ตอนที่ 1651 ตบหน้า
ตอนที่ 1651 ตบหน้า
“ต้องการตัวคน? ต้องการคนผู้ใดกัน?” ลั่วหลีขมวดขนคิ้วที่ดกดำขึ้นมา : “หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นข้าสมควรที่จะไม่มีคนที่ซื่อฮั่วเจ้าต้องการหรอกกระมั่ง”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็มิผิด สำนักท่านย่อมไม่มีคนที่ข้าต้องการอยู่แล้ว เพียงแต่……” ซื่อฮั่วกล่าวจนมาถึงตรงนี้ ก็ได้หันไปกวักมือกับทางด้านหลัง: “เดรัจฉานน้อย เจ้าเองก็ออกมากล่าวเองเถอะ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเจ้า
เว่ยเฟิงทอสีหน้าลิงโลด รีบเดินออกมาจากทางด้านหลังของซื่อฮั่ว จากนั้นก็แสดงการคารวะต่อหลัวไห่และลั่วหลีและคนอื่นๆ เมื่อทำทุกอย่างตามพิธีเรียบร้อย แล้วจึงค่อยหลังตรงยืดอก ในขณะที่กำลังเอ่ยปากกล่าว แต่ทันใดนั้นก็ได้พบว่าได้แววตาเย็นเยียบกำลังมองมาที่ตัวเองอยู่สายหนึ่ง อีกทั้งกำลังจับจ้องมองมาที่ใบหน้าของตนเอง
แววตาคู่นั้นคมกล้าดุจดั่งกระบี่ที่แหลมคมก็มิปาน เสียดแทงเข้าภายในใจของเว่ยเฟิง จนทำให้เขาแตกตื่นจนใบหน้าแทบขาวซีด กล้ำกลืนน้ำลายลงคอไปทีละอึก
แม้จะโพล่งออกมาแม้สักคำเดียวแล้วก็ว่าได้
หากมองไปตามแววตาสายนั้น เว่ยเฟิงเพียงแต่พบเห็นลั่วหลีที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตัวเอง อีกทั้งยังเป็นแววตาที่เย็นเยียบ ถึงแม้จะไม่ได้กระตุ้นพลังสภาวะอะไรออกมา แต่กระนั้นเพียงแค่สายตาเพียงถ่ายเดียวก็สามารถที่จะทำให้เว่ยเฟิงนิ่งดุจรูปปั้นน้ำแข็งได้แล้ว ราวกับกำลังหล่นลงสู่เหวลึกนับหมื่นจั้ง เจตจำนงสำนึกความเย็นเยียบที่อยู่โดยรอบล้วนแต่เข้าปกคลุมมาที่เขาเอาไว้จนมิด
เว่ยเฟิงถึงกับขาอ่อนยวบลง เกิดเสียงเกิดเสียงตะกุกตะกัก ภายในแววตาเอ่อล้นไปด้วยความหวาดผวา
ปิงหลงและผู้อาวุโสทุกท่านพลันเกิดความคิดขึ้นชั่ววูบ ตัดสินใจหันไปมองซูเหยียนกันในทันที
เมื่อในเวลาที่เว่ยเฟิงเดินออกมา พวกนางก็รับรู้ได้ถึงความคิดของซื่อฮั่วว่าคืออะไรกันได้แล้ว ชั่วเวลาที่ในใจบังเกิดความเศร้าโศก ในใจล้วนแต่เกิดเป็นรสฝาดขึ้นมา
คนผู้นี้ก็คือบุตรชายของจ้าวนิกายแห่งนิกายแสงอัคคี อีกทั้งยังไม่ได้พึงตาต้องใจต่อซูเหยียนมาเพียงแค่วันหรือสองวันแล้ว เมื่อปีก่อนยังได้ประกาศสงครามออกมาโดยที่ทางนิกายอัคคีได้ใช้ซูเหยียนมาเป็นข้ออ้าง ตั้งใจที่จะให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นส่งมอบตัวซูเหยียนออกมา
เว่ยเฟิงถือเป็นคนที่มีบุคลิกคุณธรรมเยี่ยงไร คนของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นย่อมต้องทราบกระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี
สามารถที่จะบอกได้เลยว่า ถ้าหากเว่ยเฟิงไม่ได้ถือกำเนิดมาจากนิกายใหญ่อย่างนิกายแสงอัคคี ถ้าหากเว่ยเฟิงหาได้เป็นบุตรชายของซื่อฮั่ว เช่นนั้นเขาก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนไปได้ชั่วชีวิต
ถึงแม้ว่าเขาจะถือกุมความโดดเด่นเหนือผู้คนมากมาย แต่ก็ยังคงต้องใช้โอสถปราณสรรพยาและหินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างมากมายก่ายกอง ก็ยังผลักดันการบ่มเพาะให้เลื่อนขั้นจนถึงระดับหวนกำเนิดได้แล้ว
แม้แต่อำนาจของตัวเขาเองก็ยังไม่อาจที่จะผนึกขึ้นมาได้!
นี่อาจจะเป็นผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้มีเขตพรมแดนกองกำลังเป็นของตัวเองกันแล้ว ย่อมนับว่าเพียงพอที่จะกลายเป็นที่ตัวตลกจากทั่วทั้งใต้หล้าเลยทีเดียว
ด้วยเหตุที่เว่ยเฟิงมีคุณสมบัติที่จำกัด จนสามารถที่จะมองเห็นกันได้
และเมื่อเทียบกับเขา ซูเหยียนแทบจะเป็นดรุณีสาวงามที่ช่วงชิงพรสวรรค์จากสวรรค์ ทั้งสองคนนี้เดิมทีก็แทบจะไม่สามารถเอามาไว้อยู่ร่วมกันได้ชั่วนิรันดร์อยู่แล้ว
แต่สืบเนื่องจากการที่ซูเหยียนออกไปแสวงหาประสบการณ์ที่โลกเบื้องนอกเพียงครั้งเดียว แต่กลับถูกเว่ยเฟิงพบเห็นจนมิอาจลืมเลือน ด้วยความงดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ต่อให้ต้องแลกอะไรก็ต้องครอบครองมาให้ได้
นิกายแสงอัคคีจึงได้คิดที่จะยกอ้างข้อนี้เพื่อทำให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่!
ด้วยคุณสมบัติและคุณธรรมของเว่ยเฟิงย่อมไม่นับว่าดีอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขากลับเป็นถึงบุตรของซื่อฮั่ว มีชาติกำเนิดที่ไม่นับว่าต่ำทราม นิกายแสงอัคคีที่คิดว่าเว่ยเฟิงต้องตาซูเหยียนย่อมนับเป็นวาสนาของซูเหยียนอยู่แล้ว……
ในครั้งนี้ซื่อฮั่วได้พาเว่ยเฟิงมาจนถึงหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น อีกทั้งยังทำให้เขายืนกรานออกมาเพื่อบอกกล่าว ในส่วนที่เป็นเป้าหมายก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงกันแล้ว
แต่เด็กน้อยที่น่าเกลียดเหลือทนที่เพียงถูกผู้นำผู้อาวุโสปรายตามองก็เพียงพอที่จะทำให้แตกตื่นจนแทบสลบไปแล้ว แม้แต่คำพูดคำจาก็ยังไม่อาจกล่าวออกมาได้โดยพลันกันแล้ว
สีหน้าของซื่อฮั่วเองก็ปั้นยากอย่างถึงขีดสุด เว่ยเฟิงที่ทอสีหน้าเช่นนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการทำให้นิกายแสงอัคคีขายหน้ากันแล้ว ภายใต้ความเดือดดาล ก็ได้ถวายมอบให้หนึ่งบาทา จนเกือบที่จะทำให้เว่ยเฟิงล้มลงกับพื้นไป
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์! มีข้าผู้ชราเป็นตัวแทนให้เจ้า ยังจะกลัวอะไร มีอะไรก็พูดออกมา ทำให้ข้าผู้ชราได้เห็นกันบ้างว่าแท้จริงแล้วเจ้ายังมีความเป็นบุรุษเพศอีกหรือไม่!”
ซื่อฮั่วถึงกับตะคอกใส่เสียงดังกังวาน
ราวกับว่าถูกซื่อฮั่วด่าทอเพื่อระบายโทสะ อีกทั้งยังราวกับได้รับการหนุนหลังจากซื่อฮั่วไปอีกทาง ถึงกับทำให้เว่ยเฟิงมีกำลังขวัญเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก ทอใบหน้าที่แดงระเรื่อ และกัดฟันจนแน่น จากนั้นยื่นมือชี้ไปยังทางด้านของซูเหยียนแล้วกล่าว: “ข้าต้องการแม่นางที่มีนามว่าซูเหยียนผู้นี้!”
เหล่าผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่ทอสีหน้าเดือดดาลกันอย่างพร้อมเพรียง!
หรานอวิ่นถิ่งกลับยังคงมีสีหน้าที่นิ่งดุจสายน้ำ
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหยางไคพลันค่อยๆ สลายหายไป แววตาแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นเย็นเยียบจับจ้องมองไปที่เว่ยเฟิง ข้างมุมปากถึงกับยกขึ้นจ้องมองด้วยความเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย
ตนที่นับตั้งแต่เริ่มเข้ามายังตำหนักน้ำแข็งแห่งนี้ หยางไคก็พบเห็นเจ้าเด็กน้อยที่เอาแต่หดหัวหดหางอยู่เช่นนี้คอยเอาแต่มองไปที่ซูเหยียนมาโดยตลอด เขาเองก็หาได้เก็บมาใส่ไม่ ถึงอย่างไรซูเหยียนก็นับว่าเป็นผู้ที่มีความงดงามดั่งสวรรค์ประทานมา ย่อมเป็นที่ดึงดูดของบุรุษกันอยู่แล้ว แต่เมื่อเว่ยเฟิงกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา เขาก็เข้าใจได้ในทันที ว่าอีกฝ่ายไม่แต่เพียงแค่มองเท่านั้น อีกทั้งยังคิดที่จะหมายปองคิดครอบครอง!
ในใจหยางไคพลันปะทุรังสีฆ่าฟันขึ้นมา จับจ้องมองไปที่เว่ยเฟิงอย่างเฉยชา อาการเช่นนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสีหน้าที่เว่ยเฟิงใช้มองเขาเลยก็ว่าได้
แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการมองเห็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง!
ในเวลานี้ซูเหยียนก็ได้หันสายตาคู่งามมองเข้ามา พร้อมกับขมวดคิ้วอันดกดำ หันไปมองตรวจสอบเว่ยเฟิงด้วยความสงสัย
ราวกับว่าจนถึงบัดนี้นางจึงค่อยได้สติกลับคืนมาบ้าง ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ทุ่มเทจิตใจอยู่ที่หยางไคไปเสียหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดกับภายนอกแทบจะไม่สามารถทำให้นางกังวลได้เลย
“เป็นเจ้า?” ซูเหยียนถึงกับจดจำเว่ยเฟิงขึ้นมาได้ พร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “เป็นไรไป ครั้งก่อนยังได้รับการสั่งสอนไม่พอหรือยังไงกัน? ยังคิดที่จะมาหารือว่าจะจัดการอย่างไรอีกงั้นหรือ?”
ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยถึงกับทำให้เว่ยเฟิงสะดุ้งจนไม่ต่างอะไรไปจากกระต่ายตื่นตูมสะดุ้งขึ้นมา พร้อมกับรีบพุ่งปราดกลับไปอยู่ด้านหลังซื่อฮั่ว เพื่อร้องขอความเห็นใจ
ด้วยท่าทีอาการอันน่าสะอิดสะเอียนของเว่ยเฟิง ซื่อฮั่วเองก็รู้สึกเสื่อมเสียชื่อเสียงจนป่นปี้ไปหมดแล้ว จึงค่อยได้ชักสีหน้าบึ้งตึงอย่างดุร้าย พร้อมกับความมืดครึ้มที่ก่อตัวขึ้นมา
แม้แต่หลัวไห่ที่คอยมองอยู่ทางด้านข้างมาโดยตลอดก็ยังทำได้แต่เพียงส่ายหน้า
“รู้จักกันงั้นหรือ?” หยางไคเอ่ยถาม
ซูเหยียนส่ายหน้าไปมา : “กลับไม่อาจบอกว่ารู้จักได้ ครั้งก่อนเป็นเขาที่กล่าววาจาไร้มารยาท จึงได้หักกระดูกของเขาไปหลายท่อน ที่แท้เด็กน้อยผู้นี้ก็เป็นคนของนิกายแสงอัคคี ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใดถึงได้น่าชิงชังถึงเพียงนี้”
ในขณะที่กล่าวออกมา ก็ได้ถอนหายใจออกมา : “หากทราบตั้งแต่แรกแล้วละก็ ก็คงฆ่าทิ้งไปในทันทีแล้ว”
“ครั้งต่อไปก็อย่าได้ไมตรีล่ะ” หยางไคตบไปที่หัวไหล่ของซูเหยียน
ซูเหยียนหัวเราะ แล้วพยักหน้าน้อยๆ
“เจ้า……เจ้า……เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว!” เว่ยเฟิงถึงแม้จะปอดแหกไร้ความสามารถ แต่บัดนี้ก็ยังรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาบ้างแล้ว ซูเหยียนที่คะนึงหามิลืมเลือน ราวกับเป็นดังนางในฝันที่เขาเฝ้าคะนึงหา อีกฝ่ายถึงกับไม่ทราบแม้แต่ชาติกำเนิดของตนเองไปเสียได้
จากที่เห็น นางเองก็ย่อมไม่ทราบว่าตนเองนั้นชื่ออะไรกันแล้ว
วินาทีนั้นเว่ยเฟิงคล้ายกับเกิดความเจ็บปวดชนิดหนึ่งขึ้นมา อีกทั้งนางยังถึงกับทำตัวสนิทสนมกับบุรุษชาติชั่วผู้นั้น ก่อนหน้านี้ก็แทบจะไม่เห็นตัวเองมีการคงอยู่เลยด้วยซ้ำ นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่อัปยศอย่างสุดแสนเลยทีเดียว
“เจ้าจงจำข้าเอาไว้ให้ดี รอจนเจ้าออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะให้เจ้าได้รู้จักความร้ายกาจของข้าเอง!” เว่ยเฟิงสัตย์สาบานขึ้นด้วยน้ำเสียงดังก้องกังวาน
“หาที่ตาย!” หยางไคที่สาดทอแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ อีกทั้งยังได้โบกมือซัดเข้าไปทางด้านของเว่ยเฟิง
เพียงฝ่ามือลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ที่ได้ปรากฏ แต่กลับปรากฏเกิดเป็นดั่งพายุฝนกระหน่ำพัดเข้ามาจนถึงเบื้องหน้าของเว่ยเฟิง ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใจกลางฝ่ามือนั้นล้วนแต่ได้ซุกซ่อนเอาไว้ด้วยพลังทำลายที่แสนน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงขีดสุดเอาไว้
เว่ยเฟิงแตกตื่นตกใจไปกันแล้ว สั่นสะท้านไปทั่วทั้งสรรพร่าง พร้อมกับทอใบหน้าซีดขาว กู่ร้องออกมาเสียงดัง : “ท่านผู้นำผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย!”
“ไอ้หนูเจ้าช่างบังอาจเกินไปแล้ว ถึงกับกล้าลงมือต่อหน้าต่อตาข้าผู้ชรา!” ซื่อฮั่วตวาดกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ยื่นมือพร้อมที่จะลงมือออกมา พร้อมทั้งเกิดพลังขวางกั้นไว้อยู่ชั้นหนึ่งท่ามกลางอากาศ ฝ่ามือลมปราณศักดิ์สิทธิ์นั้นเองก็ได้ถูกสลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายในเสี้ยววินาที โดยฝีมือของซื่อฮั่ว
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
ในเวลานี้ ท่ามกลางพลังสภาวะที่ถูกสลายหายไป พลันเกิดเป็นพลังขุมหนึ่งโอนเอนส่ายไปส่ายมา แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นกระบี่อันคมกล้า ทันใดนั้นก็ได้ดีดตัวสูงขึ้น จนไม่ทันป้องกันได้ทันท่วงที พร้อมกับฟาดเข้าใส่ใบหน้าซีกซ้ายของเว่ยเฟิงไป พร้อมทั้งกระเด็นลอยไปทางด้านขวา
ซื่อฮั่วทอสีหน้าเดือดดาลอย่างถึงขีดสุด!
หลัวไห่เองก็ขมวดคิ้วกันขึ้นมา หันไปมองหยางไคด้วยสีหน้าลังเล
ลั่วหลีเองก็สาดแววตาเป็นประกายจากดวงตาคู่งาม พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสามล้วนแต่มองออกว่า ฝ่ามือลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของหยางไคนั้นไม่ได้ซ่อนเร้นความแยบคายอะไรเอาไว้ เพียงแต่เป็นเขาเองที่สามารถควบคุมลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้จนถึงระดับแก่นแท้ หลังจากที่ถูกซื่อฮั่วสลายพลังไปแล้ว กลับยังสามารถผนึกรวมขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถสร้างเป็นพลังทำลายออกมาได้อีกครั้ง
ด้วยพลังการฆ่าฟันเช่นนี้ พลังทำลายล้างย่อมไม่รุนแรงอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นความสามารถของเว่ยเฟิง หากคิดที่จะต้านทานย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
แต่จากท่าทีที่ประหม่าลนลานของเว่ยเฟิงที่แสดงออกมาให้เห็น จึงไม่ทันสังเกตเห็นได้ จึงได้ถูกพลังขุมนั้นตบเข้าไปอย่างแสนสาหัส
เลือดที่อยู่บนใบหน้าทั้งสองข้างพลันเกิดเป็นรอยฝาดขึ้นมาทั้งสองข้างแก้ม มาจนถึงบัดนี้เว่ยเฟิงเองก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด จนเกิดเป็นความกังวลดุจไฟร้อนคลุกกรุ่นขึ้นก็มิปาน อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดเอาไว้ แทรกซึมลึกเข้าสู่ภายในเลือดเนื้อ
เขาถึงกับต้องลุกขึ้นด้วยความทุรนทุรายเป็นอย่างมาก ในมือถูกไปที่ด้านบนใบหน้าของสองข้างแก้ม จนน้ำตานองเต็มใบหน้า จนไม่อาจที่จะสู้หน้าคนได้
ผู้อาวุโสทุกท่านของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ทำได้แต่เพียงส่ายหน้าเล็กน้อย บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความเหยียดหยามและเกลียดชังออกมา
บุคคลเยี่ยงนี้ ถึงกับคิดที่หมายปองซูเหยียนด้วยงั้นหรือ? เมื่อเทียบกับเขาดูแล้ว หยางไคแทบจะเรียกได้ว่าเลิศจนไม่อาจเทียบได้ และคู่ควรกับซูเหยียนได้อย่างแท้จริงดั่งสวรรค์ทรงโปรด
เฒ่าประหลาดซื่อฮั่วได้ทอสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาวออกมา พร้อมทั้งจับจ้องมองไปที่หยางไคอย่างเอาเป็นเอาตาย เปล่งน้ำเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำผ่านลำคอออกมา เหมือนกับเป็นดั่งสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง: “เจ้าหนู เจ้าจะต้องตายสถานเดียวแล้ว!”
เมื่ออยู่เบื้องหน้าของตัวเอง ใบหน้าของเว่ยเฟิงเหมือนกับถูกสายลมแลนผ่าน นี่แทบจะไม่ใช่เป็นเพียงแค่การตบหน้าของเว่ยเฟิงเท่านั้น
นี่ก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการตบเข้ามาที่ใบหน้าของนิกายแสงอัคคีและซื่อฮั่วเขาเลยด้วยซ้ำ!
เฒ่าประหลาดซื่อฮั่วอดกลั้นจนไม่อาจอดทนต่อไปได้อีกแล้ว
จนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสภาพของราชสีห์คลั่ง จนเกิดเป็นบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวยากทนทานรับได้ห่อหุ้มไว้อยู่ภายในกายของซื่อฮั่ว หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกคนเองก็หาได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่
หยางไคยังคงทอใบหน้านิ่งเฉยไร้เรื่องราว เพียงแต่หันไปมองชายชราผู้มีเส้นผมสีแดงอย่างเย็นเยียบ จากนั้นมุมปากพลันปรากฏเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏออกมาให้ได้เห็น
“ซื่อฮั่ว!” หลัวไห่ขมวดคิ้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “เข้าเรื่องได้แล้ว!”
เขาย่อมไม่ยอมปล่อยให้ซื่อฮั่วฆ่าหยางไคอยู่แล้ว ครั้งนี้ซื่อฮั่วคิดที่จะหยิบยืมอำนาจบารมีของเขามาเพื่อกดดันหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น เขาก็ยินดีที่แม้ว่าจะเห็นก็ทำเป็นไม่เห็นได้ ขอเพียงแค่ซื่อฮั่วไม่สืบสาวความลับที่อยู่ในตัวหยางไค
แต่ซื่อฮั่วหากคิดที่จะลงมือต่อหยางไค เขาเองก็ย่อมไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่สนใจอย่างแน่นอน
ก่อนหน้าที่จะยังไม่ล่วงรู้ความลับที่หยางไคถือครองอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะไปแตะต้องเขาได้
ในระหว่างที่เงียบเชียบกัน สภาวะบรรยากาศภายในร่างของซื่อฮั่วเสมือนดั่งเปลวเพลิงที่ถูกน้ำเย็นสาดเข้าใส่ จนถึงกับต้องมอดดับลงภายในพริบตา เขาราวกับพอที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ จึงทำได้แต่เพียงหันไปมองหยางไคด้วยความเย็นชา จนทอสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ท่านผู้นำผู้อาวุโสช่วยให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย ฆ่าเขา ฆ่าเขาเถอะ ขอร้องท่านผู้นำผู้อาวุโสช่วยให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย!” เว่ยเฟิงที่แทบไม่อาจสู้หน้าคนได้อีก ทางหนึ่งโอดครวญ ทางหนึ่งร่ำร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง
ซื่อฮั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนส่วนของหน้าอกเกิดสภาพพองหดขึ้นอย่างรุนแรง
เหตุไฉนข้าผู้ชราถึงต้องพาเจ้าตัวบัดซบผู้นี้มาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกันด้วยนะ?
ในขณะนี้ เขาแทบอยากจะฟาดเว่ยเฟิงให้กลายเป็นเพียงเนื้อบดกันแล้ว
ในใจพลันเกิดการตัดสินใจขึ้นทันที หลังจากที่กลับไปหลังเสร็จเรื่องในครั้งนี้ จะต้องกักบริเวณเว่ยเฟิงไว้อยู่แต่ภายในนิกายแสงอัคคีแล้ว อีกทั้งจะมิให้เขาออกมาสู่ภายนอกอีกตลอดกาล มิเช่นนั้นหากเขาไปยังที่แห่งหนใด ก็มีแต่จะทำให้นิกายแสงอัคคีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้
นิกายแสงอัคคีถึงกับให้กำเนิดตัวบัดซบเช่นนี้ออกมา แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดังบาปที่เทพสวรรค์บันดาลมาให้กันแล้ว!
“เจ้าหุบปาก!” ซื่อฮั่วตวาดออกมาคำหนึ่งอย่างแผ่วเบา
เสียงโอดครวญของเว่ยเฟิงพลันหยุดชะงักลงในบัดดล จนแทบมิอาจหาญที่จะต่อต้านความตั้งใจของผู้นำผู้อาวุโสได้ เพียงแต่ว่าจิตใจที่แสนเจ็บปวดใจดวงนั้นกลับทำให้เขาต้องทอสีหน้าบิดเบี้ยว เมื่อเสริมด้วยกับรอยแดงที่มีเลือดติดอยู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากการได้พบเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวดุจเห็นผีสางกันแล้ว
เขาใช้มือลูบไปที่แก้ม สาดแววตาเป็นประกาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะมองผู้ใด ท้ายที่สุดก็ทำได้แต่เพียงมองไปที่ปลายเท้าที่อยู่บนพื้นของตัวเอง โดยที่ไม่ปริปากกล่าวอันใดออกมา
“เจ้าหนู เจ้านำว่ามีความกล้าพอสมควรเลยทีเดียว ในเมื่อพี่หลัวไห่มีความตั้งใจที่จะให้การคุ้มครองเจ้า เช่นนั้นเรื่องในครั้งนี้ข้าผู้ชราก็จะไม่ถือสาหาความกับเจ้าแล้ว หากคิดที่จะขอบคุณแล้วละก็ ยังคงขอบคุณในไมตรีของพี่หลัวไห่เถอะ!” ซื่อฮั่วกล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เงยหน้าหันไปมองลั่วหลี แล้วเอ่ยปากถามขึ้นว่า : “ความตั้งใจในครั้งนี้ที่ข้าผู้ชรามาเยือนเจ้าก็กระจ่างชัดเจนอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าตัวปัญหาที่เป็นทายาทต้องตาต้องใจแม่นางท่านนี้ อีกทั้งยังคาดหวังที่จะสามารถพานางกลับไปยังนิกายแสงอัคคีของข้าอีก!”
.
.
.