ตอนที่ 489 ตำนานแม่นางหลัว
ตอนที่ 489 ตำนานแม่นางหลัว
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
“บอกมาสิว่าเจ้ารู้อะไร?” ถ้าหากลู่โจวได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่นางแซ่หลัวมาบ้าง มันคงจะทำให้ตัวเขาตามหาแม่นางคนนี้ได้ง่ายมากขึ้น
หวางซื่อเจียเริ่มพูดขึ้น “เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน ในตอนนั้นข้าได้ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ด้วยความโชคดี ในตอนนั้นข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองสำนักเผิงไหลกำลังตกอยู่ในความโกลาหล และข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น...ข้าจึงตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเยียนสามสำนักและขอคำแนะนำจากหยุนเทียนลั่ว”
ลู่โจวไม่รู้มาก่อนว่าหวางซื่อเจียเองก็คุ้นเคยกับหยุนเทียนลั่วเช่นกัน
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ในตอนที่สามสำนักยังไม่ได้โด่งดังอะไร ในตอนนั้นเองหยุนเทียนลั่วสามารถฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นสุดยอดได้ นับตั้งแต่นั้นมาสามสำนักก็เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น ชื่อเสียงของหยุนเทียนลั่วที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ทั้งสามสำนักรับสาวกหน้าใหม่จำนวนมากได้
เป็นเรื่องปกติที่คนจากสำนักอื่นๆ จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหยุนเทียนลั่ว แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นแบบหยุนเทียนลั่วได้
“ในตอนนั้นหยุนเทียนลั่วได้พูดถึงแม่นางท่านหนึ่ง แม่นางคนนั้นแซ่หลัว หยุนเทียนลั่วเล่าให้ฟังว่าตัวเขาได้รับวิธีการฝึกตนมาจากนาง วิธีการฝึกตนแบบนั้นทำให้วรยุทธที่ตัวเองมีพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าข้าไม่เชื่อหยุนเทียนลั่ว แต่หลังจากที่ออกมาจากสามสำนักข้าก็ได้ยินเรื่องของนางมากขึ้น แม่นางท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง...”
“ความสามารถอะไรกัน?” สีวู่หยาถามออกมา
ยิ่งหาข้อมูลได้มากเท่าไหร่ การค้นหาก็จะง่ายมากขึ้นเท่านั้น
“นางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการใช้เสียง”
หวางซื่อเจียพูดต่อ “ข้าที่เคยได้พูดคุยเรื่องนี้กับหยุนเทียนลั่วก็ไม่อาจลบเรื่องของแม่นางท่านนี้ให้ออกจากใจได้ ข้าที่คิดสงสัยจึงสั่งให้สาวกของสำนักเผิงไหลออกตามหานาง สิ่งที่ข้าได้จากการตามหานางมีเพียงข่าวลือ ข่าวลือที่แม่นางคนนั้นมีพรสวรรค์ในการใช้เสียง นางมักจะนั่งเล่นพิณอยู่ที่ริมชายทะเล มีคนเคยเห็นฝูงปลาและเหล่าสัตว์ร้ายตอบสนองต่อเสียงเพลงที่นางได้เล่น เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็กระโดดไปมาอย่างมีความสุข”
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ประหลาดใจ
ลู่โจวเหลือบไปมองธิดาหอยสังข์ สาวน้อยที่ตัวเขาได้ช่วยเหลือมา ความสามารถนี้มันไม่ได้คล้ายกับความสามารถของสาวน้อยอย่างงั้นเหรอ? “สาวน้อย เจ้ามีความสามารถเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ชนเผ่าอื่นทางตะวันตกเองก็มีผู้ที่รู้จักภาษาของเหล่าสัตว์ร้ายอยู่ด้วย”
หวางซื่อเจียหันกลับมามองธิดาหอยสังข์ก่อนจะพูดต่อ “จากนั้นก็มีคลื่นอันใหญ่ยักษ์ซัดเข้าฝั่ง แม่นางแซ่หลัวท่านนั้นได้หายตัวไปในคลื่นยักษ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็คิดว่านางได้ตายไปแล้ว”
การที่แม่นางแซ่หลัวจะตายไปเพราะจมน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับผู้ที่มีพลังวรยุทธที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ นางจะไปจมน้ำตายได้ยังไงกัน?
สีวู่หยาถามต่อ “แล้วมีอะไรอีกไหม?”
“แม่นางแซ่หลัวคนนั้นเป็นเหมือนกับตำนาน แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ชอบที่จะทำตัวโดดเด่นอะไร ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางอีกเลยนับตั้งแต่นั้น” หวางซื่อเจียตอบกลับ
“แล้วชื่อของนางล่ะ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังต่างก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ฮั๊วจงหยางที่ฟังมานานได้ออกความคิดเห็นขึ้น “อันที่จริงข้าคิดว่านางมีความคล้ายคลึงกับหอยสังข์ สาวน้อยคนนี้มาก”
แม้แต่สาวน้อยเองที่เข้าใจบทสนทนาก็ยังพยักหน้าตอบรับ “ใช่”
แม่นางที่ถูกพูดถึงเป็นบุคคลในตำนานเมื่อ 300 ปีก่อน แต่สาวน้อยคนนี้เป็นเพียงเด็กสาวอายุ 16 ปี น่าเสียดายที่ความแตกต่างในเรื่องของอายุมันมีมากเกินไป
หวางซื่อเจียพูดต่อ “เด็กสาวคนนี้มีความสามารถ ถ้าหากนางได้เริ่มฝึกฝนตน ข้าแน่ใจเลยว่านางจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่”
ลู่โจวเองก็รู้สึกเหมือนกับหวางซื่อเจีย
สีวู่หยาที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดโค้งคำนับก่อนจะพูดกับลู่โจว “ท่านอาจารย์ ข้าจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างตามหาแม่นางแซ่หลัวให้ได้ ไม่ว่านางจะเป็นหรือจะตาย ข้าจะต้องหาข้อมูลมาบอกท่านแน่”
“ดี” ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เมื่อถึงตอนนี้มันก็สายมากแล้ว มันถึงเวลาที่ลู่โจวจะไปสักที เมื่อลู่โจวจะหันหลังกลับ ในตอนนั้นหวางซื่อเจียที่ดูเหมือนจะลังเลก็ได้พูดขึ้น “ช้าก่อนพี่จี!”
“มีอะไร?”
“ถ้าหากท่านพอจะมีเวลา ท่านช่วยไปเยี่ยมสำนักเผิงไหลของข้าในฐานะแขกจะได้ไหม?” หวางซื่อเจียถามออกมาตรงๆ
เป็นเวลานานแล้วที่ลู่โจวไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเกาะเผิงไหล เกาะเผิงไหลมักจะถูกเรียกว่าเป็นเกาะที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นสถานที่อันรุ่งโรจน์ที่ผลิตเหล่าผู้ฝึกยุทธผู้มีพรสวรรค์มามากมายหลายคน
น่าเสียดายที่ลู่โจวยังมีเรื่องที่ต้องสะสาง ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ “สำนักเผิงไหลไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก การที่เจ้าเกาะอย่างเจ้าเดินทางมาที่มณฑลจิงเช่นนี้ เจ้ากำลังจะบอกว่าเกาะที่เจ้าอยู่มันไม่ใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าพอใจอย่างงั้นสินะ?”
หวางซื่อเจียที่ฟังแบบนั้นผงะ “พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น จริงๆ แล้วพวกเราไม่...”
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ
ลู่โจวโบกมือก่อนจะพูดต่อ “ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี อย่างได้โลภในสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้า”
หวางซื่อเจียที่ได้ฟังแบบนั้นไม่กล้าตอบโต้ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำพี่จี”
ใครจะไปกล้าพูดตอบโต้ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?
สีวู่หยารู้สึกโล่งใจ นับตั้งแต่ที่หวางซื่อเจียปรากฏตัว ตัวเขาก็รู้สึกกังวลถึงความโลภมากที่ชายคนนี้มีมากที่สุด จะเกิดอะไรขึ้นกันถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่และสำนักอเวจีไม่อาจจะตอบสนองความต้องการของชายคนนี้ได้ แต่ก็เพราะคำพูดของผู้ที่เป็นอาจารย์ของสีวู่หยาทำให้เรื่องแบบนี้ถูกยับยั้งไว้ได้ ไม่ผิดที่คนเราจะทะเยอทะยาน เพียงแต่ว่าผู้ที่ทะเยอทะยานจะต้องมีความยับยั้งชั่งใจอยู่ด้วย
...
หลังจากที่ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ ลู่โจวก็ได้สำรวจรอบตัว
สีวู่หยาเดินตามออกมาก่อนจะพูดขึ้น “ที่แห่งนี้เป็นเพียงสาขาย่อยเท่านั้น เพราะแบบนั้นที่นี่จึงถูกล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก”
“ไม่เป็นไร ถ้าหากมีอะไรข้าจะกลับมาที่นี่อีก”
“ติ้ง สั่งสอนยู่เฉิงไห่สำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”
“ข้าและสำนักอเวจียินดีต้อนรับท่านอาจารย์เสมอ” สีวู่หยาตอบกลับ
“ติ้ง สั่งสอนยู่เฉิงไห่สำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”
ทั้งสองคนใช้เวลาพูดคุยกับชั่วครู่หนึ่งก่อนที่ลู่โจวจะตัดสินใจเรียกวิซซาร์ด
ธิดาหอยสังข์และลู่โจวต่างก็กระโดดขึ้นหลังของวิซซาร์ด ท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่ก็ได้จากไป
สีวู่หยาที่เห็นอาจารย์จากไปเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าเช่นกัน
ฮั๊วจงหยางที่ตามออกมาคุกเข่าในทันที “ท่านสีวู่หยา ได้โปรดลงโทษข้าสถานหนักด้วย เป็นข้าเองที่ไร้ความสามารถ! ถ้าหากข้ายังไม่ถูกลงโทษสถานหนักข้าก็คงจะรู้สึกผิดแบบนี้ตลอดไป!”
สีวู่หยาถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัว “การลงโทษเป็นสิ่งที่จำเป็นก็จริง...แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา การต่อสู้เพื่อชิงมณฑลจิงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เจ้าจงชดใช้ความผิดด้วยความดีความชอบซะเถอะ”
ฮั๊วจงหยางที่ได้ฟังแบบนั้นตอบรับ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำให้ดีที่สุด”
สีวู่หยามองไปที่หวางซื่อเจีย “ผู้อาวุโสหวาง ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว...ทำไมท่านไม่พักค้างคืนที่สำนักย่อยแห่งนี้ล่ะ?”
“ไม่เป็นไร” หวางซื่อเจียได้นำพาเหล่าสาวเตรียมตัวจากไป
เมื่อทุกคนได้จากไปสีวู่หยาก็เดินเข้ามายังห้องของยู่เฉิงไห่
สีวู่หยาที่ยืนอยู่นอกห้องได้เรียกผู้เป็นศิษย์พี่ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ออกไปแล้วล่ะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบสนองจากภายในห้อง
“ศิษย์พี่ใหญ่?”
ไม่มีการตอบรับเช่นเดิม
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ไปแล้ว ข้าพูดความจริง”
สีวู่หยาพบว่าเรื่องนี้มันแปลก ตัวเขาไม่ได้พบปัญหาอะไรเมื่อตรวจสอบร่างกายของยู่เฉิงไห่ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์ได้คลายผนึกพลังวรยุทธของเขาเอาไว้แล้ว ยู่เฉิงไห่ก็คงจะฟื้นตัวได้แล้ว
ในขณะที่สีวู่หยากำลังรู้สึกงุนงง ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากด้านบน “บอกยู่เฉิงไห่ซะ ข้าจะจดจำสิ่งที่เขาอ้างถึงชื่อศาลาปีศาจลอยฟ้าเอาไว้”
“ติ้ง สั่งสอนยู่เฉิงไห่สำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”
สีวู่หยาตัวสั่น ตัวเขาเงยหน้าขึ้นไปในทันที สีวู่หยาเหลือบไปเห็นวิซซาร์ดที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า “ครับ ท่านอาจารย์”
สาวน้อยที่มากับลู่โจวบัดนี้นั่งอยู่บนด้านหน้าของตัวเขา สาวน้อยกำลังนั่งอยู่บนวิซซาร์ด
การเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาจารย์เป็นสิ่งที่ใช่สิ่งที่จะสามารถคาดเดาได้เลย
เมื่อสีวู่หยาเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง บัดนี้วิซซาร์ดก็ได้หายตัวไปสุดขอบฟ้าแล้ว ตัวเขาได้หันไปมองห้องที่ผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ ในตอนนี้มันเงียบราวกับสุสาน สีวู่หยาครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ใหญ่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ...” หลังจากที่พูดเสร็จสีวู่หยาก็ได้เดินจากไป
...
ภายในห้องที่มืดสนิท
ยู่เฉิงไห่ลืมตาขึ้นหลังจากที่สีวู่หยาจากไป ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่มองไปที่เพดานห้อง ยู่เฉิงไห่ไม่คิดที่จะลุกขึ้น ตัวเขาได้นอนหลับไปทั้งแบบนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นสีวู่หยาเดินมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ตัวเขาโค้งคำนับก่อนจะพูดขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่”
ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ‘นี่มันจะสายเกินไปแล้ว’ สีวู่หยารีบพูด “ศิษย์พี่ใหญ่...ข้าได้เตรียมแผนการทำลายมณฑลจิงภายในเจ็ดวันได้แล้ว”
เอี๊ยด!
ประตูที่อยู่ด้านหน้ายู่เฉิงไห่ถูกเปิดออกมาด้วยพลังลมปราณ
ยู่เฉิงไห่เดินออกมาในขณะที่เอามือไขว้หลัง
“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อวานท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ข้าฝัน มันเป็นฝันอันยาวนานจริงๆ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ” ยู่เฉิงไห่ที่พูดจบก็ได้เหยียดแขนขา
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย