ตอนที่ 1657 ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม
ตอนที่ 1657 ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม
เกาะสุดขั่วเยือกเย็น ท่ามกลางตำหนักน้ำแข็ง ในจุดที่เบื้องสูงได้มารวมกันบนเกาะ
ลั่วหลีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นำ ปิงหลงหรานอวิ่นถิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้แยกย้ายยืนสองฟากข้างทาง อีกทั้งยังได้มีผู้อาวุโสกำลังรายงานฟื้นฟูเขตต้องห้ามและวิชาค่ายกลภายในเกาะ
ศึกที่สะเทือนไปทั้งฟ้าดินเมื่อครั้งก่อน คล้ายกับได้ทำให้ค่ายกลต้องห้ามทั่วทั้งเกาะสุดขั่วเยือกเย็นถูกทำลายไปจนสิ้นซาก ในช่วงเวลานี้เหล่าลูกศิษย์ได้เข้าไปซ่อมแซมกันมาโดยตลอด จวบจนถึงวันนี้ จึงค่อยนับว่าเสร็จสิ้นลงได้
ทว่ายอดเขาน้ำแข็งที่เปรียบเสมือนดั่งสัญลักษณ์อันเกรียงไกรมาอย่างช้านานได้พังทลายลงแล้ว แต่ก็ยังดีที่เหล่าลูกศิษย์ได้จากไปกันก่อน จึงไม่ได้เกิดความสูญเสียใด นี่นับว่าเป็นข่าวดีที่หาได้ยากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ลั่วหลีที่คอยหลับตาลงมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อผู้อาวุโสรายงานสถานการณ์กันจนเสร็จ จึงค่อยได้พยักหน้าเล็กน้อย กระนั้นกลับหาได้มีความตั้งใจที่จะเอ่ยปากกล่าวอันใดไม่
ปิงหลงหันไปมองนางวูบ จึงค่อยได้สะบัดหน้าเหม่อมองไปยังคนที่อีกทางด้าน แล้วเอ่ยถามขึ้นมา: “ผู้อาวุโสสิบสาม มีข่าวคราวของคนผู้นั้นหรือไม่?”
ในระหว่างที่เงียบเชียบกัน ผู้อาวุโสสิบสามยวู่เสว่ยฉิงทำแค่เพียงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน: “หาได้ ก่อนหน้านี้ ได้ตามหาเขามาแล้วหนึ่งปี ล้วนแต่ไร้ซึ่งวี่แววใด หากมิใช่เป็นเขาที่เป็นฝ่ายมาพบพวกเราเอง เกรงว่าพวกเราก็คงไม่มีโอกาสที่จะหาเขาได้พบ ในครั้งนี้เขาหาคิดที่จะปกปิดร่องรอยเอาไว้แล้วละก็ พวกเราก็ยังคงไม่อาจทำอะไรได้เช่นเดียวกัน”
“เฮ้อ!” ปิงหลงถอนหายใจออกมา
“ไม่ต้องไปหาเขาแล้ว!” ทันใดนั้นลั่วหลีก็ได้ลืมตาขึ้น กล่าวออกมาอย่างเฉยชา
“ผู้นำผู้อาวุโส……”
“เขาไม่ได้ต้องการที่จะให้พวกเจ้าไปตามหาแล้ว พวกเจ้ายังทำอย่างไรกันได้? อีกทั้ง จากการต่อสู้ที่ประสบผ่านพ้นมา เขาย่อมยังต้องการรักษาอาการบาดเจ็บเอาไว้อีก”
“รักษาอาการบาดเจ็บ?” ปิงหลงและคนอื่นๆ ล้วนแต่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ายังมีความสงสัยกันอยู่บ้าง แต่ทว่าไม่นานนักก็สามารถมีสติกลับคืนมาได้ : “ความหมายของท่านก็คือ……”
“เขาได้ใช้พลังต้องห้ามออกมา ย่อมต้องได้รับการชดใช้บางอย่างอย่างแน่นอน” ลั่วหลีเองก็ได้กล่าวออกมาอย่างเฉยชา
“เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว?” หรานอวิ่นถิ่งสาดดวงตาเป็นประกาย ทางด้านบนยังได้มีสีหน้าขลาดเขลาออกมาเล็กน้อย : “ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเรา……”
วาจายังไม่ทันจะกล่าวจนจบ ทันใดนั้นลั่วหลีก็ได้ใช้แววตาเย็นเยียบมองไปที่นาง หรานอวิ่นถิ่งถึงกับต้องกล้ำกลืนคำพูดกลับไป ไม่แม้แต่จะเปล่งวาจาออกมาแม้สักคำเดียวอีก
“หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราเรืองรองมาจวบจนถึงทุกวันนี้ได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ข้าเองก็มีจิตใจที่คิดจะให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก้าวหน้าขึ้นต่อไปอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ก็ยังต้องคอยรักษารากฐานของบรรพชนเอาไว้ด้วย พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?” ลั่วหลีได้ใช้แววตาคู่งามมองไปโดยรอบ แฝงเร้นเอาไว้ด้วยพลังอำนาจไร้ขีดจำกัด
ในใจผู้คนพลันเกิดเป็นอาการแตกตื่นตกใจ หากฟังจากความหมายในวาจาของลั่วหลี ก็ถึงกับต้องรีบยันกายลุกขึ้นเพื่อกล่าวให้ความเคารพ : “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจแล้วก็ดี เข้าใจแล้วก็ดี อย่าได้ไปชักนำเภทภัยมาสู่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอีกแล้ว”
หรานอวิ่นถิ่งถึงกับทอใบหน้าซีดเผือด กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ : “ศิษย์ทราบความผิดแล้ว!”
ลั่วหลีพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้หันไปแสดงท่าทีที่พึงพอใจออกมา ทันใดนั้นก็ได้ฉีกยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง : “แล้วก็ให้คนที่ออกไปแยกย้ายตามหาเขากลับมาเถอะ ถึงเวลาเขาก็จะกลับมาอีกเอง”
“เขาจะกลับมาอย่างงั้นหรือ?” ถึงกับมีผู้อาวุโสบางส่วนที่ถึงกับทอสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ศึกในวันนั้นที่หยางไคได้ฆ่าหลัวไห่ลง ย่อมทำให้พวกนางประหวั่นพรั่นพรึงกันมิคลาย เพียงนึกถึงว่าคนผู้นี้มีโอกาสจะกลับมาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็น วินาทีนั้นก็บังเกิดจิตกังวลใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ปิงหลงราวกับว่าได้ทราบอะไรบางอย่าง จึงได้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย : “ยังมีคนอยู่อีกคนที่ยังคงอยู่ในเกาะสุดขั่วเยือกเย็น เขาย่อมสมควรที่จะกลับมาอย่างแน่นอน”
หรานอวิ่นถิ่งครุ่นคิด จึงได้ตอบตามที่คิดเอาไว้ : “ที่ท่านจ้าวหุบเขากล่าวถึงใช่ศิษย์ที่มีนามว่าชิงหย่าใช่หรือไม่?”
“อือ ชิงหย่าและซูเหยียนเป็นผู้ที่มากราบเข้าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นพร้อมกัน ระหว่างพวกนางยังนับว่ามีความแน่นแฟ้นกันอยู่ในระดับที่แน่นอน”
“เช่นนั้นจะให้เรียกตัวชิงหย่ามาพูดถึงเรื่องนี้กันหรือไม่?” หรานอวิ่นถิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา
“เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ไปหานางมาแล้ว” ปิงหลงยิ้มอย่างขมขื่น
mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เท่านั้นที่มีตอนใหม่ๆครับ
“อ๋อ? เช่นนั้นมีผลลัพธ์อย่างไรกันบ้าง? นางทราบหรือไม่ว่าหยางไคและซูเหยียนไปยังที่แห่งใด? แล้วพอจะทราบชัดแจ้งไหมว่าหยางไครู้สึกอย่างไรต่อหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา?” หรานอวิ่นถิ่งไล่ถาม
“ข้าถึงแม้จะเสาะหานางมาแล้ว แต่ก็ยังหาได้สามารถพบหน้านางไม่” บนใบหน้าของปิงหลงพลันปรากฏความกระอักกระอ่วนขึ้นมา
“นี่เป็นไปได้ยังไงกัน?” บรรดาผู้อาวุโสถึงกับแตกตื่นกันอย่างถึงขีดสุด
“หยางไคได้ทิ้งหุ่นเชิดศิลาตัวหนึ่งไว้คอยคุ้มครองนาง ในยามที่ข้าไปเยือน ก็ได้ถูกหุ่นเชิดศิลานั้นไล่ต้อนจนต้องกลับมา” ปิงหลงอธิบายออกไปด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น อีกทั้งยังมีสีหน้าที่หวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิเลือนหาย : “หากมิใช่ในยามนั้นชิงหย่าเอ่ยปากห้ามปรามเอาไว้แล้วละก็ แม้กระทั่งข้าเองก็คงจะได้รับบาดเจ็บกลับมากันแล้ว”
“หุ่นเชิดศิลานั้นร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หรานอวิ่นถิ่งถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
หุ่นเชิดศิลานางเองก็เคยพบพานมาก่อน เมื่อในวันนั้นในยามที่นางออกคำสั่งให้ปิงเตี๋ยไปฆ่าชิงหย่า ชิงหย่าเองก็ประจวบได้รับการคุ้มครองจากหุ่นเชิดศิลาพอดี เมื่อในวันนั้นนางที่เอาแต่สนใจต่อหยางไคกับซูเหยียน จึงไม่ทันได้หันไปสังเกตสิ่งมีชีวิตประหลาดตัวนั้นไม่
บัดนี้เมื่อได้ฟังปิงหลงเอ่ยถึง จึงค่อยทราบได้ว่าหุ่นเชิดศิลาตัวนั้นไม่ธรรมดา
“หากต่อกรกันซึ่งหน้า ข้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน” ปิงหลงถึงกับทอสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
และเสียงลมหายใจจากอาการแตกตื่นก็พลันดังขึ้นเป็นระลอก
ปิงหลงถือได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในขอบเขตหวนกำเนิดแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ทั่วทั้งดาววารีสีชาด แทบจะจัดได้ว่าอยู่ในอันดับที่หนึ่งไม่ก็สองกันแล้ว กระนั้นแม้กระทั่งนางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ แล้วเช่นนี้จะบอกว่าหุ่นเชิดศิลานั้นมีความสามารถในระดับที่ใกล้เคียงกับขอบเขตกำเนิดราชันอย่างงั้นหรือ?
นั่นแท้จริงแล้วเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งใดกันแน่?
เหล่าผู้คนต่างก็ได้ละสายตาหันไปมองลั่วหลี หันไปมองนางเผื่อว่าจะมีคำอธิบายอะไรออกมากันบ้าง
“ไม่ต้องหันมามองข้าแล้ว หุ่นเชิดศิลาตัวนั้นข้าเองก็ไม่ทราบความเป็นมาเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหุ่นเชิดที่หลงเหลือมาจากเศษซากการดำรงอยู่จากยุคบรรพกาลก็เป็นได้ อีกทั้งยังถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความประหลาดพิสดารชนิดหนึ่ง”
