแต่แทบจะอยู่กันไม่สุข การที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมไม่ถือเป็นเรื่องที่แปลกแต่อย่างไร

แต่กลับเป็นหยางไคที่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเดินผ่านเข้าไปเช่นนั้น

“คุณชายหยาง……” ปิงหลงหันไปพยักหน้าให้แก่หยางไคเล็กน้อย ซึ่งเป็นเหมือนกับการกล่าวทักทาย กระนั้นนางกลับมีการเรื่องขานต่อหยางไคที่แปรเปลี่ยนไปแล้ว ก็นางจะทราบได้ว่าได้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของนางครั้งใหญ่ศึกเมื่อครั้งก่อน

“ผู้อาวุโสปิงหลง!” หยางไคผสานมิคำนับ

“มิกล้ารับ” ปิงหลงรีบโบกมือออกปัด : “หากว่าคุณชายหยางมิรังเกียจ ก็เรียกข้าว่าปิงหลงก็เพียงพอแล้ว”

นี่ทำให้เห็นได้ว่า เห็นชัดว่าปิงหลงเองก็ยอมอ่อนให้มากแล้ว ก่อนหน้าที่นางจะมายังที่แห่งนี้ ยังเกรงว่าหยางไคจะไม่เห็นแก่หน้านาง หรือไม่ก็อาจจะถูกกล่าววาจาเสียมารยาทต่อนางได้ เดิมทีก็ได้มีการเตรียมตัวเตรียมตัวที่จะทนต่อเรื่องเช่นนี้มาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหยางไคจะเป็นมิตรถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีท่าทีที่อ่อนโอน กลับกลายเป็นตัวเองที่ใช้จิตใจของผู้ต่ำต้อยคิดแทนผู้เป็นราชันกันแล้ว

ถึงกับอดไม่ได้ที่จะเกิดความละอายใจขึ้นมา

ดูไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ในใจปิงหลงเองก็คล้ายกับได้ยกหินออกจากอกทิ้งไป

“เช่นนั้นก็เชิญท่านจ้าวหุบเขานำทางด้วยเถอะ” หยางไคพยักหน้าให้สัญญาณ

“เชิญทางด้านนี้!” ปิงหลงผายมือออกผ่านทางด้านข้าง เพื่อเป็นการเปิดทางให้

หยางไคจึงค่อยได้ก้าวออกไปยังทางด้านหน้า

ในฝูงชน สีหน้าของหรานอวิ่นถิ่งคล้ายกับเกิดความเปลี่ยนแปลงกลับกลาย จนท้ายที่สุดก็ยังคงอดไม่ได้ จนเอ่ยขึ้นและกล่าวว่า : “ซูเหยียนเล่า? นางไปที่แห่งใดแล้ว? แล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง?”

หยางไคหยุดเดิน แล้วหันกลับมา หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งด้วยแววตาที่เฉยชา

จิตใจของผู้อาวุโสทั้งสิบกว่าท่านพลันเต้นตุ้มตุ้มต่อมต่อม แม้กระทั่งปิงหลงเองก็ยังมีสีหน้าร้อนรน พร้อมกับปรายตาและขยิบตาให้แก่หรานอวิ่นถิ่งไม่ขาดสาย

หรานอวิ่นถิ่งกลับทำเป็นเอาหูไปนาเอานาไปไร่ และหันไปสบตามองกับหยางไค ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าว: “ข้าที่เป็นอาจารย์คงจะดูไม่เหมาะสมกันแล้ว แต่ว่าตอนนี้ข้าก็แค่เพียงต้องการทราบว่าซูเหยียนปลอดภัยแล้วหรือไม่ก็เท่านั้น”

“ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องเป็นห่วงไป!” หยางไคตอบไปอย่างเฉยชา

“ปลอดภัยแล้วก็ดี!” หรานอวิ่นถิ่งจึงค่อยผ่อนลมหายใจ

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ซูเหยียนและหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” หยางไคกล่าวจบ จึงค่อยได้มุ่งหน้าเดินหน้าต่อไป

ยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งถือเป็นดั่งยอดเขาน้ำแข็งที่เป็นศูนย์กลางของเกาะสุดขั่วเยือกเย็น มันไม่เพียงแต่จะใหญ่โตที่สุด อีกทั้งยังเป็นยอดเขาน้ำแข็งที่สูงตระหง่านที่สุด อีกทั้งยังมีลมปราณฟ้าดินที่เข้มข้นที่สุด ผู้นำผู้อาวุโสลั่วหลีของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ยังได้คอยบ่มเพาะอยู่บนยอดเขาน้ำแข็งแห่งนี้ด้วย

จากที่เลื่องลือมา บนยอดเขาน้ำแข็งจะมีสระน้ำเย็นนิรันดร์อยู่แห่งหนึ่ง

ยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งก็ยอดเขาน้ำแข็งที่อยู่บริเวณใจกลางที่สูงที่สุดของเกาะสุดขั่วเยือกเย็น มันไม่แต่เพียงจะสูงที่สุดเท่านั้น ยังถือเป็นยอดเขาน้ำแข็งที่สูงตระหง่านที่สุด แต่กลับอัดแน่นเอาไว้ด้วยลมปราณฟ้าดินอย่างเข้มข้น ในหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งจึงถือเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การบ่มเพาะมากที่สุดแล้ว

ตามคำเล่าลือ บนยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งยังปกคลุมไว้ด้วยน้ำแข็งหมื่นบรรพกาลซ้อนทับไว้ จนเกิดเป็นกระแสไอเย็นแผ่ซ่านออกมาจากศูนย์กลาง ย่อมนับว่าเอื้อประโยชน์ต่อผู้ทรงพลังที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็งได้มากที่สุด

เหล่าผู้คนก็ได้รอคอยอยู่ที่ข้างใต้ของยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็ง ปิงหลงและพวกก็ได้หยุดฝีเท้าลง : “นี่ก็คือ

ยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็งแล้ว ผู้นำผู้อาวุโสกำลังรอต้อนรับอยู่บนยอดเขา เชิญคุณชายหยาง!”

ยังไม่ทันรอให้ผู้นำผู้อาวุโสเสวนาจนจบ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ถูกหวงห้ามมิให้ย่างกรายไปเยือนบนยอดเขาสุดขั่วน้ำแข็ง ปิงหลงและคนอื่นจึงทำได้แต่เพียงรออยู่ทางด้านล่างเท่านั้น

หยางไคพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้หันไปกล่าวต่อชิงหย่าว่า: “เจ้ารอข้าอยู่ในที่แห่งนี้สักครู่”

“ได้” ชิงหย่าพยักหน้าตอบรับ

หยางไคจึงค่อยได้เดินขึ้นไปตามบันไดที่เสมือนถูกสร้างขึ้นมาจากหยกขาวไปทีละขั้น มุ่งหน้าขึ้นไปยังทางด้านบน

จากการเดินทางมาตลอดทาง พลันเกิดเป็นสายลมพายุก่อตัวขึ้น เสริมไว้ด้วยขอบเขตสำนึกเยือกแข็งที่เกิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน มากพอจนสามารถแช่แข็งซื่อทุกอย่างได้

หยางไคกลับหาได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ทางหนึ่งก็ได้ก้าวเท้าเหินออก ทางหนึ่งก็ได้ดื่มด่ำทัศนียภาพที่อยู่รอบบริเวณ

หลังผ่านไปได้หนึ่งก้านธูปดับ หยางไคก็ได้มาถึงบริเวณยอดเขา

เมื่อทอดตามองออกไป ก็สามารถมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ในทุกสารทิศได้ และกลับเรียกได้ว่าเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด แต่กลับหาได้เป็นดั่งวิมานหยกอันงดงามอย่างที่คิดเอาไว้ไม่ เพียงแต่ในตำแหน่งหนึ่งของยอดเขาสูงตระหง่านนั้น กลับมีเพียงเพิงมุ้งหญ้าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหิมะ อีกทั้งยังมีสายลมพัดผ่านมาจากทั้งสี่ด้าน

ผู้นำผู้อาวุโสปิงหลงแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านในเพิงมุ้งหญ้าแห่งนี้ ที่เบื้องหน้าโต๊ะศิลาตัวหนึ่งของนาง ด้านบนโต๊ะยังได้มีกาน้ำชากำลังถูกต้มเอาไว้อยู่หนึ่งชุด พร้อมกับไอร้อนที่เกิดเป็นควันขาวลอยออกมา รอบด้านของเพิงมุ้งหญ้า ราวกับว่ามีพลังงานอะไรบางอย่าง แฝงเร้นเอาไว้ด้วยความเย็นเพื่อป้องกันผู้คนบุกรุกเข้ามา

ในยามที่หยางไคได้เดินมาจนถึงที่แห่งนี้ น้ำชาในกาก็เดือดได้ที่พอดิบพอดี

ลั่วหลีลืมตาขึ้น แล้วหันไปมองหยางไค ฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือออกเพื่อเป็นสัญญาณแล้วกล่าว: “จอมยุทธ์หยางเชิญนั่ง!”

หยางไคกำหมัด: “ผู้เยาว์แม้จะเคารพแต่ก็มิสู้คล้อยตามคำสั่ง!”

ในระหว่างที่สนทนา ก็ได้เดินเข้ามายังภายในเพิงมุ้งหญ้า นั่งสมาธิลงอยู่ที่ด้านตรงกันข้ามของลั่วหลี

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด