ตอนที่แล้วตอนที่ 1652 ศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1654 ปลดผนึกป้ายคำสั่งจักรพรรดิดารา

ตอนที่ 1653 โบยบินก่อกำเนิดขึ้นใหม่เป็นดั่งวิหคหงส์


ตอนที่ 1653 โบยบินก่อกำเนิดขึ้นใหม่เป็นดั่งวิหคหงส์

ซื่อฮั่วหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน เส้นผมสีแดงซ่านบนศีรษะเริงระบำโดยได้โดยไร้ซึ่งสายลมโชย ก่อเกิดเป็นพลังสภาวะอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา เปี่ยมไปด้วยความทระนง พร้อมทั้งชี้ไปยังทางด้านของซูเหยียน แล้วหันหลังของเขาเข้าใส่เว่ยเฟิงแล้วกล่าว: “เดรัจฉานน้อย นังหนูผู้นี้หลังจากนี้ก็เป็นของเจ้าแล้ว จะเป็นตายไร้ดีก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเองแล้ว!”

กระนั้นเขาก็ยังคงหาได้พอใจในชัยชนะที่ได้รับมาไม่ อีกทั้งยังคิดที่จะกระตุ้นโทสะของเบื้องสูงหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น เพื่อบีบให้พวกเขาเป็นฝ่ายลงมือกันก่อน

แต่คนเหล่านั้นของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกลับหาได้หุนหันพล่านแล่นกันถึงเพียงนั้นไม่ เพียงแต่ใช้สีหน้าที่เศร้าสร้อยเหม่อมองมาที่เขา แม้กระทั่งลั่วหลีก็ยังหาได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

นี่ได้ทำให้ซื่อฮั่วรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกดูแคลนขึ้นในเวลาเดียวกัน

ทั้งวิธีการและการแสดงอารมณ์ของคนเหล่านี้จากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักใหญ่มากคุณธรรม ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสื่อมเสียกันเกินไปแล้ว เขาที่เชื่อว่าจะสามารถใช้เรื่องเช่นนี้ วันหน้าจะทำให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นไม่ได้น่าหวาดกลัวมากถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว!

เว่ยเฟิงเพียงหัวเราะหึหึออกมาอย่างเย็นชา ความเจ็บปวดที่มาจากสองข้างแก้มได้ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา และกล่าวออกมาด้วยคำพูดคลุมเคลือ : “ศิษย์มีหรือที่จะทั้งฆ่าทั้งแกงนางได้กัน ศิษย์เป็นห่วงเป็นใยนางถึงเพียงนี้ ศิษย์ยังคงต้องขอบพระคุณท่านผู้นำผู้อาวุโส ผู้นำผู้อาวุโสเจิดจรัสนับหมื่นแส ศิษย์ย่อมรู้สึกตื้นตันเป็นล้นพ้นยิ่งนัก!”

เว่ยเฟิงถึงแม้จะเป็นคนขี้ขลาดขวัญอ่อน แต่เรื่องอย่างการใส่สีตีไข่ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว วาจาสองแง่สองง่ามที่กล่าวออกมายังถึงกับทำให้ซื่อฮั่วเบิกบานจนคลายโทสะลง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าเจ้าหนูที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ก็มีเค้าความใช้ได้อยู่บ้างแล้ว

“ดี!” หลัวไห่ยกมือขึ้นฟาดออกไปอย่างแผ่วเบา บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มเฉยชาอยู่ : “ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักบัดนี้ต้องของคารวะทุกท่านด้วยแล้ว หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองสำนักจะสามารถปรองดองอยู่กันได้อย่างกลมเกลียว วันหน้าหากมีวาสนาต่อกัน ก็ขอให้ไปเยือนเป็นแขกเกริกที่สำนักใหญ่บนดาววารีสีชาดข้าได้แล้ว การจะมัวแต่มาเอาแต่ฆ่าแกงกันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีกันอยู่แล้ว”

“พี่หลัวไห่ หากว่าไม่มีเรื่องใดแล้วละก็ ยังคงขอเชิญท่านไปด้วยดื่มสุรามงคลที่นิกายแสงอัคคีกันเป็นอย่างไร?” ซื่อฮั่วหันไปมองเขา แล้วกล่าวเชื้อเชิญ

หลัวไห่ส่ายหน้าเล็กน้อย : “ไม่แล้ว ครั้งนี้ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักออกมาก็เป็นนานมากแล้ว คงจะได้เวลาที่จะกลับไปดาวชุยเว่ยแล้ว”

หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกคนล้วนแต่แสดงสีหน้าชาด้าน หันไปมองซื่อฮั่วที่แสดงท่าทีดังผู้ชนะ แสดงความโอหังไม่หยุดไม่หย่อน แต่ก็ไม่กล้าที่จะกล่าววาจาสาปแช่ง แม้แต่ลั่วหลีเองก็เอาแต่หลับตาลงโดยตลอด แทบจะไม่มองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่

“หยางไค เจ้าก็คงตามข้าไปได้แล้ว!” หลัวไห่หันไปมองหยางไค ภายในน้ำเสียงยังแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายที่ไม่ยอมปล่อยให้ต่อต้านเอาไว้

เรื่องนี้จะไม่จบนะ ช่วยผู้แปลหน่อยนะ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ

หยางไคเพียงหัวเราะอย่างเย็นชา แทบจะไม่คิดจะหันไปมองเขาแม้สักครา สาดแววตาเป็นประกายหันไปกวาดตามองผู้คนของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นไปกันทีละคน

เป็นธรรมดาที่หากเขามองไปที่ผู้ใด ก็ล้วนแต่ต้องหลบสายตาด้วยความรู้สึกผิด และทอสีหน้าเศร้ามัวหมองออกมา

แม้แต่หรานอวิ่นถิ่งเองก็ยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ กระนั้นไม่นานนัก นางก็ราวกับรู้สึกอะไรขึ้นมาได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นพลังสภาวะที่แข็งกร้าวและรุนแรงได้กล่าวออกมา: “นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่อาจโทษผู้ใดได้อยู่แล้ว!”

หยางไคยิ้มอย่างเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม

จากนั้นก็ตบเข้าไปที่หัวไหล่ของซูเหยียนอย่างแผ่วเบา หยางไคก็ได้กล่าวขึ้นว่า : “ศิษย์พี่ ยังคงไปแสดงการคารวะต่อผู้ที่เจ้าเรียกพวกเขาว่าผู้อาวุโสเถอะ นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าและพวกนางจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกันอีก!”

“ได้ ข้าจะทำตามเจ้า” ซูเหยียนก็ได้พยักหน้าอย่างว่าง่าย พร้อมกับค่อยๆ ย่างก้าวเดินมาจนถึงเบื้องหน้าผู้คนของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น แสดงการคารวะอย่างลึกซึ้ง เมื่อในขณะที่เงยหน้าขึ้น ก็ได้หันไปเหม่อมองหรานอวิ่นถิ่งแล้วกล่าว : “ศิษย์ยังคงขอเรียกท่านว่าอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่คอยอบรมดูแลสั่งสอนโดยมีบ่ายเบี่ยงมาตลอดหลายปี ขอให้ท่านอาจารย์รักษาตัวด้วย!”

แม้หรานอวิ่นถิ่งจะอ้าปาก แต่ก็คล้ายกับกล่าวอะไรออกมามิได้ แต่ในท้ายที่สุดก็ยังกวาดสาดตามองเข้ามา

ซูเหยียนคล้ายกับได้สลัดหลุดสิ่งที่เรียกว่าบ่วงโซ่ไปก็มิปาน พร้อมกับหันกายกลับไปอยู่ที่ข้างกายหยางไค

“เจ้าหนู อย่าได้พยศดื้อดึงให้มันมากนัก เจ้าเองติดตามพี่หลัวไห่ไปอย่างว่าง่าย ในส่วนนังหนูที่อยู่ข้างกายนางนี้ของเจ้า นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป นางก็จะเป็นคนของนิกายแสงอัคคีข้าแล้ว” ซื่อฮั่วเปล่งเสียงดังเหอะอย่างเย็นชาและกล่าวออกมา

หยางไคและซูเหยียนสบตามองกัน ทันใดนั้นก็ได้ยิ้มขึ้นในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มของทั้งสองส่องสว่างเป็นประกายกลบอบอุ่นกลายเป็นบรรยากาศที่สลายความเย็นเยือกที่อยู่ภายในตำหนักน้ำแข็ง

“คิดที่จะพาศิษย์พี่ไป ยังคงต้องถามข้าก่อน!” ทันใดนั้นหยางไคก็ได้ตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

และในเวลาเดียวกัน ซูเหยียนก็ได้เปล่งเสียงดังก้องออกมา : “ข้าจะร่วมเป็นร่วมตายไปกับศิษย์น้องเอง!”

ท่วงท่าของทั้งสองทันใดนั้นพลันเกิดการปะทุขึ้น ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้เกิดเป็นแรงระเบิดออกมา

ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของคนเพียงคนหนึ่งที่เจิดจรัสได้เหมือนดั่งธาตุหยาง ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของคนอีกหนึ่งคนกลับเย็นเยือกดุจเหมันต์น้ำแข็ง

ความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของหยางไคกับซูเหยียนราวกับว่าได้เกิดเป็นเสียงสะท้อนอะไรขึ้นก็มิปาน จนเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือน ได้เกิดการผสมผสานกันขึ้นมา

ยิ่งเมื่อเกิดเป็นขุมพลังที่ระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ก็พลันเกิดเป็นความปลอดโปร่งขึ้นอีกครา

ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หันไปมองเหม่อมองบุรุษสตรีคู่หนึ่งที่ยืนเคียงคู่กันด้วยอาการแตกตื่น

ภายในแววตาของหลัวไห่กลับยิ่งทอเป็นประกาย พร้อมกับความประหลาดใจที่ผุดขึ้นมาเป็นสาย ราวกับได้พบเห็นในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ พร้อมกับละสายตาหันไปมองลั่วหลีที่ดูเหมือนจะยิ่งเบิ่งตากว้างจนค้างอยู่ในขณะนี้ พร้อมกับแววตาที่ลึกล้ำมากเป็นพิเศษสาดเป็นประกายแลบผ่านออกมา

ซื่อฮั่วเปล่งเสียงดังเหอะออกมา สามสุดยอดผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันถึงกับแสดงอาการแตกตื่นตกใจกันออกมา

เมื่อได้ละสายตาหันไปมอง หยางไคและซูเหยียนทั้งสองที่ราวกับได้กลายเป็นคนคนเดียวกัน ด้วยพลังการบ่มเพาะของขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองและขอบเขตหวนคืนขั้นที่หนึ่งได้ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประหลาด จนแทบจะหาได้เกิดความขัดแย้งกันแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งได้ทะลวงจนเข้าสู่จุดสูงสุดขอบเขตหวนคืนขึ้นที่สาม

“น่าสนใจดี นี่ก็คือเคล็ดวิชาผสานลมปราณอย่างงั้นหรือ?” หลัวไห่ขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขาได้รู้จักกับสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง เพียงแค่ชั่ววูบเดียวก็สามารถที่จะมองออกมาว่าหยางไคและซูเหยียนทั้งสองได้อยู่ในขั้นที่จิตใจเชื่อมผสานรวมกันมาตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นด้วยลมปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงย่อมไม่สามารถที่จะผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบจนถึงขั้นนี้ได้อย่างแน่นอน จนนำไปสู่การทะลวงพลังขอบเขตที่เกิดขึ้น

“บัดซบ!” ซื่อฮั่วตะโกนกู่ร้องขึ้นเสียงดังก้องกังวาน

ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ซูเหยียนก็ยังเป็นเพียงแค่สตรีของเว่ยเฟิงไปแล้ว แต่สตรีนางนี้ถึงกับไม่ทราบว่าได้ไปผสานลมปราณกับหยางไคได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแล้ว นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับการสร้างมลทินให้แก่นิกายแสงอัคคีกันแล้ว

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะเป็นคนที่บ่มเพาะพลังภายในหยกน้ำแข็ง ล้วนแล้วแต่ก็ไร้ที่ติได้ถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ? แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นที่เบื้องหน้านี้สมควรที่จะอธิบายออกมาอย่างไรกันดี?

เสียงของซื่อฮั่วพึ่งจะดังจนสิ้น ทันใดนั้นภายในตำหนักน้ำแข็งก็ได้เกิดเสียงดังสนั่นกระทบโสตขึ้นมา นั่นกลับถือเป็นเสียงดังทุ้มต่ำได้อย่างน่าประหลาดอย่างไร้ที่เปรียบ ราวกับสามารถทะลวงผ่านจิตวิญญาณไปได้ในทันที ในระหว่างที่เสียงนั้นดังขึ้น ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ รวมไปจนถึงขอบเขตกำเนิดราชันทั้งสามท่านเองก็ด้วย ล้วนแต่ไม่อาจสงบจิตสงบใจเอาไว้ได้

เหล่าผู้อาวุโสเหล่านั้นของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ยิ่งถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าเดิม

“นี่มัน……” หลัวไห่เองก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว อีกทั้งยังทอแววตาสั่นคลอนเหม่อมองไปที่หยางไค จับจ้องมองไปยังความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่บนร่างของเขา

พลังสีเหลืองทองขุมหนึ่งได้ปะทุขึ้นมาจากภายในร่างของหยางไคอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้ขดอยู่เหนือศีรษะของเขา จนเมื่อเกิดเป็นสภาพที่มั่นคงก็ได้กลายเป็นเงามายาสีเหลืองทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง

เงามายานั้นมีความยาวที่มากถึงสามสิบกว่าจั้ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประกายแสงสีทองอร่าม ที่แผ่นเกล็ดที่แข็งแกร่งดุจดั่งเป็นสิ่งที่มีจุดเด่นในการป้องกันที่สุดในใต้หล้า สามารถต้านทานการโจมตีที่อย่างเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง

ลูกตาสองดวงที่มีขนาดไม่ต่างอะไรไปจากห้องหับเล็กๆ สองห้องก็ได้เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจอย่างมหาศาล จับจ้องมองสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยความเย็นชา เปรียบเสมือนมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ที่คอยเฝ้ามองทุกสรรพชีวิตเอาไว้

การที่สบประสานดวงตาเข้ากับมัน ทุกผู้คนก็ล้วนแต่บังเกิดจิตขลาดเขลากันจนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเม็ดทราย

“จักรพรรดิมังกร!” ดวงตาของหลัวไห่ถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมา แม้แต่น้ำเสียงก็ยังแปรเปลี่ยนไป

แววตาที่ร้อนระอุของเขาได้มองไปที่เงามายาสีทองคำนั้น เสมือนกับว่าได้พบเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะปรากฏขึ้นอยู่บนโลกหล้าใบนี้ก็มิปาน

ซื่อฮั่วถึงกับตะลึงยืนนิ่งอยู่กับที่ สาดทอแววตาดุจเปลวเพลิงคู่หนึ่งกระโดดโลดเต้นไปมา ในใจพลันเกิดเป็นความร้อนรนที่ไม่แน่นิ่ง

แม้แต่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่า ภายในกายของหยางไคจะซุกซ่อนสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่น่าแตกตื่นเช่นนี้เอาไว้!

การที่หลัวไห่ไล่ล่าหยางไคมาจนถึงดาววารีสีชาด แท้จริงแล้วก็หมายปองสิ่งนี้เอาไว้? ไม่ถูกต้อง จากสีหน้าของหลัวไห่ เขาราวกกับพึ่งจะทราบถึงการดำรงอยู่ของสิ่งนี้เท่านั้น

เจ้าหนูผู้นี้ยังมีความลับอื่นซุกซ่อนไว้ในตัวอีกอย่างงั้นหรือ?

ภายในความคิดของซื่อฮั่วยังคงครุ่นคิดไปมาไม่หยุด จนกระทั่งได้มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาอีกครั้ง

นี่กลับเป็นเสียงที่หาได้แข็งแกร่งเมื่ออย่างเสียงมังกรคำรามเมื่อครู่นี้ แต่กลับดังก้องกังวานอย่างไร้ที่เปรียบ เสมือนดั่งทะลุดาวดึงส์เก้าชั้นฟ้า ราวกับว่ายังสามารถสะท้านเทพยดาและพระพุทธองค์ได้เลย

เสียงที่ดังออกมาไล่เลี่ยกันนั้น ก็พลันเกิดเป็นลำแสงอันคมกล้าที่สาดออกมาจากภายในร่างกายของหยางไค เหินบินทะลวงมาจนถึงเหนือศีรษะของซูเหยียน เกิดเป็นเงามายาสีขาวนวลอันเรืองรองขึ้นมาอีกสาย

พรึบ……เงามายาสายนั้นได้กางปีกทั้งสองข้างออก เผยให้เห็นร่างกายที่ยาวกว่าสามสิบจั้งขานรับกับจักรพรรดิมังกร ความหนาวเหน็บจนถึงก้นบึ้งของจิตใจชนิดหนึ่ง ได้กล้ำกรายเข้ามาอย่างเฉียบพลัน ระหว่างฟ้าดินเกิดเป็นพลังสภาวะน้ำแข็งเหมันต์ที่ถูกปรับสภาพจนถึงจุดเยือกแข็งขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวที่พร้อมเพรียงกับซูเหยียน

สีหน้าของลั่วหลีในที่สุดก็พลันเปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งยังได้หันไปเงามายาขนาดยักษ์ที่อยู่เหนือศีรษะของซูเหยียน จนถึงกับหลุดปากโพล่งออกมาว่า: “วิหคเหมันต์!”

“อะไรนะ!” หลัวไห่ถึงกับตกอยู่ในอาการหน้าถอดสี ในครั้งนี้แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่สามารถเก็บอาการให้สงบและเยือกเย็นต่อไปได้อีกต่อไปแล้ว

จักรพรรดิมังกรวิหคเหมันต์ ล้วนแต่ถือเป็นวิญญาณอสูรบรรพกาลศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ที่เรียกได้ว่าหายสาบสูญมาเนิ่นนานแล้ว จวบจนถึงวันนี้ เขาก็ได้พบว่าได้อยู่ภายในร่างของหยางไคนี้เอง

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมังกรหรือวิหคเหมันต์จริงหรือไม่นั้น กระนั้นเงามายาทั้งสองสายนั้นก็ยังถือเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังอันมหาศาล ย่อมไม่อาจเป็นสิ่งแปลกปลอมกันได้แล้ว

และก็เป็นเช่นนี้ ที่เงามายาทั้งสองสายนี้ ล้วนแต่เปรียบเสมือนต้นกำเนิดที่ยังหลงเหลือมาจากเศษเสี้ยวของจักรพรรดิมังกรวิหคเหมันต์ที่สิ้นชีพไปแล้ว

ภายในกายของเจ้าหนูผู้นี้แท้จริงแล้วมีสมบัติอันยิ่งใหญ่เก็บซ่อนเอาไว้มากแค่ไหนกัน! หลัวไห่กำลังเหม่อมองไปที่หยางไค สาดแววตาเป็นประกายเร่าร้อน

ความร้อนระอุและความเย็นยะเยือกถึงกับแผ่ซ่านกระจายออกมา หยางไคและซูเหยียนยืนเคียงคู่ เกิดเป็นพลังสภาวะปกคลุมไปทั้งฟ้า

ประกายสีทองและประกายสีขาวได้พุ่งขึ้น ดุจดั่งเกิดเป็นกระบี่ยักษ์สองเล่มบินเคียงคู่กัน จนสามารถที่จะกรีดแยกฟ้าดินออกจากกัน ชั้นเมฆหมอกท่ามกลางผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นพลันถูกแยกออกเป็นสองเสี่ยง

คนของทั่วทั้งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นต่างก็ได้พบเห็นภาพที่น่าประหลาดนี้กันแล้ว อีกทั้งยังได้ยืนกันอยู่แต่เพียงที่เดิมกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่อาจทราบได้ว่าภายในสำนักแท้จริงแล้วเกิดเหตุแปรเปลี่ยนอะไรกันบ้าง

ตำหนักน้ำแข็ง ก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว พร้อมกับพลังสองขุมที่แตกต่างกันคนขั่ว แต่ในเวลาที่ระเบิดออกมากลับสามารถที่จะทำให้เกิดเป็นพลังที่ทัดเทียมกันได้ หุบเขาตำหนักน้ำแข็งแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่เคียงคู่กับของหฤทัยเยือกเย็นกลับต้องพังทลายลง ค่ายกลและเขตหวงห้ามที่อยู่ข้างเคียงเองก็ได้ถูกทำลายลงไปในพริบตา

ผู้อาวุโสทั้งสิบกว่าคนของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ได้แยกย้ายกันโคจรพลังกัน ต้านทานพลังสุดเยือกเย็นและร้อนระอุเพื่อมิให้ลุกลามเข้าสู่ภายในกาย

เว่ยเฟิงได้ถูกซื่อฮั่วคุ้มกันอยู่ทางด้านหลัง

ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ กลับมีแต่เพียงขอบเขตกำเนิดราชันทั้งสามท่านที่ยังสามารถเผชิญหน้ากับพลังสภาวะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เอาไว้ได้

หรานอวิ่นถิ่งถึงกับตะลึงลานไปแล้ว ไม่แม้แต่จะสามารถสู้หน้าซูเหยียนในตอนนี้ได้อีกต่อไป ถึงกับบังเกิดเป็นความเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้งสลักลึกอยู่ภายในจิตใจ

นางได้บอกกับหยางไคมาก่อนแล้วว่า ท้ายที่สุดหากซูเหยียนจะโบยบินก่อกำเนิดขึ้นใหม่เป็นดั่งวิหคหงส์ คนอย่างหยางไคเดิมก็มิใช่คนที่คู่ควรอะไรกับนางอยู่แล้ว

และบัดนี้ ซูเหยียนย่อมสามารถทำได้อยู่แล้ว เมื่อมีพลังต้นกำเนิดของวิหคเหมันต์สถิตร่าง นางก็จะสามารถกระตุ้นพลังอำนาจเหนือธรรมชาติของวิหคเหมันต์ นางก็เปรียบเสมือนได้แปรสภาพจนกลายเป็นวิหคหงส์ไปอย่างแท้จริง

แต่ทุกอย่างนี้ กลับเป็นสิ่งที่หยางไคได้ประทานมาให้

พลังต้นกำเนิดจากวิหคเหมันต์ เห็นได้ชัดว่าได้แผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างกายของหยางไค ถ่ายทอดเข้าสู่ภายในร่างกายของซูเหยียนได้อย่างหมดจดงดงามสมบูรณ์

แต่ในช่วงระยะเวลานี้ ที่พอจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่ มีพลังทัดเทียมกับวิหค เกรงว่าก็คงจะมีแต่เพียงจักรพรรดิมังกรแล้ว

หรานอวิ่นถิ่งได้เหม่อมองเงามายามังกรทองขนาดใหญ่นั้นที่อยู่เหนือหัวหยางไค ทำได้แต่เพียงฝืนยิ้มออกมาได้ครู่หนึ่ง จนเรียกได้ว่าแม้กระทั่งรสชาติภายในปากก็ยังขมฝาดเสียยิ่งกว่าการกินบอระเพ็ดเข้าไปกันอีก

ส่วนที่น่าจะมีอาการในลักษณะเดียวกันกับนาง ยังคงเป็นเหล่าผู้อาวุโสหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกท่าน แล้วยังมีลั่วหลีอีก

ลั่วหลีเองก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงกลับกลายจนมาถึงขั้นนี้ได้ หากว่าทราบว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ต่อให้นางต้องผลักไสจนทำให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้รับความเสียหายมากสักขนาดไหน ก็ย่อมไม่ยินยอมที่จะรับปากคำร้องขอที่ไร้มารยาทของเฒ่าประหลาดซื่อฮั่วกันแล้ว

เมื่อได้มีรับพลังต้นกำเนิดจากวิหคเหมันต์เสริมเข้าสู่ภายในร่าง นี่ยังถือเป็นวาสนาที่พลิกฟ้าได้มากถึงเพียงใด! ด้วยพลังแห่งต้นกำเนิดเช่นนี้ การสะท้อนพลังภายในหยกน้ำแข็งเดิมทีก็ไม่อาจทำอะไรได้อยู่แล้ว ซูเหยียนในวันข้างหน้าย่อมต้องสามารถนำพาหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของความรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน ความสามารถที่นางจะสามารถได้มาครอบครองย่อมต้องเหนือล้ำไปกว่าตัวเองอีกมากแน่นอน

เพียงแค่เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้คนทั้งสำนักยอมหลั่งเลือดและชีวิตเพื่อปกป้องผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้อยู่แล้ว!

น่าเสียดายที่กลับเป็นตนเองที่กลับใช้แล้วทิ้งเยี่ยงหมากตัวกับคนผู้นี้ไปเสียแล้ว มือที่ผลักออกไป กลับเป็นได้แค่เปลี่ยนเป็นลมหายใจให้แก่สำนักเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น

ภายในแววตาของลั่วหลีที่สาดเป็นประกายคมกล้าทันใดนั้นก็พลันแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นมืดมน ปากที่อ้าค้างไว้ ยังถึงกับมีเลือดสีแดงเข้มลอดออกมา

ทันใดนั้นนางก็ได้พบว่า ตัวเองพึ่งจะทำเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ลงไปแล้ว

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด