ตอนที่แล้วตอนที่ 1649 ขอขมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1651 ตบหน้า

ตอนที่ 1650 ต้องการเพียงคนเดียว


ตอนที่ 1650 ต้องการเพียงคนเดียว

ภายในตำหนักน้ำแข็งหยกขาว หลัวไห่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มัดเกล้าไว้ด้วยมงกุฎทอง เปี่ยมไปด้วยสภาวะอำนาจอันเลิศล้ำ ภายในแววตายังทอเป็นประกายตื่นเต้นสาดออกมา

ในที่สุดก็หาเจ้าพบแล้ว!ในใจหลัวไห่พลันลอบเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ถึงกับเผยสีหน้าออกมาโดยที่ไม่ปกปิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

หากคิดที่จะทำให้เขาผู้ซึ่งเป็นผู้ทรงพลังที่อยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สอง อีกทั้งยังถือเป็นการดำรงอยู่ในแนวหน้าของท่ามกลางแดนดารา แค่หยางไคเพียงคนเดียวยังสามารถทำอย่างไรได้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาต้องทะลวงออกจากการปิดผนึกกั้นบนดาวชุยเว่ย อีกทั้งยังต้องสลัดร่องรอยของตัวเองทิ้งไปจนหมด

หากมิใช่เป็นเพราะตัวเองมีความอดทนที่มากพอ ก็กลัวแต่ว่าจะปล่อยเขาหลบหนีไปได้อย่างแท้จริงแล้ว

ครานี้ก็คงต้องดูกันว่าเจ้าจะหลบหนีไปยังที่แห่งใดกันแล้ว!หลัวไห่พลันมีจิตใจจนฮึกเหิม

ด้วยความสามารถของเขา สิ่งที่พอจะสามารถทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นได้กลับมีอยู่ไม่มากนัก แต่ว่าผลึกคะนึงเวิ่งว้างของราชามารนั่นผู้นั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในพันธนาการโลหิตกลับทำให้หลัวไห่บังเกิดความโลภ สมบัติจักรพรรดิที่อยู่ภายในร่างหยางไคกลับเป็นสิ่งที่ทำให้หลัวไห่เกิดความละโมบได้เป็นอย่างยิ่งกันเลยทีเดียว

อย่างแรกก็คือเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เขามีโอกาสที่จะทะลวงจนถึงขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สามได้ อย่างหลังก็คือสามารถทำให้เขามีพลังความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี!

ทันทีที่สมบัติวัตถุทั้งสองชิ้นตกมาอยู่ในมือ หลัวไห่ย่อมมีความเชื่อมั่นว่าตนเองนั้นย่อมต้องเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของทั่วทั้งแดนดารากันแล้ว เมื่อถึงเวลาต่อให้หากถูกเปิดเผยออกมา คนภายในแดนดารามีหรือที่จะต่อต้านเขาได้!

หากเจ้ามิมอบลูกแก้วเทวะของเจ้าให้กับ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง แล้วหยางไคจะออกจากแดนดาราได้อย่างไร

ที่สำคัญกว่าคำว่าสำคัญ ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวของหยางไคกันแล้ว

สีหน้าของหลัวไห่ถึงแม้จะสามารถเก็บอาการเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ซื่อฮั่วและลั่วหลีเองก็ถือเป็นผู้ทรงพลังในขอบเขตกำเนิดราชัน แน่นอนว่าย่อมต้องตรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในพริบตานี้

ซื่อฮั่วทอสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน อีกทั้งยังได้ลอบครุ่นคิดว่าเจ้าหนูที่มีนามว่าหยางไคแท้จริงแล้วถือกุมความลับอันยิ่งใหญ่อันใดเอาไว้กันแน่ ? มิเช่นนั้นเหตุใดหลัวไห่ถึงได้บังเกิดความสนใจต่อเขาถึงเพียงนั้นกกัน ?

กว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่หลัวไห่ได้มุ่งหน้าเข้าสู่ดาววารีสีชาดอย่างกะทันหัน ก็ทำให้ซื่อฮั่วรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งกันอยู่แล้ว ในขณะที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น เขาถึงกับยังได้ให้นิกายแสงอัคคีเสาะหาร่องรอยของหยางไค เมื่อในเวลานั้นในใจของซื่อฮั่ว เหมือนกับไม่สามารถที่จะบอกกล่าวออกมาโดยตรงได้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อที่จะได้ทราบถึงสาเหตุที่เพราะเหตุใดหลัวไห่ถึงได้เสาะหาหยางไค แต่หลัวไห่ก็ยังคงหาได้บอกกล่าวถึงสาเหตุกลในออกมา จึงทำให้ซื่อฮั่วเองก็ยังอับจนถ้อยคำ

ลั่วหลีเองก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คล้ายกับมีความกังวลสลักเอาไว้อย่างลึกล้ำที่ไม่อาจทำให้นางคิดเหมือนอย่างเขาได้

ในครั้งนี้หลัวไห่กับซื่อฮั่วทั้งสองย่อมไม่ได้มาดีดอย่างแน่นอน !

ไม่นานนัก หยางไคก็ได้ก้าวเท้าเดินเข้าสู่ตำหนักน้ำแข็ง

ภายในตำหนักน้ำแข็ง นอกเสียจากนอกเหนือจากผู้ทรงพลังของขอบเขตกำเนิดราชันทั้งสามท่าน เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ล้วนแต่ยืนกันอยู่ทางด้านหลังของลั่วหลี อีกทั้งยังมิใช่จำนวนน้อยๆ ถึงกับมากถึงสิบกว่าคนเลยทีเดียว

และที่ด้านหลังหลัวไห่กับซื่อฮั่ว ยังมีผู้ที่มีใบหน้าเหลืองดั่งเทียนไขยืนอยู่ เป็นบุรุษหนุ่มที่อยู่ในอาการตื่นเต้น

บุตรชายแห่งจ้าวนิกายของนิกายแสงอัคคี เว่ยเฟิง !

บัดนี้ เขาที่กำลังมองไปที่ด้านนอกด้วยความคึกคัก ราวกับกำลังรอคอยให้ใครบางคนมาถึง รอจนกระทั่งหลังจากได้พบพานซูเหยียน ก็อดไม่ได้ที่จะทอแววตาเป็นประกาย แต่ในขณะที่กำลังมองไปด้วยความตื่นเต้นอยู่นั้น จนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่กำลังหมายปองอาหารอันโอชะเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังมีน้ำลายที่ไหลย้อยออกมา

แต่เมื่อในขณะที่เขาหันไปมองซูเหยียนที่กำลังจูงมือกับหยางไคอยู่นั้นเอง หลังจากที่ได้พบเห็นกิริยาท่าทางที่สนิทชิดเชื้อเยี่ยงนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตะลึงลาน ถึงกับใช้สายตาดั่งเหยี่ยวจับจ้องมองไปที่หยางไคด้วยความเย็นชา อีกทั้งยังสาดทอแววตาเป็นประกายความเคียดแค้นออกมา

เป็นเจ้าตัวบัดนี้โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน ! ถึงกับอาจหาญมาจูงมือสตรีของตนเองได้ ช่างหาที่ตายกันอย่างแท้จริงแล้ว เว่ยเฟิงเองก็แทบจะระเบิดโทสะออกมาแล้ว

แค่ชั่วพริบตาเดียว เว่ยเฟิงก็ได้มองหยางไคจนเหมือนดั่งคนที่ตายไปแล้ว ในใจประดุจดั่งกำลังดีดลูกคิดรางแก้วว่าควรจะเคี่ยวกรำหยางไคอย่างไรดี จะทำให้อย่างไรให้เขาต้องอ้อนวอนร้องขอความตายแต่ก็มิอาจทำได้ จะทำให้เขาทราบว่าการมาแตะต้องสตรีของตนเองแล้วจะต้องพบกับจุดจบเช่นไร

“ผู้เยาว์ปิงหลง ขอคารวะใต้เท้าหลัวไห่ คารวะท่านผู้อาวุโสซื่อฮั่ว”ปิงหลงแสดงการคารวะออกมา พร้อมทั้งหันหน้ากลับไปมองลั่วหลีแล้วกล่าว : “ท่านนำผู้อาวุโส ข้าได้พาคนมาแล้ว

ลั่วหลีพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย แต่กลับหาได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแต่ใช้หางตาที่งดงามคู่นั้นจับจ้องมองไปที่ด้านบนร่างของหยางไค ขมวดคิ้วอันดกดำเล็กน้อย

เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาของนาง หยางไคจึงค่อยได้หันไปเหม่อมอง

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองเข้ามาของนาง หยางไคจึงค่อยได้มองกลับไป

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบพานกับผู้นำผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น หากดูจากพลังสภาวะที่แข็งแกร่งอ่อนโทรม นางถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับชายชราผมแดงผู้นั้นที่อยู่ภายในตำหนักน้ำแข็งอยู่หลายส่วน ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับของขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่หนึ่ง ย่อมยังคงอยู่ห่างไกลจากความเกรียงไกรของหลัวไห่อยู่แล้ว

แต่ขอบเขตกำเนิดราชันจะอย่างไรก็ยังคงเป็นขอบเขตกำเนิดราชัน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการปกครองอาณาเขต ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะสมบูรณ์ได้เท่าขอบเขตหวนกำเนิดจะสามารถเทียบเท่าได้กับขอบเขตกำเนิดราชันอยู่แล้ว อย่างมากหยางไคก็ยังสามารถได้ถึงแรงกดดันที่มาจากข้างกายของนางได้โดยส่วนใหญ่ !

“พี่หลัวไห่ นี่ใช่เป็นเจ้าหนูผู้นั้นที่ท่านกำลังเสาะหาอยู่ใช่หรือไม่ ?”เฒ่าประหลาดซื่อฮั่วได้ประเมินตรวจสอบหยางไค พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา

หลัวไห่พยักหน้า : “มิผิด เป็นเขาผู้นั้นแหลาะ !”

“ช่างสมกับเป็นผู้มีพรสวรรค์เลยเลยทีเดียว เหมือนดั่งมีความปราดเปรื่องของพี่หลัวไห่เลยทีเดียว ในเมื่อตัวคนนั้นก็หาพบแล้ว มิทราบว่าพี่หลัวไห่วางแผนที่จะทำอย่างไรกันต่อ ?”ซื่อฮั่วราวกับกำลังถามออกไปโดยไม่ใส่ใจ

“ทำอย่างไรงั้นหรือ……อือ ย่อมต้องพาเขากลับดาวชุยเว่ยอยู่แล้ว”หลัวไห่ได้ทอสีหน้าอบอุ่นออกมา แล้วหันไปยิ้มและด่าทอหยางไค:“เจ้าเด็กบัดซบ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักหาได้ต้องการกินเจ้าเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงได้เอาแต่หลบเลี่ยงข้าผู้เป็นเจ้าสำนักเหมือนกับจะถูกกินไปทั้งเป็นกัน ? ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักเพียงแค่เห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่ไม่สามัญ อีกทั้งยังมีวาสนากับข้า ยังคิดที่จะถ่ายทอดวิชาความสามารถให้แก่เจ้าก็เท่านั้น !”

เขายังคงอยู่ในอาการที่ผ่อนคลาย เสมือนดั่งหาได้กังวลว่าจะไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า1ได้ กล่าวออกมาเหมือนกับเป็นเช่นนั้นจริงก็มิปาน

ผู้อาวุโสทุกท่านแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นถึงกับทอสีหน้าแตกตื่นกันออกมา พร้อมทั้งหันไปมองหยางไคกันอย่างพร้อมเพรียง มิหนำซ้ำยังเป็นสีหน้าอาการที่อิจฉาริษยา

การที่สามารถได้รับการต้องตาจากผู้ทรงพลังอย่างหลัวไห่เช่นนี้ หยางไคผู้นี้แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเหมือนกับมีวาสนาล้นฟ้ากันแล้ว ในภายหลังย่อมต้องสามารถเป็นผู้เลื่องชื่อลือนามไปทั่วทั้งแดนดาราได้อย่างแน่นอน จนไม่ต่างอะไรไปจากติดปีกโบยบิน

หยางไคทำได้แต่เพียงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา

ซื่อฮั่วหรี่ตาลงมองด้วยความขุ่นเคือง ภายในดวงตายังสาดเป็นประกายระยิบระยับ

ลั่วหลีขมวดคิ้วอันดกดำขึ้นเล็กน้อย โดยที่ไม่กล่าววาจาแม้สักคำเดียว

ทั่วทั้งตำหนักน้ำแข็ง ไม่แน่ว่าอาจจะมีแต่เพียงหยางไคและผู้อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันอื่นอีกสองท่าน ที่จึงจะไม่เชื่อในวาจาของหลัวไห่

ทุกคนล้วนแต่ทราบกันว่า ขอเพียงแค่หลัวไห่พาตัวหยางไคไปได้ด้วยเพียงวาจาเดียวก็ยังแล้วไป!อีกทั้งยังรับเขาไว้เป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความสามารถให้ของเขาให้ แทบจะเรียกได้ว่าเปรียบเสมือนดั่งพันหนึ่งราตรี2!

หลัวไห่เป็นถึงบุคคลระดับใด ? เป็นไปได้อย่างไรเพื่อที่จะรับศิษย์ไว้เพียงคนเดียวจะถึงกับเหมือนดั่งประกาศสงครามออกมาได้เยี่ยงนี้ ? เขาหากว่าคิดจะรับศิษย์ ขอเพียงแต่ประกาศออกมาเพียงคำเดียว ก็ย่อมต้องมีผู้มีพรสวรรค์หลั่งไหลกันมุ่งสู่ดาวชุยเว่ย ต่อแถวรอคอยที่จะกราบตัวเป็นศิษย์ของเขากันมากมายได้อยู่แล้ว

หยางไคเองก็หาได้เปิดโปงแม้แต่น้อย เพียงแต่กล่าวออกมาว่า:“ความหวังดีของท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยขอรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ด้วยวาสนาอันยิ่งใหญ่ล้นฟ้าเยี่ยงนี้ ผู้น้อยเกรงว่าคงจะมิอาจรับได้ไหว ยังคงขอโปรดให้ผู้อาวุโสเสาะหาผู้ที่เหมาะสมกว่าจะดีกว่า”

หลัวไห่ถึงกับสาดแววติเก็บงำความเดือดดาลเอาไว้ แล้วกล่าวว่าเด็กน้อยผู้นี้ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีขึ้นในใจ กระนั้นก็ยังคงกล่าวออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและอบอุ่นเป็นอย่างยิ่งว่า:“เจ้าเองก็อย่าได้ด่วนปฏิเสธไป ยังคงติดตามข้ากลับไปยังดาวชุยเว่ยค่อยว่ากล่าวกัน ติดตามอยู่ข้างกายข้าสักหลายปี เมื่อถึงเวลานั้นหากเจ้ายังมีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็ย่อมไม่สามารถบังคับใจคนเราให้เป็นไปที่หวังเอาไว้ได้”

เขาแสดงท่าทีให้ดูเหมือนถอยให้ก้าวใหญ่เลยทีเดียว

ซื่อฮั่วก็ได้กล่าวเสริมอยู่ด้านข้างอีกทาง:“เจ้าหนู เจ้าเองก็ต้องใคร่ครวญเอาไว้ให้ดี พี่หลัวไห่คิดที่จะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ นี่ก็นับได้ว่าเป็นดั่งวาสนาที่ต่อให้เกิดอีกสักกี่ชาติก็ไม่สามารถได้มา เป็นสิ่งที่คนสามัญโดยทั่วไปไม่สามารถร้องขอมาได้ เหตุไฉนเจ้าถึงยังยืนกรานที่จะปฏิเสธกันเล่า ?”

“ผู้อาวุโสทุกท่านคิดว่าเป็นวาสนาอย่างงั้นหรือ ? อือ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสคิดว่าเป็นเช่นนี้ ก็มิสู้ขอกราบหลัวไห่เป็นอาจารย์กันล่ะ”หยางไคหัวเราะแล้วหันไปมองพวกเขา

ผู้อาวุโสหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกท่านล้วนแต่มีสีหน้าเฉื่อยชา หันไปมองหยางไคจนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากกำลังมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง หัวใจของทุกคนแทบจะกระดอนกันจนมาถึงคอหอยกันแล้ว

เด็กน้อยผู้นี้……แท้จริงแล้วขวัญกล้าบังอาจเทียบฟ้าหรืออย่างไร ถึงได้หาญกล้ามาดูแคลนกันถึงเพียงนี้ เขาเองก็หาได้เกรงกลัวที่จะต้องประสบกับผลลัพธ์ที่ยากจะแบกรับไว้ได้อย่างงั้นหรือ ?

ซื่อฮั่วทอสีหน้าเย็นเยียบออกมา พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาลดังกึกก้อง:“สามหาว !”

ในระหว่างที่สนทนา ภายในแววตาก็พลันเกิดเป็นประกายแสงปะทุขึ้นมาเป็นสาย ประดุจดั่งเกิดสสารที่พุ่งจู่โจมหยางไคเข้าไป

เขาเพียงคิดที่จะทำเพียงเป็นการตักเตือนที่เป็นเพียงผู้เยาว์แต่กลับกล่าววาจาสาวหาวออกมา

