ตอนที่ 41 เทพต้นโอ๊กแห่งลานต้นโอ๊ก
ตอนที่ 41 เทพต้นโอ๊กแห่งลานต้นโอ๊ก
กายยืนอยู่หน้าร้านสักพัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเดินไปเคาะประตู ชายอายุประมาณ 35 เดินออกมาเปิดประตูให้กับเขา ชายคนนั้นมองกายตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามออกมา
“ต้องการอะไร? ถ้าข้าติดเงินเจ้า ข้าจำไม่ได้หรอกกลับไปเถอะ” ชายขี้เมาพูดด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย เหมือนคนพึ่งสร่างเมามา
“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าขายร้านแห่งนี้ จึงมาสอบถามดู”
“ขายร้าน...ใช่ ๆ ท่านมาซื้อร้านนี้ใช่ไหม แน่นอนเข้ามาข้างในก่อนสิ” ชายขี้เมารีบเชิญกายเข้ามาในร้าน
กายเดินตามเข้าไปสิ่งแรกที่เจอคือกลิ่นอับของที่แห่งนี้ที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานานพอสมควร ชายขี้เมารีบไปเปิดหน้าต่างทั้งสองที่อยู่ข้างประตู เมื่ออากาศถ่ายเทบรรยากาศในร้านก็ดีขึ้นมาก
“ท่านจะซื้อมันเลยไหม ข้าขายไม่แพง แค่ 2,300 เหรียญทอง”
กายยังไม่พูดอะไร แต่เขาเดินดูรอบ ๆ แทน ของภายในร้านแทบไม่มีอะไรเหลือ เป็นเพียงห้องโล่ง ๆ เท่านั้น ยังดีที่มีโต๊ะเคาน์เตอร์ยังอยู่อีกชิ้นและเก้าอี้อีกตัว
“ข้าขอดูโรงตีเหล็กหลังร้านได้ไหม”
แม้ชายขี้เมาจะเห็นว่ากายไม่ตอบที่ตัวเองถาม แต่พอเห็นว่ากายดูจะสนใจร้านก็กระตือรือร้นพากายไปดูโรงตีเหล็กหลังร้าน “แน่นอน ตามมาทางนี้เลยมันอยู่หลังประตูนี้”
ชายขี้เมาเปิดประตูที่เชื่อมกับโรงตีเหล็ก กายมองไปที่โรงตีเหล็กที่อยู่ในสภาพดูดีมาก ดูเหมือนชายคนนี้ยังคงฉลาดอยู่ เขารู้สึกพอใจมาก อย่างน้อยมันก็ดูดีไม่ต่างจากที่โรงตีเหล็กไร้เวลา ดูแล้วเจ้าของเก่าคงจะรักษาที่นี่ไว้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายถึงชายขี้เมาคนนี้หรอก
กายยืนมือไปสัมผัสกับทั่งเหล็กเย็น ๆ มันมีฝุ่นจากผงเหล็กจับตัวอยู่ ดูเหมือนจะไม่มีใครใช้มันมานานแล้ว เขาราวกับสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่อยู่ภายในที่แห่งนี้มันทำให้กายรู้สึกคันไม้คันมือ อยากจะลงมือตีดาบที่นี่ซะจริง
ด้านในสุดยังมีเตาหลอมเหล็กขนาดกลาง มันเกินกว่ากายจะคิดไว้ ซึ่งเตาแบบนี้สามารถใช้ได้จนถึงระดับปรมาจารย์ช่างโลหะได้สบาย ไม่ต้องพูดถึงระดับกาย มันมากเกินพอ
ในนี้ยังมีค้อน ครีม เบ้าหลอม และอื่น ๆ เท่าที่ช่างโลหะคนหนึ่งจะจินตนาการถึง
“เป็นไงบ้างที่นี่มีอุปกรณ์ครบครัน ท่านสามารถลงมืองานได้ทันที ไม่มีที่ไหนขายให้ถูกแล้วคุ้มค่าขนาดนี้ ท่านถูกใจหรือไม่” ชายขี้เมาพูดโน้มน้าวกายไม่หยุด ดูเหมือนเขาจะรีบให้กายตัดสินใจ ดูท่าจะร้อนเงินน่าดู
“แน่นอน ข้าถูกใจมาก แต่ราคามันแพงไปสักหน่อยเพราะของในร้านแทบไม่มีอะไรเหลือเลย”
ชายขี้เมาได้ยินกายพูดแบบนั้นก็ไม่ค่อยพอใจ กายกำลังจะต่อราคา
“2,150 เหรียญทอง” ชายขี้เมาบอกกับกาย
“โชคดี” กายหันหลังและเดินออกมา แต่ความเร็วในการเดินของเขาช้ามาก
ชายขี้เมาเห็นว่ากายกำลังเดินออกไปจริง ๆ มือที่สั่นเทาของชายขี้เมาก็สั่นไม่หยุด เขารีบถามกายทันที
“ก็ได้ เจ้าให้เท่าไหร่”
ตอนนี้เขาไม่พูดสุภาพอีกแล้ว
“สองพันเหรียญทอง” กายพูดพร้อมกับหยิบสัญญาเงินสดออกมาสะบัดไปมา ชายขี้เมามองตามเงินในมือของกาย มือของเขาเหมือนจะเลือนไปจับของบางอย่าง
กายเห็นแบบนั้นก็ยิ้มและบอก “ข้าเป็นนักรบฝึกหัด จะจัดการคนธรรมดาคงไม่อยาก”
ชายขี้เมาได้ยินก็หยุดการกระทำกลืนน้ำลาย เขาไม่กล้าเล่นลูกไม้อีก แต่สายตาก็ยังคงมองเงินอยู่ ชายขี้เมายืนมือไปจับสัญญาเงินสด กายดึงมือกลับในทันที
“ตกลงขายไม่ขาย”
“ขาย”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“จริงสิโทษที” ชายขี้เมาวิ่งกลับไปยังชั้นสองของร้านซึ่งเป็นส่วนของห้องนอน เขาค้นหนของอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบม้วนหนังสัตว์บางอย่างและวิ่งลงมา
“นี่ใบกรรมสิทธิ์ร้าน” ชายขี้เมารีบขีดคาดชื่อของตัวเองออกก่อนจะปั๊มลายนิ้วมือลงไป เป็นการยืนยันว่าเขาเป็นคนขีดค่าชื่อออกเอง
ตอนนี้ชายขี้เมาไม่มีสิทธิ์อะไรในร้านและโรงตีเหล็กแห่งนี้อีกแล้ว
กายและชายขี้เมาแลกของกัน
หลังจากที่ได้สัญญาเงินสด 2,000 เหรียญทองไปชายขี้เมาก็รีบเก็บของออกไป สำหรับเงา 2,000 เหรียญทองแล้ว NPC คนนั้นจะเอาไปกินเหล้า หรือเล่นการพนันจนหมด กายก็ไม่สน แต่ถ้าชายคนนั้นคิดได้เงินนั้นพอจะให้เขาอยู่สุขสบายไปอีกนาน
ตอนนี้บ้านและโรงตีเหล็กแห่งนี้เป็นของเขาแล้ว
กายเดินสำรวจอยู่สักพัก ทั้งยังขึ้นไปที่ชั้นสองมันมีห้องนอนและห้องว่างเก่า ๆ อีกห้องที่ไม่มีอะไร
“ที่นี่คงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่ซะแล้ว”
กายปิดประตูและหน้าต่างร้านก่อนจะเดินออกมาหยุดมองหน้าร้านที่ร้านไม่มีชื่อร้าน คงต้องกลับไปคิดชื่อร้านมาใหม่ด้วย
หลังจากกลับมาที่สถาบันศาสตร์นักรบกายก็ทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนวันนี้เขาไปมาหลายที่พอสมควร แต่ผ่านไปมานานก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
กายลุกขึ้นไปเปิดประตูก็ต้องแปลกใจที่เห็นสองสาว มีอาและลิลี่มาพร้อมกัน ทั้งสองมีดาบและอาวุธของตัวเองมาด้วย
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ไปฝึกซ้อมกัน”
“???”
...................
ทั้งสามมาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นเนินเขาเดียวกับที่กายและมีอามาซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ ครั้งนี้มีลิลี่มาด้วย
สายลมพัดผ่านทุ่งหญ้า ช่วงนี้เป็นหน้าร้อนหญ้าส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวไปแล้ว แต่ที่นี่กลับยังคงมีสีเขียวอยู่ รอบตัวของพวกเขาทั้งสาม มีสายลมที่พัดมาตลอดเวลา เสียงของหญ้ากระทบกันเบา ๆ ผสมผสานกับเสียงของใบต้นโอ๊กที่ยืนต้นตระหง่านอยู่กลางเนินดิน
ราวกับเสียงเพลงของธรรมชาติในยามเย็น
พวกเขาไม่ได้รู้สึกร้อนมากนัก แต่กลับรู้สึกอิสระมากต่างกลับภายในสถาบันศาตร์นักรบมากนัก
“เรามากันหลายครั้งแล้ว ที่นี่มีชื่อเรียกไหม” มีอาถามด้วยความสงสัย ขณะที่เดินเอาถุงน้ำของตัวเองไปวางที่ใต้ต้นไม้
“ไม่น่าจะมี” กายตอบไปตามตรง เขารู้สึกเย็นสบายดีหลังเข้ามายืนใต้ต้นโอ๊ก
“มันควรจะมีชื่อ” มีอาคิดสักพักก่อนจะบอก “งั้นเรียกมันว่า ลานต้นโอ๊ก เพราะที่นี่มีต้นโอ๊กอยู่”
ลิลี่มองดูต้นโอ๊กด้านหน้าก็พูดขึ้นมา “ต้นโอ๊กนี่ราวกับเทพที่กางปีกลงมาจากท้องฟ้าเลย ฉันว่าไหน ๆ ก็ตั้งชื่อที่นี่วานลานต้นโอ๊กแล้ว มันก็ควรจะมีชื่อเรียกบ้าง”
“เรียกมันว่าเทพต้นโอ๊กเป็นไง” กายกล่าว
ทั้งสองคนคิดตามชื่อนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะต้นโอ๊กต้นนี้ก็เหมือนกับเทพที่คอยคุมครองที่นี่
มีอาวางของเสร็จเธอก็หยิบดาบเดซี่ออกมา ก่อนจะเดินไปยังที่กว้าง ๆ กายเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าได้เวลาแล้ว เวลาที่เขาจะโดนซ้อม
สองสามนาทีแรกกายยังรับมือมีอาได้ แต่พอผ่านไปกายเริ่มจับดาบไม่ไหว พลังของมีอามากกว่าเขา พอโจมตีมาแต่ละทีเล่นเอามือของกายชาไปเลย
ในตอนที่ทั้งสองสู้กัน มีอาก็ถามขึ้นมา “อีกสองวันถึงการทดสอบแล้ว เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
“ทดสอบครั้งนี้มันเป็นแบบไหน เจ้ามีพอมีข้อมูลไหม” กายถาม ขณะที่ยกดาบขึ้นมากัน
“ในแต่ละครั้งหัวข้อการทดสอบจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทดสอบความอึดและการเอาตัวรอดเป็นหลัก” มีอาใช้ดาบฟันไปที่กาย
“แล้วทำไมไม่ทดสอบต่อสู้ละ แบบนี้จะได้รู้ว่าใครเก่งไม่เก่งไม่ใส่เหรอ”
มีอาได้ยินดังนั้นก็เตะเข้าไปที่ท้องของกาย เขาหงายหลังล้มลง
กายทิ้งตัวลงนั่งไม่ลุกขึ้นมาอีก
มีอาเดินเข้ามาหยุดตรงหน้ากาย และก็นั่งลงข้าง ๆ เขา
“ใครก็สู้ได้ แต่ทางสถาบันต้องการคนที่เอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ผู้เหลือรอดมีค่ามากกว่าคนที่สู้เป็นแต่ตายก่อนคนอื่น แต่ก็ใช่จะไม่มีการต่อสู้ เพราะการสู้ และหนี ทั้งสองก็เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการเอาตัวรอด เจ้าเข้าใจใช่ไหม” มีอาอธิบายให้กายฟัง
พอได้ฟังแบบนั้น กายก็แทบจะเปลี่ยนมุมมองการต่อสู้ไปเลย มันเหมือนกับแดนสงคราม ใครที่รอดก็จะชนะ ดูท่าแล้วทั้งโลกราชัน และ แดนสงครามก็ไม่ต่างกันมากนัก
หลังจากมีอาเห็นว่ากายดูจะเหนื่อยแล้ว เธอก็หันไปซ้อมกับลิลี่แทน กายมองทั้งสองคนด้วยความนับถือ มีอาใช้ดาบเดซี่ได้สวยงามและดุดันในเวลาเดียวกัน ส่วนลิลี่นั้นน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า เธอสามารถหลบการโจมตีของมีอาได้ชนิดที่ว่ามีอาก็ยังตามความเร็วของเธอไม่ทัน
“ทั้งสองคนเป็นระดับ นักรบฝึกหัดขั้น 2 สินะ”
ตกเย็นท้องฟ้ามืดเกือบหมดแล้ว กาย มีอาและลิลี่ก็เดินทางกลับไปที่สถาบันศาสตร์นักรบ แต่ก่อนแยกกันไป มีอาก็แนะนำให้กายไปหาซื้อชุดเกราะ อาวุธ และอาหารแห้งมาใช้ในการทดสอบ อย่างน้อยก็จะได้มีเครื่องป้องกันดีกว่าไปตัวเปล่า ๆ แบบนี้
กายยิ้มแบบอาย ๆ พอถูกว่าเรื่องนี้ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่มันก็จริงที่เขาควรจะมีชุดเกราะ พรุ่งนี้ยังมีเวลาอีกหนึ่งวันกายว่าจะไปลองหาชุดเกราะดู