แม้แต่ผู้นำผู้อาวุโสก็ยังไม่อาจกระจ่างงั้นหรือ? ในใจทุกคนพลันเกิดเป็นความแตกตื่นตกใจ ตามที่พวกนางได้ทราบมา ผู้นำผู้อาวุโสที่คล้ายกับไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้ แต่วันนี้ กลับถูกทลายขอบเขตการรับรู้ไปกันแล้ว
และต้นสายปลายเหตุของทุกอย่างนี้ ล้วนแต่มาจากหยางไคกันแทบทั้งสิ้น
“ศิษย์ที่มีนามว่าชิงหย่าผู้นั้นยังมีจิตใจที่สำนึกในบุญคุณของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอยู่ มิเช่นนั้นแล้วละก็ นางก็คงจะไม่ห้ามปรามหุ่นเชิดศิลาที่ลงมือต่อปิงหลงแล้ว พวกเจ้าเองก็อย่าได้ไปรบกวนนางแล้ว แล้วสั่งคนให้คอยดูแลเอาไว้ด้วย เมื่อหยางไคกับซูเหยียนมาเยือนยังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ก็คงจะเป็นคราวที่จะพานางไปด้วยแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” ปิงหลงผสานมือและพยักหน้า
“ครั้งต่อไปหากว่าเขามา……ก็จงอย่าได้เสียมารยาทด้วยแล้ว!” ลั่วหลีได้ทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายเอาไว้ ทันใดนั้นก็ได้เลือนรางหายไปในท้ายที่สุด
เหล่าผู้อาวุโสก็ได้หันหน้าสบตามองกัน แล้วจึงค่อยแยกย้ายกันจากไป คงมีแต่เพียงหรานอวิ่นถิ่งที่ยังรั้งอยู่แค่เพียงคนเดียว บนใบหน้าราวกับได้มีสีหน้าสำนึกในบาปของตัวเองอย่างสุดแสน
……
ภายในดาวลึกลับ ก่อนหน้านี้ก็คือใจกลางหอสูงหลายชั้นที่เซี่ยหนิงฉางได้เคยอาศัยมาก่อน หยางไคและซูเหยียนได้นั่งขัดสมาธิเข้าหากัน ใช้สองฝ่ามือแนบชิดหันเข้าหากัน
ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างของทั้งสองได้เกิดการเชื่อมผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นขอบเขตไร้ชื่อเสียงเรียงนามกระจายออกไปรอบทิศของทั้งสองคน
สีหน้าของทั้งสองล้วนแต่ขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด
ศึกการปะทะกับหลัวไห่ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรียบง่ายกันถึงเพียงนั้นแล้ว แต่การใช้พลังอันมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น หยางไคกับซูเหยียนทั้งสองเองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากมายอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นหลังจบศึก หยางไคก็ได้ออกไปจากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นในทันที แม้แต่ชิงหย่าก็ยังไม่มีเวลาที่จะไปสนใจได้ จนกระทั่งเสาะหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักรักษาตัว
หากมองจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ภายในแววตาของลั่วหลียังคงมีความโหดเหี้ยมอยู่เป็นอย่างมาก
กระนั้นก็ยังดีที่ในครั้งนี้ได้ผสานเชื่อมจิตรวมกายกับซูเหยียนจนกระทั่งใช้ป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราได้ ดังนั้นทันทีที่แบกรับค่าตอบแทนที่มากมายมหาศาล ทั้งสองจึงค่อยแยกจากกัน แต่กลับไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำให้หยางไคมีความยินดีขึ้นมาได้
ถ้าหากเมื่อในเวลานั้นไม่มีซูเหยียนมาช่วยแบ่งเบาภาระ แต่เป็นตัวเองที่คอยแบกรับป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราเอาไว้คนเดียวแล้วละก็ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากคาดเดาได้อย่างแน่นอน
พลังอำนาจมหาจักรพรรดิ แทบจะมิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแบกรับเอาไว้ได้อยู่แล้ว
บริเวณโดยรอบร่างกายของทั้งสองคน ที่เต็มไปด้วยผลึกต้นกำเนิดราชัน รอบกายยังคงมีขวดหยกเปล่าอีกหลายชิ้น ภายในนั้นที่เคยได้มีโอสถปราณที่ถูกใช้ไปตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยพลังอันมหาศาลอันบริสุทธิ์ได้ถ่ายเทเข้าสู่ภายในร่างกาย ขจัดคลายอาการบาดเจ็บและภัยที่แอบแฝง จนสีหน้าของทั้งสองคนได้ค่อยๆ ที่จะแดงระเรือขึ้นมาอย่างช้าๆ จนพลังสภาวะค่อยๆ ที่จะมั่นคง
จนมีอยู่วันหนึ่ง ที่หยางไคได้ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้น
สิ่งที่คอยต้อนรับก็คือดวงตาคู่งามของซูเหยียน
ทั้งสองได้หันไปยิ้มให้แก่กัน จากอาการบาดเจ็บกว่าสามเดือนที่ผ่านมา อาจารย์บาดเจ็บก็นับว่าฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างแล้ว
“ศิษย์น้อง เจ้าทะลวงพลังขอบเขตแล้วงั้นหรือ?” ซูเหยียนได้สาดทอแววตาคู่งามด้วยอาการแตกตื่นตกใจอยู่เล็กน้อย
“คล้ายกับเป็นเช่นนั้น” หยางไคเองก็ได้พบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวเอง
ก่อนศึกระหว่างหลัวไห่ก่อนหน้า ตัวเองที่ยังอยู่ในขอบเขตจุดสูงสุดของหวนกำเนิดขั้นที่สองเท่านั้น หลังผ่านศึกนี้มาได้ บัดนี้ก็ได้เข้าสู่ขึ้นที่สามแล้ว
แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทันสังเกตว่าตัวเองทะลวงพลังไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว แต่น่าจะเกิดจากการที่มีพลังอันมหาศาลจากมหาจักรพรรดิถ่ายเทเข้าสู่ภายในร่างจนเกินกว่าที่จะรองรับได้ นำไปสู่การทะลวงพลังได้โดยที่ไม่มีแม้แต่วี่แวว
อีกทั้ง ขอบเขตก่อนหน้านี้เองก็ยังนับว่ามั่นคงอย่างถึงขีดสุด จนแทบไม่จำเป็นที่จะต้องให้หยางไคเป็นกังวลใจอะไรมากมายอีก
“เจ้าเองก็เช่นกัน” หยางไคก็ได้ปรายตามองไปที่ซูเหยียน และก็ได้พบว่าขอบเขตการบ่มเพาะของนางในตอนนี้ได้อยู่ในระดับเดียวกับตัวเองแล้ว ที่ต่างก็อยู่ในขอบเขตขั้นที่สามไปแล้ว
ซูเหยียนเองก็ได้ยิ้มแย้ม
เกิดเป็นประกายแสงสว่างไสวขึ้นระหว่างทั่วทั้งฟ้าดินโดยที่มีร่างของซูเหยียนเป็นดั่งศูนย์รวม จนทำให้นางยิ่งดูเหมือนกับเป็นสิ่งที่มีความงดงามอย่างไร้ที่ติ
หยางไคอดไม่ได้ที่จะตะลึงขึ้นมา พร้อมทั้งยื่นมือกุมไปที่มือน้อยๆ ของซูเหยียนเอาไว้ ในใจเกิดเป็นคลื่นซัดโถม: “ซูเหยียน……”
ซูเหยียนทอใบหน้าแดงระเรืองเล็กน้อย ย่อมต้องตรวจพบความคิดของเขาเอาไว้ได้ จึงได้สั่นสะท้านขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า : “อาจารย์พวกเขาต่างก็กำลังรออยู่กันที่ด้านนอกอยู่นะ”
หยางไคจึงค่อยได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเข้าตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายนอก จนสามารถพบได้ว่าสิ่งที่อยู่ภายนอก เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล่าสหายสนิทคุ้นเคยกับตนเองได้รุดหน้ามากันตามข่าวลือ จนกระทั่งกำลังรอกันอยู่ที่ด้านนอก
ผู้ทรงพลังของมนุษย์มารปีศาจทั้งสามเผ่าราวกับได้รวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าหอสูง แต่กลับหาได้มีใครกล่าวอะไรออกมาไม่ ล้วนแต่ยืนรอคอยอยู่อย่างเงียบสงัด
หยางไคได้แต่เกาหัว พลันฉุกคิดขึ้นมา แล้วกัดฟันกล่าว : “ยังไงเสียก็รอมากันตั้งนานขนาดนี้กันแล้ว ยังจะรีบไปทำไมกันอีก”
ทางหนึ่งพูดพลาง ทางหนึ่งก็กลายร่างเป็นหมาป่า แล้วผลักซูเหยียนล้มลงไปนอนอยู่บนพื้น
……
ประตูหอสูงพลันเปิดออก หยางไคและซูเหยียนได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ที่เบื้องหน้าหลิงไท่ซู้และพวก
ทุกคนจึงได้รีบเดินมายังทางด้านหน้า เพื่อถามไถ่ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาคู่งามของเซี่ยหนิงฉางเองก็แทบจะหาได้ปกปิดวิตกกังวลและร้อนรนเอาไว้ได้อีก
เมื่อในวันนั้นหยางไคและซูเหยียนทั้งสองคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ภายในดาวลึกลับ ดูไปแล้วได้อยู่ในสภาพไร้พลัง ราวกับร่างกายตกอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ เมื่อในยามนั้นเซี่ยหนิงฉางเองก็ย่อมที่จะแตกตื่นจนขวัญกระเจิง พร้อมทั้งรีบสั่งให้ไปทำการรักษาพวกเขา ในเวลาเดียวกันก็ได้มีเสียงของข่าวลือบางอย่างดังออกมา
จนกระทั่งหลังผ่านไปได้สามเดือนจนถึงวันนี้ ทั้งสองจึงค่อยปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“หยางไค ไม่เป็นอะไรนะ?” หลิงไท่ซู้เป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ความเป็นห่วงของอาจารย์ปู่เหลา ตอนนี้ศิษย์ไร้เรื่องราวใดแล้ว”
“เจ้าเด็กโสโครก ข้าเป็นห่วงเจ้า……แทบตายแล้ว!” หยางซื่อเย่เองก็ได้คลายความกังวลลงได้ เดิมทีที่คิดบอกว่าเป็นห่วงแทบตายอยู่แล้ว แต่ก็คล้ายกับขาดซึ่งอารมณ์ความรวบรัดเยี่ยงวีรชน จึงได้ค่อยได้รีบดันต่งซู้จู๋ออกมารับหน้าแทน
ต่งซู้จู๋ยืนอยู่ที่ด้านข้างของซื่อเย่ ขบริมฝีปากไว้จนแน่น โดยที่เชิดปีกจมูกขึ้นเล็กน้อย ภายในดวงตายังได้มีหยาดน้ำตาหลั่งไหลรินออกมามากมาย แม้จะมีความตั้งใจที่จะร่ำไห้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมา
“ท่านแม่ อย่าได้เป็นกังวลไปแล้ว ข้ายังมิใช่ว่ายังอยู่ดีอยู่มิใช่หรอกหรือ” หยางไคฉีกยิ้มกว้าง แล้วทุบไปที่หน้าอก แสดงสภาพที่หมายความว่าตัวเองนั้นยังแข็งแกร่งดีอยู่ออกมาให้ได้เห็น
ต่อไปก็คงไม่อาจทนทานต่อไปได้ไหวกันอีกแล้ว ในที่สุดต่งซู้จู๋ก็ได้คลายความกังวลใจไปได้ พร้อมกับเริ่มเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมาแล้ว หยาดน้ำตาดุจก็ได้ไหลรินดั่งไข่มุกที่หยดลงไม่ขาดสาย
หากไม่ได้เป็นเพราะในสถานที่แห่งนี้มีผู้ทรงพลังเผ่ามารปีศาจมากมายถึงเพียงนี้ เกรงว่านางก็คงจะเข้ามาสวมกอดดอยู่ในอ้อมอกของตัวเองด้วยความทะนุถนอมไปแล้ว
“เจ้าเด็กโสโครก!” หยางซื่อเย่เดือดดาลแทบตายอยู่แล้ว ก็ได้หันไปมองหยางไคด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
“เจ้าเห่าหอนอะไรกัน เจ้าเห่าหอนอะไรกัน?” ต่งซู้จู๋สาดแววตาประดั่งกำปั้นทุบเข้าใส่บนร่างของหยางซื่อเย่ : “เหตุใดเจ้าต้องมาตวาดใส่บุตรชายข้าด้วย!”
หยางซื่อเย่ทอสีหน้าหมองคล้ำ บุตรชายใจเจ้าก็มิใช่เป็นเหมือนบุตรชายข้า พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังขึ้นโดยที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด!
เรื่องราวที่อึกทึกก็ได้จบไว้แต่เพียงเท่านี้
ในใจที่แม้จะหดหู่สุดประมาณ แต่กลับคงยืนอยู่ในที่เดิมอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่ว่าจะต้องถูกต่งซู้จู๋จัดการอย่างไร ข้าก็ยังไม่ขยับเคลื่อนไหวไม่
.
.
.