ตอนที่ 1654 ปลดผนึกป้ายคำสั่งจักรพรรดิดารา
ตอนที่ 1654 ปลดผนึกป้ายคำสั่งจักรพรรดิดารา
“นี่ก็คือตัวข้าเองอย่างงั้นหรือ?” ซูเหยียนเงยหน้าหันไปมองเงามายาวิหคเหมันต์ที่ใหญ่โตนั้น ราวกับสัมผัสได้ถึงแววตาที่เป็นประกายของนาง เดิมก็หาได้เคยรู้จักกับวิหคเหมันต์มาก่อน ในขณะที่ก้มหน้าลงมาก็ได้ใช้แววตาที่สูงศักดิ์ทั้งคู่หันไปมองอยู่วูบหนึ่ง ภายในแววตายังเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความชื่นชม
ทุกผู้คนต่างก็ตะลึงลานกันแล้ว
พลังต้นกำเนิดแห่งวิหคเหมันต์สถิตร่าง ซูเหยียนเองก็รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้นเป็นสาย ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ต้องถูกพลังภายในหยกน้ำแข็งสะท้อนย้อนกลับพลันถูกคลี่คลายหายเป็นปริทิ้ง จิตใจทั่วทั้งร่างบังเกิดเป็นความปลอดโปร่ง
เงามายาสีขาวโพลนที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง จนเปรียบเสมือนดั่งเกิดเลือดโลหิตไหลรินออกมาอยู่ก็มิปาน ซึ่งนับได้ว่าเป็นบางส่วนของนางเลยก็ได้
ผิวพรรณที่แปรเปลี่ยนไปจนกลายกระจ่างสดใสบริสุทธิ์ บริเวณส่วนคอกลับยิ่งเปล่งเป็นประกายงามเนียนบริสุทธิ์ ซูเหยียนในขณะนี้ จิตวิญญาณทั่วร่างพลันเกิดเป็นพลังดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ย่อมเพียงพอที่จะสั่นคลอนทุกสรรพสิ่งในใต้หล้ากันได้เลย
แม้จะเป็นผู้ทรงพลังอย่างซื่อฮั่วและหลัวไห่เช่นนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่ถึงกับต้องสาดแววตาเป็นประกายเหม่อลอยหันไปมองซูเหยียนอยู่ชั่วขณะ
“ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ข้าได้นำมาจากทวีปถ่งซ๋วนนั้นแหลาะ” หยางไคพยักหน้า
สองศิษย์พี่น้องได้สนทนากันดั่งไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา อีกทั้งยังหาได้เป็นกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าเลยด้วยซ้ำ
“อึ๋ม……ข้าคล้ายกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง” ซูเหยียนได้สูดลมหายใจอย่างแผ่วเบาอยู่ หลับตาลง ในใจพลันก่อเกิดเป็นการเชื่อมโยงกับเงามายาวิหคเหมันต์นั้นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด วิหคเหมันต์เองยังได้ลอบกู่ร้องออกมาด้วยความเบิกบาน ทุกคราที่มันแผดเสียงยังแฝงเร้นเอาไว้ด้วยพลังอำนาจที่ไร้อนันต์เก็บซ่อนเอาไว้ จนทำให้พลังสภาวะน้ำแข็งเหมันต์ทั่วทั้งเกาะสุดขั่วเยือกเย็น ล้วนแต่เกิดการสั่นไหวขึ้นจากเสียงที่ดังขึ้นนี้ เกิดเป็นดั่งคลื่นสมุทรนับหมื่นสาย ไหลรวมเข้าสู่ภายในร่างกายของซูเหยียน เพื่อทำให้ลมหายใจของนางสงบขึ้นมาได้
พลังสภาวะแต่เดิมของซูเหยียนยังได้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นที่สามารถใช้แม้ตาเปล่าก็สามารถมองเห็นได้
เดิมทีนางที่อยู่ในขอบเขตสูงสุดของขอบเขตหวนคืนขั้นที่หนึ่ง หากว่าไม่ได้มีการปรากฏตัวของหยางไค นางก็คิดที่จะเตรียมทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองในเร็ววันแล้ว
แต่เป็นเพราะสาเหตุที่สืบเนื่องมาจากการถูกพลังภายในหยกน้ำแข็งย้อนทวน จึงทำให้การบ่มเพาะของนางไม่อาจที่จะมีความรุดหน้าได้จวบจนถึงบัดนี้ แต่บัดนี้กลับกำลังเพิ่มพูนสูงขึ้นมาอีกครั้ง
จุดสูงสุดขอบเขตขั้นที่หนึ่ง ในส่วนขั้นที่สอง ก็ยังคงเป็นจุดสูงสุดของขั้นที่สอง……
ภายในการทะลวงพลังอย่างบ้าคลั่งจนแทบไม่อาจหยุดเอาไว้ได้ ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก็ได้เข้าสู่ขอบเขตจุดสูงสุดของขั้นที่สองไปแล้ว ในขณะที่คล้ายกับได้ถูกบางอย่างเข้ามารบกวนจึงค่อยได้หยุดลง
สิ่งที่เข้ามารบกวนตนก็คือหยางไค!
ขณะนี้ทั้งสองเปรียบเสมือนกับมีสองร่างหนึ่งใจเชื่อมโยงกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ การบ่มเพาะพลังขอบเขตของหยางไคเองก็ยังเพียงอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นที่สองเท่านั้น ดังนั้นซูเหยียนจึงไม่อาจที่จะเพิ่มพูนต่อไปได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นอาจจะเป็นการทำลายสมดุลระหว่างลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถที่จะมองออกได้ว่า นางยังคงมีพลังที่กักเก็บเอาไว้อยู่! นางถึงกับมีความสามารถพอที่จะเพิ่มพูนพลังขอบเขตของตัวเองเข้าสู่จุดสูงสุดขั้นที่สามกันได้แล้ว!
ทุกผู้คนล้วนแต่เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ยังหาได้เคยมีคนที่สามารถทะลวงพลังการบ่มเพาะได้รวดเร็วเหนือกฎเกณฑ์เช่นนี้ได้มาก่อนไม่ นี่แทบจะเรียกได้ว่าแม้จะเป็นผู้ที่ได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่มาก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ นี่ควรที่จะเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์กันได้แล้ว
หยางไคที่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ราวกับว่าทุกอย่างนี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้การคาดการณ์เอาไว้แล้ว
มังกรคำราม วิหคแผดร้องที่สอดประสานกันขึ้นมาอีกคำรบ เงามายาของจักรพรรดิมังกรสีทองขนาดใหญ่และวิหคเหมันต์ขาวนวลทันใดนั้นก็ได้บิดตัวบีบอัดรูปร่างกันขึ้นมา พร้อมกับโถมลงมาจากท่ามกลางเวลาอันสูงส่งลงมา แทรกซึมผ่านเข้าสู่ภายในร่างของหยางไคและซูเหยียนทั้งสองคนจนหายลับไปจากสายตา
ร่างภายนอกของสองศิษย์พี่น้อง พริบตานั้นก็ได้เกิดเป็นสภาวะเขตแดนกองกำลังที่ประหลาดขึ้นหนึ่งรูปแบบ
เขตแดนกองกำลังนั้นยังสามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นสีทองอร่าม อีกครึ่งเป็นสีขาวดั่งหิมะ แบ่งออกเป็นพลังทวิคุณสมบัติที่แตกต่างกันจนเห็นได้ชัด แต่กลับสามารถผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบในระหว่างนั้นเอง จนก่อตัวเป็นพลังอำนาจของที่หลุดจากขอบเขตหวนกำเนิดไปอย่างห่างไกล!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงพลังในขอบเขตหวนกำเนิดคนใดที่เผชิญหน้ากับพลังอำนาจเช่นนี้ ก็ล้วนแต่แทบจะหาได้มีภาวะจิตใจที่จะต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ
“นี่ก็คือไพ่ตายของเจ้าแล้วอย่างงั้นหรือ?” แววตาของหลัวไห่ถึงกับเป็นที่น่าแตกตื่นกันอยู่บ้าง พร้อมทั้งปลดปล่อยแววตาที่เจิดจรัสออกมา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ได้จดจ้องมองไปที่หยางไค สาวเท้าเดินเข้าไปจนถึงด้านหน้าสุดของกลุ่มคน
ในทุกก้าวที่เขาก้าวเดินในทุกก้าว เกาะสุดขั่วเยือกเย็น ดุจดั่งเกิดการสั่นสะเทือนสั่นจากส่วนลึกของโลกา สั่นคลอนไปจนถึงจิตวิญญาณของผู้คน
ทุกครั้งที่เขาก้าวเดินในทุกย่างก้าว ยังได้เกิดเป็นพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นในเวลาเดียวกัน
หยางไคซูเหยียนทั้งสองนั้นที่อยู่ภายใต้พลังอำนาจหยินหยางอันเกิดจากแสงทองอร่ามขาวนวลนั้น จึงมิได้รับผลกระทบจากพลังแรงกดดันของหลัวไห่
หยางไคยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยิ้มและหันไปมองศัตรูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ถ้าหากนี้เป็นไพ่ตายของเจ้า เช่นนั้นข้าผู้เป็นเจ้าสำนักยังคงขอเตือนเจ้าให้ล้มเลิกความคิดที่จะสู้ไปได้แล้ว ด้วยความสามารถเช่นนี้ของพวกเจ้าแน่นอนว่าย่อมเหนือความคาดหมาย แต่ก็ยังพอที่จะไร้ผู้ต้านในระดับขอบเขตกำเนิดราชันเอาไว้ รวมไปจนถึงขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่หนึ่ง ก็ใช่ว่าจะทำอะไรพวกเจ้าได้”
ทันทีที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา ซื่อฮั่วและลั่วหลีต่างก็ต้องขมวดคิ้วกัน
ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ แต่ที่หลัวไห่กล่าวมาก็นับว่าเป็นความจริง ทั้งสองที่ไม่ว่าจะเป็นคนใดหากว่าต้องเผชิญหน้ากับหยางไคกับซูเหยียน ก็ล้วนแต่ต้องรู้สึกตรึงมือเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าถ้าหากพวกเขาทั้งสองเข้าช่วงชิงด้วยแล้วละก็ ต่อให้ผลสุดท้ายจะได้รับชัยชนะมาได้ ก็ยังต้องเกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อยู่ดี
นี่ย่อมถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการไปนึกถึงเลยก็ว่าได้
ขอบเขตกำเนิดราชันถือได้ว่าเป็นดั่งจุดสูงสุดในโลกหล้าแห่งนี้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตกำเนิดราชันคนใดก็ล้วนแต่สามารถเก็บกวาดผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดได้โดยทั้งสิ้น ต่อให้มากันเป็นร้อยหรือจะมาเป็นพัน ก็แทบจะไม่อาจสามารถแตะต้องชายเสื้อของผู้อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันกันได้เลย
รักกัน ชอบกัน แวะไปที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เลยครับ
หยางไคสองศิษย์พี่น้องใช้อาศัยการใช้พลังก็สามารถทัดเทียมเหนือกว่าขอบเขตกำเนิดราชันกันได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นขีดจำกัดที่หลุดพ้นไปอย่างห่างไกลกันแล้ว
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีหหลัวไห่เท่านั้นที่พอจะมีคุณสมบัติพอที่จะไม่เห็นหยางไคกับซูเหยียนอยู่ในสายตากันแล้วเท่านั้น
“เจ้าหนู เจ้ายังคงติดตามข้ามาแต่โดยดีเถอะ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักขอรับรองว่าจะไม่ฆ่าเจ้าแน่นอน!” หลัวไห่ก็ได้หันไปมองหยางไคด้วยแววตาที่ลึกล้ำ ราวกับสามารถที่จะฉีกกระชากเลือดเนื้อกันได้เลยก็มิปาน จนหาได้มีอาการที่เหมือนจะปกป้องศิษย์รักเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หลัวไห่ ข้าและเจ้าไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน เจ้ากลับคอยบีบให้ข้าตกอยู่ในสภาพที่ลำบากมาโดยตลอด ก็ดี วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย เพื่อเลี่ยงความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าก็แล้วกัน” หยางไคพลันระเบิดเสียงดังก้องกังวานออกมา
“ฆ่าข้า?” หลัวไห่ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขบขันที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาก็มิปาน พร้อมทั้งหัวเราะออกมาฮาฮาว่า : “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความเชื่อมั่นที่มากมายมหาศาลเสียจริงนะ เจ้าคิดว่าที่เจ้าเป็นอยู่นี้จะสามารถฆ่าข้าได้จริงอย่างงั้นหรือ? ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจะทำให้เจ้าได้รู้จักว่าอะไรคือขอบเขตกำเนิดราชันที่แท้จริงก็แล้วกัน!”
สิ้นเสียง พลังอันมหาศาลที่พิสดารขุมหนึ่งก็พลันแตกสลายไปในบัดดล พร้อมกับพุ่งเข้าห้อมล้อมหยางไคกับซูเหยียนเอาไว้
อำนาจจักรพรรดิ!
อำนาจจักรพรรดิในระดับจ้าวราดา
ทันใดนั้นแผ่นดินพลันเกิดความเคลื่อนไหวที่รุนแรงกันขึ้นมา เดิมทีจุดที่เป็นที่ตั้งของตำหนักน้ำแข็ง พลันถูกแยกออกมาสายแตกออกเป็นเสี่ยง ด้วยพลังทำลายของอำนาจจักรพรรดิราวกับสามารถที่จะถล่มทลายฟ้าดินกันได้เลย
“พี่หลัวไห่ ข้าผู้ชรามาช่วยสนับสนุนท่านแล้ว!” ซื่อฮั่วตะโกนขึ้นเสียงดังก้อง พร้อมกับปลดปล่อยอำนาจจักรพรรดิที่อยู่ภายในกายออกมาเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างเป็นแรงกดดันเข้าใส่หยางไคและซูเหยียน
หลัวไห่เพียงเหลือบตามองเขาอยู่วูบ แต่กลับหาได้กล่าวอะไรออกมามากความ
ความตั้งใจของซื่อฮั่วนั้นเป็นอะไรนั้น เขาย่อมต้องทราบดีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าย่อมต้องไม่คิดที่จะปล่อยให้ตัวเองครอบครองประโยชน์เอาไว้เพียงคนเดียวก็เป็นได้ ดังนั้นจึงได้เข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือ ดั่งเกิดความละโมบที่คิดจะหวังผลประโยชน์สักส่วน
หลัวไห่เองก็ย่อมต้องยินดีกันอยู่แล้ว ที่เขาต้องการก็คือความลับที่อยู่ภายในกายของหยางไค ในส่วนของนังหนูที่มีนามว่าซูเหยียน……พลังต้นกำเนิดจากวิหคเหมันต์ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ก็มีจุดที่ยังขัดกับวิถีแห่งการบ่มเพาะของเขา จึงไม่สามารถหยิบมาใช้ประโยชน์ได้
อำนาจจักรพรรดิจากสองผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันได้ถูกปลดปล่อย ได้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมีสีหน้าเปลี่ยนไปกันในทันที
ลั่วหลีเองก็ได้รีบปลดปล่อยอำนาจจักรพรรดิภายในกายออกมา เพื่อต้านทานสภาวะแรงกดดันที่เข้ามาสู่ทุกคน ในเวลาเดียวกันก็ได้ตะโกนกล่าวขึ้นว่า : “พวกเจ้ารีบไปได้แล้ว!”
หากยังไม่จากไปอีกแล้วละก็ ผู้อาวุโสเหล่านี้จะต้องได้รับบาดเจ็บกันอย่างแน่นอน
ปิงหลง หรานอวิ่นถิ่งและคนอื่นๆ ก็ไม่พูดไม่จา ทำการกระตุ้นวิชาตัวเบาไปจากจุดเดิม เหลือไว้แต่เพียงลั่วหลีเพียงคนเดียวที่ยังคงทอสีหน้าสับสนยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับหาได้มีความตั้งใจที่จะสอดมือเข้ายุ่งไม่ นางเพียงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เหม่อมองไปที่หยางไคและซูเหยียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียดาย
“ศิษย์พี่ เตรียมพร้อมแล้วนะ?” อำนาจจักรพรรดิสองสุดยอดผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันเข้าโถมเข้ามาถึงตัว หยางไคยังคงนิ่งดุจสายลมที่สงบ
จากการที่ได้ข้ามผ่านการเคี่ยวกรำประสบการณ์จากภายในพันธนาการโลหิตมาแล้วคราหนึ่ง เขาย่อมต้องเคยชินต่ออำนาจจักรพรรดิอันแข็งแกร่งที่เข้ามาก่อกวนทั้งมวลอยู่แล้ว ด้วยอำนาจจักรพรรดิเช่นนี้ แทบจะไม่สามารถกดดันเขาได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาไม่ล้ม ซูเหยียนเองก็ย่อมไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอยู่แล้ว
“เตรียมพร้อมแล้วล่ะ!” ซูเหยียนพยักหน้า
สองใจที่เชื่อมถึงกัน แทบจะไม่จำเป็นต้องให้หยางไคอธิบายอะไรอกมา เพียงแค่บังเกิดความคิดขึ้นวูบ ซูเหยียนก็พลันเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแล้ว
“เตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี เช่นนั้นจะเปิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว!” หยางไคยิ้มขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นก็ได้หันหน้าไป จับจ้องมองไปที่หลัวไห่อย่างเย็นชา ตวาดเสียงดังก้องขึ้นว่า: “หลัวไห่ วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้าเองแล้ว!”
สิ้นเสียง ป้ายคำสั่งเก่าแก่ชิ้นหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ
ป้ายคำสั่งนั้นกลับมีลักษณะที่เป็นสีดำทมิฬ จนไม่อาจทราบได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบอะไร ดูไปแล้วกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกเตะตาเลยแม้แต่น้อย
แต่ชั่วพริบตาที่ป้ายคำสั่งปรากฏออกมา คิ้วของหลัวไห่ถึงกับต้องกระตุกไปมา บังเกิดเป็นความรู้สึกที่แตกตื่นดั่งหัวใจกระดอนออกมา
“นี่มัน……” หลัวไห่ถึงกับต้องหันไปมองป้ายคำสั่งนี้ด้วยความแตกตื่นตกใจ ในที่สุดก็มีการตอบสนองกลับคืนมา: “อำนาจจักรพรรดิ!ป้ายคำสั่งจักรพรรดิดารา?”
ภายในป้ายคำสั่งได้สาดแสงสีเข้มออกมาเป็นสาย ราวกับเป็นพลังสภาวะที่ไม่อาจทำให้ตรวจพบได้ แต่ก็เป็นเพราะพลังสภาวะนี้จึงได้ทำให้หลัวไห่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
และที่ด้านบนป้ายคำสั่งนั้นยังได้มีตัวอักษรคำว่า “จักรพรรดิ” สาดแสงออกมาเป็นประกาย จนในที่สุดก็ทำให้หลัวไห่เข้าใจได้แล้วว่าไพ่ตายใบสุดท้ายของหยางไคนั้นคืออะไร
ถึงกับเป็นป้ายคำสั่งจักรพรรดิดารา!อีกทั้งยังเป็นป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราที่ยังไม่ได้รับการคลายผนึกชิ้นหนึ่ง!
เล่าขานกันว่า มหาจักรพรรดิดาราอวกาศข้ามผ่านอดีตกาลมาสู่ปัจจุบัน ภายในท่ามกลางแดนดาราจึงได้เหลือไว้แต่เพียงตำนานเทพปรกรณัมแต่ละชนิดที่ไม่มีวันดับสูญกันนั้นเอง นับตั้งแต่นั้นมาก็ได้หายสาบสูญไปเหลือไว้แค่เพียงตำนาน
แต่ว่าเกิดข่าวลือที่ป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราว่าอยู่ในการควบคุมของเขาแพร่สะพัดออกไป ป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราที่มีด้วยกันทั้งหมดเพียงเก้าชิ้น อีกทั้งทุกชิ้นล้วนแต่ถูกได้ผนึกการเชื่อมโยงกับพลังมหาจักรพรรดิเอาไว้ เช่นนั้นย่อมสามารถที่จะเพียงพอจะฆ่าผู้ที่เชื่อมโยงพลังมหาเทวะขอบเขตกำเนิดราชันอื่นได้ภายในเสี้ยววินาที ซึ่งก็คือระดับชั้นที่ไม่อาจเอื้อมได้ถึงนั้นเอง
ป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราในสายตาของผู้ทรงพลังโดยทั่วไป กลับเป็นได้แค่ตำนานเท่านั้น อีกทั้งยังไม่อาจทราบได้ว่ามีการดำรงอยู่ตริงหรือไม่
แต่หากเป็นผู้ทรงพลังในระดับชั้นของหลัวไห่เช่นนี้กลับต้องทราบอยู่แล้วว่า การดำรงอยู่ของป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราแน่นอนว่า ภายใต้สมาคมการค้าเหิงหลัวของแดนดาราที่มีเลื่องชื่อจะมีอยู่แค่เพียงชิ้นเดียวแล้วเท่านั้น เมื่อไร้ซึ่งการเชื่อมโยงพลังอำนาจของมหาจักรพรรดิ ก็หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงพลังอำนาจแห่งจักรพรรดิอีกบางส่วนแล้วเท่านั้น
ผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันที่พกป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราห้อยไว้ติดตัว ภายใต้การบรรลุความเข้าใจในอำนาจจักรพรรดิที่สะสมมาตามกาลเวลาแล้วละก็ ย่อมสามารถมีส่วนช่วยเหลือในการบ่มเพาะแน่นอน อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะช่วยในการเพิ่มพูนความกระจ่างต่อวิถีสวรรค์วิถียุทธ์
ดังนั้นเขาที่มองเพียงแวบเดียวก็สามารถระบุป้ายคำสั่งที่อยู่ในมือของหยางไคได้ในทันที จากนั้นจึงบังเกิดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยขึ้นภายในพริบตา
“แย่แล้ว!” หลัวไห่เองก็แตกตื่นจนหน้าถอดสี พร้อมกับโพล่งออกมาว่า : “พี่ซื่อฮั่ว รีบฆ่าพวกเขาเร็ว อย่าได้ปล่อยให้พวกเขาสามารถ
ซื่อฮั่วถึงกับร่ำร้องคร่ำครวญออกมา ภายในแววตาพลันแลบออกมาเป็นความเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมออกมาเป็นสาย อ้าปากร้องออกมาจนเห็นลิ้นไก่ พร้อมกับรีบปลดปล่อยเปลวเพลิงจากโลหิตบริสุทธิ์ที่ร้อนผลาญออกมาอีกขุม แปรสภาพจนกลายเป็นเพลิงไฟที่ทอเป็นประกาย เข้าห้อมล้อมหยางไคและซูเหยียนเอาไว้
เขาเองก็นับได้ว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมเลยทีเดียว เมื่อทราบว่าได้เวลาที่จะต้องตัดใจแต่กลับไม่ทำ ย่อมมีแต่จะทำให้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นได้ เมื่อลงมือก็กระตุ้นพลังที่เหนือขีดจำกัดจากก้นบึ้งโลหิตบริสุทธิ์ เพียงคาดหวังที่จะสามารถฆ่าหยางไคกับซูเหยียนลงได้ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ มิเช่นนั้นแดนดาราจักรพรรดิได้คลายผนึก เขาย่อมมิใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
จักรพรรดิในตำนาน ช่างน่าสะพรึงกลัวกันเกินไปแล้ว นั่นถึงอย่างไรก็เป็นดั่งตำนานเทพปรกรณัมที่ไม่มีวันถูกใครผู้ใดทำลายลงได้
ซื่อฮั่วเองก็ได้ลงมือในเวลาเดียวกัน หลัวไห่เองก็เคลื่อนไหวแล้ว สมบัติลี้ลับที่รูปทรงกระบี่เล่มหนึ่งได้ถูกเขาสำแดงออกมา กระบี่เล่มนั้นมีลักษณะภายนอกดุจดั่งแสงจันทร์ สาดออกมาจนเกิดเป็นบรรยากาศของสมบัติลี้ลับระดับกำเนิดราชัน หลัวไห่ที่ถ่ายเทลมปราณศักดิ์สิทธิ์เข้าไป จนกระบี่เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา จนถึงกับทำให้ห้วงอากาศยังต้องเกิดการสั่นไหว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้หายลับไปจนไม่อาจมองเห็นได้อีก
รอจนกระทั่งได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้บุกเข้าสังหารมาจนถึงเบื้องหน้าหยางไคไปแล้ว พร้อมกับแทงเข้าไปที่หัวใจของเขา
หยางไคที่ยังคงเพียงแต่ยืนอยู่ในที่เดิม เพียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาอีกครั้ง สายตานั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่เห็นทุกสรรพสิ่งอยู่ในสายตา ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างพลันถ่ายเทเข้าสู่ภายในป้ายคำสั่งจักรพรรดิดาราที่อยู่ในมืออย่างบ้าคลั่ง
ฟ้าดินเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง ราวกับว่าทั่วทั้งโลกหล้าประดุจเหมือนกับตกอยู่ภายใต้วันสิ้นโลกเลยก็มิปาน จนเกิดเป็นพลังสภาวะที่รุนแรงจุติมาเยือน