หยางไคยังคงมีสีหน้ามิเปลี่ยนแปลง ยืนอยู่ที่จุดเดิมโดยที่ไม่ขยับเคลื่อนไหว ซูเหยียนก็ทำเหมือนไม่ได้เห็นการจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัวนั้นอยู่ในสายตา แววตาคู่งามแทบจะหาได้ละจากใบหน้าของหยางไคมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้เลยก็ว่าได้ เพียงเหม่อมองไปที่เขาอยู่จากทางด้านข้าง เพียงแค่นี้ก็ทำให้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างเปี่ยมล้นกันแล้ว

หลัวไห่โบกมือไปมา เกิดเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่ใส่ใจ

การโจมตีของซื่อฮั่วถึงกับถูกคลี่คลายอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงไปโดยปริยาย

ก่อนหน้าที่ยังไม่ทราบถึงความลับที่ซ่อนไว้อยู่ในตัวของหยางไค หลัวไห่เองก็ไม่วางใจหากเขาถูกซื่อฮั่วจัดการจนได้รับบาดเจ็บแน่นอน

“พี่ซื่อฮั่วยังคงรอดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรนี่เป็นโอกาสที่ดีที่หาได้ยาก มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงคำพูดจากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความเท่านั้น ไยจึงยังต้องเก็บมาใส่ใจกันด้วย พี่ซื่อฮั่วเองก็อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชัน ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักแม้คิดที่จะสอนสั่ง เกรงว่าก็คงจะมีแต่ต้องใจปรารถนาแต่ไร้ซึ่งแรงกายกันแล้วเท่านั้น”

ซื่อฮั่วเพียงส่งเสียงเหอะออกมา แล้วหันไปมองหยางไคด้วยสายตาที่เยือกเย็น แววตาที่แรงกล้าเช่นนั้นราวกับคิดที่จะสับเขาเป็นหมื่นท่อน กระนั้นก็ยังไม่เหมาะที่จะกล่าวอะไรออกมามากความอีก

ลั่วหลีที่นั่งอย่างเงียบเชียบมาโดยไม่พูดไม่จา ก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน : “ตัวคนก็ได้พามาแล้ว หากว่าใต้เท้าหลัวไห่ต้องการที่จะพาตัวเขาไป ก็เชิญได้ตามสะดวก”

ในส่วนที่แท้จริงแล้วหลังจากที่หลัวไห่พาตัวหยางไคไปแล้วจะทำอะไรนั้น ก็มิใช่เรื่องที่ลั่วหลีจะมาไตร่ตรองกันแล้ว

นางและหยางไคก็หาได้มีความสัมพันธ์กันแม้แต่น้อย ย่อมไม่มีทางที่จะยอมผิดใจกับหลัวไห่เพียงเพราะเขาแน่นอน ในมุมมองของนางเพียงคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะส่งหลัวไห่กับซื่อฮั่วออกไปจากเกาะสุดขั่วเยือกเย็นได้เร็วที่สุด

นางที่แม้แต่ความคิดที่จะไปรบเร้าหาสาเหตุที่หยางไคจัดการหรานอวิ่นถิ่งจนบาดเจ็บ อีกทั้งยังก่อเรื่องขึ้นภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็นอีกไม่

นางเพียงแต่บังเกิดความไม่สบายใจจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตที่ไม่อาจสลัดออกจากใจไปได้ จนคล้ายกับว่าหากไม่รีบไล่หยางไคออกไปจะต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน

หลัวไห่เงียบเชียบไม่กล่าววาจา เพียงแต่หันไปยิ้มให้กับลั่วหลีน้อยๆแล้วกล่าว : “ครั้งนี้ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักได้มาเยือนโดยที่ไม่ได้รับเชิญ หากมีส่วนใดที่ทำให้กังวล ยังคงขอให้น้องสาวลั่วหลีอย่าได้ถือสา อือ หากน้องสาวลั่วหลีมีเวลาว่าง ก็สามารถไปเป็นแขกที่ดาวชุยเว่ยได้ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจะต้องต้อนรับขับสู้อย่างแน่นอน”

ลั่วหลีกล่าวออกมาอย่างเฉยชา:“ย่อมต้องมีสักวันที่ต้องไปเยี่ยมเยียนแน่นอน ในเมื่อใต้เท้าหลัวไห่เสาะหาผู้สืบทอดเช่นนี้จนพบ คาดว่าก็คงคิดที่จะกลับไปดาวชุยเว่ยเพื่อทุ่มเทจิตใจให้การอบรมสั่งสอน ลั่วหลียังคงมิขอส่งแล้ว”

นางถึงกับเอ่ยปากเพื่อส่งแขกออกมาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน

อย่าว่าแต่เป็นเพียงหลัวไห่ที่ทำได้แต่เพียงยิ้มขึ้นน้อยๆ แทบจะหาได้มีความตั้งใจที่จะขอตัวอำลา เพียงแต่หันไปเหม่อมองหยางไคอยู่วูบหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือแล้วกล่าวขึ้นว่า : “ไม่ต้องรีบไป เรื่องของข้าผู้เป็นเจ้าสำนักเองก็ถือว่าเป็นที่ประจักษ์กันแล้ว แต่การมาเยือนในครั้งนี้ของพี่ซื่อฮั่ว ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจึงได้เพียงคิดที่จะรอจากไปพร้อมกับเขาเท่านั้น”

เมื่อเปล่งวาจากล่าวออกมา ลั่วหลีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เรื่องที่ตัวเองเป็นกังวลในที่สุดก็ได้มาถึงแล้วอย่างงั้นหรือ ?

หลัวไห่ถึงแม้จะไม่ได้กล่าวออกมาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน แต่เพียงแค่ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียว : “รอจากไปพร้อมกับเขา”ถึงกับทำให้ลั่วหลีสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ย่ำแย่ขึ้นแล้ว

นี่ก็เหมือนกับพูดได้ว่า ในขณะนี้หลัวไห่ได้ยืนอยู่ทางฝ่ายของซื่อฮั่ว

ปิงหลงและหรานอวิ่นถิ่งและพวกล้วนแต่ทอสีหน้าปั้นยากสบตามองกัน พร้อมกับหันไปมองซื่อฮั่วด้วยความระแวดระวัง

ขุมอำนาจใหญ่ทั้งสองสายจากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นและนิกายแสงอัคคี ได้ก่อสงครามการแย่งชิงกันในดาววารีสีชาด โดยที่ไม่สามารถทราบผลแพ้ชนะได้มานานนับหลายพันจวบจนนับหมื่นปี อีกทั้งยังมีพลังความสามารถที่ทัดเทียมกัน แต่บัดนี้หากว่ามีหลัวไห่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแล้วละก็ ขุมอำนาจอย่างหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นย่อมต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน

ต่อให้ยังคงสามารถอาศัยค่ายกลสุดยอดผลึกเหมันต์ของเกาะสุดขั่วเยือกเย็น จะกลัวก็แต่เพียงไม่อาจพลิกผันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้

ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ปิงหลงและเหล่าผู้อาวุโสมากมายล้วนแต่ทอสีหน้าไม่พอใจกันออกมา แต่ก็ยังคงไม่กล้าที่จะกล่าววาจาเดือดดาลโดยที่ไม่ยั้งคิดออกมา

หยางไคเพียงหันไปมองภาพที่เกิดขึ้นภายในตำหนักน้ำแข็งด้วยรอยยิ้มเย็นชา หาได้เก็บซ่อนความรู้สึกที่กำลังคิดอยู่เอาไว้แม้แต่น้อย

“ไม่ทราบว่าซื่อฮั่วท่านมาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นเราในครั้งนี้ มีความประสงค์ใดงั้นหรือ ?”ลั่วหลีถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา จนสามารถควบคุมจิตใจที่สั่นไหวกลับคืนสู่สภาพปกติได้ในที่สุด จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเคร่งเครียด

ซื่อฮั่วเพียงหัวเราะเสียงดังกังวาน เส้นผมบนศีรษะพลันเริงระบำประดุจเปลวเพลิงขุมหนึ่งลอยพลิ้วไหว เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาลอย่างมากล้น จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วตอบ:“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ลั่วหลีเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องร้อนใจกันถึงเพียงนี้”

เขาเองก็คงมีความถือดีในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง จากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับลั่วลีมาเนิ่นนานหลายปีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะนี้จะเป็นช่วงที่นางได้รับบาดเจ็บจากการบ่มเพาะ ตัวเองก็ยังไม่อาจที่จะกุมความได้เปรียบมาได้ แต่ว่าบัดนี้ ตัวเองกลับคล้ายกับมีความสุขดั่งผู้มีชัยไปแล้ว จนแผ่ซ่านกลิ่นอายเหมือนดั่งสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์3 อีกทั้งซื่อฮั่วยังพอใจในความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

“ว่ามาเถอะ !”ลั่วหลีหันไปมองเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ

ซื่อฮั่วเพียงหัวเราะหึหึอย่างแผ่วเบา:“ครั้งนี้การที่ข้ามาเยือน แค่เพียงต้องการคนคนหนึ่งจากสำนักสูงส่งท่านเท่านั้น”

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด