ตอนที่ 1649 ขอขมา
ตอนที่ 1649 ขอขมา
โจวอวิ่นเสวียนที่พยายามดิ้นรนปีนป่ายขึ้นมาจากบนพื้นหิมะ ใช้มือแตะไว้บนแก้ม ทอสีหน้าตะลึงลาน กำลังหันไปเหม่อมองหยางไค
นางแทบไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ภายใต้เบื้องหน้าท่านจ้าวหุบเขาและผู้อาวุโสมากมายเช่นนี้ หยางไคจะถึงกับหาญกล้าที่จะลงมือต่อตนเอง
“ขอขมาด้วย!”หยางไคมองไปที่นางอย่างเย็นชา
โจวอวิ่นเสวียนที่ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมา การที่ถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ต่อหน้าต่อหน้าศิษย์พี่น้องที่มากมายกันถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังอยู่ในขอบเขตหวนกำเนิด นางมีหรือที่จะอดทนได้ ? พร้อมกับสะบัดหน้าไปในทันที พร้อมทั้งกรีดร้องขึ้นมาเสียงแหลม:“เจ้ากล้าตบข้างั้นหรือ ?”
เพียะ……
พร้อมกับเสียงที่ดังก้องกังวานขึ้นอย่างแผ่วเบา โจวอวิ่นเสวียนก็ได้ทะยานกายลอยขึ้นอีกครั้ง
กระนั้นใบหน้าที่เหลืออีกข้างก็ได้เกิดอาการชาขึ้นแล้ว
“ขอขมาด้วย!”เสียงของหยางไคยังคงเย็นยะเยือกและแข็งทื่อ กลับหาได้เห็นใจเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นเทิมกันขึ้นมา
โจวอวิ่นเสวียนได้ปีนขึ้นมาจากพื้นเป็นคำรบสอง บนใบหน้าที่ปรากฏสีหน้าแตกตื่นตกใจขึ้น พร้อมทั้งสะบัดหน้าเข้าหาหรานอวิ่นถิ่ง ราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตัวเอง แต่เมื่อได้เหม่อมองออกไป โจวอวิ่นเสวียนก็รู้สึกได้แต่เพียงจิตใจที่เย็นยะเยือกที่แล่นมาจากปลายฝ่าเท้าได้ ยิ่งมีแต่จะทำให้สั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดยังคงเย็นชาดุจผิวน้ำ ถึงแม้จะเอาแต่จับจ้องหยางไคอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังคงหาได้หาญกล้าที่จะเปล่งวาจาแม้สักคำเดียว
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นก็ล้วนแต่มีสีหน้าเช่นนี้กันออกมา หรือแม้กระทั่งท่านจ้าวหุบเขาก็ยังต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
แทบจะหาได้มีคนที่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ตัวเองได้เลย !
โจวอวิ่นเสวียนบังเกิดความประหลาดใจขึ้นมา!นางทราบว่า นี่จะต้องเป็นจุดที่ตัวเองทำอะไรไม่ถูกต้องแน่นอน อีกทั้งยังไม่สมควรที่จะด่าทอซูเหยียนออกไปเยี่ยงนี้ แต่นี่ย่อมมีส่วนที่เกิดมาจากส่วนที่นางไม่อาจทราบได้แน่นอน
บุรุษหนุ่มผู้นี้ถึงกับทำให้ทุกผู้คนบังเกิดความหวาดกลัวนับหมื่นส่วน!
“จะขอขมา หรือว่า……อยากตาย!”หยางไคเองก็ได้ยื่นคำขาดออกมา ปรากฏเป็นรังสีสังหารขึ้นอีกระลอก โดยที่ปกคลุมโจวอวิ่นเสวียนเอาไว้ เนื่องจากที่เป็นเพราะไม่สามารถฆ่าหรานอวิ่นถิ่งได้ จึงได้ทำให้เขาเดือดดาลเป็นขึ้นมายกใหญ่ ประจวบกับที่โจวอวิ่นเสวียนผู้นี้เขามาแทรกพอดิบพอดี
ในที่สุดปิงหลงก็ได้กล่าวขึ้นแล้ว พร้อมทั้งขมวดคิ้วแล้วกล่าว : “หยางไค เอาแค่พอดีก็ได้แล้ว ศิษย์ผู้นี้ถึงแม้กล่าววาจาที่ไร้มารยาท แต่ก็ได้ถูกเจ้าลงโทษไปแล้ว ยังคงหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้เถอะ”
จะว่าอย่างไรโจวอวิ่นเสวียนก็ยังถือเป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น การที่ถูกหยางไคตบเข้าไปสองฉาดต่อหน้าต่อตาตัวเองเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการหักหน้าปิงหลงเป็นอย่างยิ่งแล้ว หากว่าหยางไคยังคิดที่จะกดดันต่อไป ปิงหลงเองก็ไม่สะดวกที่จะยุ่งเกี่ยวแต่ก็ไม่สามารถเอาแต่ดูได้
ความจริงหากทำเช่นนั้นแล้วละก็ ก็คงจะเป็นที่ครหาในใจของเหล่าลูกศิษย์กันแล้ว
“ศิษย์น้อง แล้วกันไปเถอะ”ซูเหยียนเองก็ได้กล่าวเพื่อร้องขอไมตรีแทนโจวอวิ่นเสวียน
ในสายตาของนาง คำด่าทอของโจวอวิ่นเสวียนนั้นแทบจะไม่ได้ก่อความเสื่อมเสียให้แก่นางเลยด้วยซ้ำ บัดนี้หยางไคเองก็ได้ตบนางไปแล้วสองฉาด ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ทำให้นางได้ลิ้มรสชาติได้อย่างสาสมแล้ว
ทว่าหยางไคที่ออกหน้าแทนตนเอง ในใจซูเหยียนเองก็ย่อมบังเกิดความหวานวาบขึ้นมา
“ในเมื่อศิษย์พี่หญิงกล่าวมาเช่นนี้……เช่นนั้นข้าเองก็ไม่คิดที่จะฆ่าให้ถึงที่สุดแล้ว”สีหน้าของหยางไคพลันสงบลง จากนั้นก็หันไปมองปิงหลงแล้วกล่าว : “ให้นางขอขมา แล้วข้าจะยอมปล่อยนางไป !”
ปิงหลงอับจนถ้อยคำ คิดในใจว่าถึงขนาดนี้แล้วยังคงไม่ยอมถอยให้อีกงั้นหรือ ในใจพลันบังเกิดเป็นเพลิงอันเดือดดาลออกมาบ้างแล้ว
ในเวลานี้ เบื้องสูงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่แสดงสีหน้าสงสัยกันออกมา แม้ว่าจะได้ยินกันชัดถ้อยชัดคำกันอยู่แล้ว แต่ก็เหมือนกับไม่ได้ทราบถึงสิ่งใดก็มิปาน ภายใต้การจดจ่อให้ความสนใจ ก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงกลับกลาย
หยางไคขมวดคิ้วขึ้น ราวกับกำลังคิดที่จะสอดส่องความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากท่ามกลางจิตสัมผัสที่อยู่ตามมวลอากาศ จนแทบไม่อาจปิดบังได้อย่างมิดชิด
กระนั้นก็ยังสามารถเข้าใจได้ในทันที สมควรที่จะเป็นผู้นำผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่กำลังบอกกล่าวอะไรบางอย่างต่อคนเหล่านี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหาได้เข้าไปขัดขวางหรือรบกวนไม่ เพียงแต่แค่รอคอยอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
รอจนกระทั่งปิงหลงและพวกมีสีหน้าเคร่งเครียดกันไม่คลาย ก็พลันสงบลงไปได้บ้าง พวกนางจึงค่อยได้หันหน้าสบตามองกัน สีหน้าอากัปกิริยาของทุกคนล้วนแต่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างถึงขีดสุด ราวกับบังเกิดความรู้สึกที่กำลังเผชิญอยู่กับคลื่นสายลมพายุที่โหมกระหน่ำซัดสาดกันเข้ามา
หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นราวกับได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาแล้ว
“ขอขมาต่อซูเหยียน เรื่องราวทุกอย่างก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ !”ทันใดนั้นปิงหลงก็ได้หันไปมองโจวอวิ่นเสวียน ที่มีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว
โจวอวิ่นเสวียนที่มีสีหน้าตะลึงลาน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งท่านจ้าวหุบเขาเองก็ยังคล้อยตามหยางไคกับซูเหยียน ถึงกับจิตใจร่วงหล่นไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยว จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีที่พึ่งพิงได้อยู่ดี จึงทำได้แต่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ที่ไม่ยินยอมว่า : “ศิษย์น้องซู เมื่อครู่นี้เป็นศิษย์พี่ที่ทำไม่ถูกเอง ยังคงขอให้ศิษย์น้องอย่าได้ถือสาด้วย !”
นางที่กำลังกัดฟัน ใช้แววตาคู่นั้นจับจ้องมองมาด้วยจิตใจที่ทั้งอาฆาตและบ้าคลั่งสาดออกมา ดุจดั่งอสรพิษที่มีพิษร้ายรุนแรงตัวหนึ่ง
นางทราบดีว่า เกรงว่าวันข้างหน้าตัวเองคงจะต้องกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของทั่วทั้งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกันแล้ว จนกลับเป็นเรื่องเล่าในวงสนทนาระหว่างช่วงเวลาที่ดื่มน้ำชากันเลยก็ว่าได้ ! จนแทบไม่อาจที่จะสู้หน้าใครได้อีก
“เจ้ากลับไปเถอะ”ปิงหลงก็ได้ปัดมือไล่โจวอวิ่นเสวียน กล่าวกำชับออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
โจวอวิ่นเสวียนโค้งกายคารวะ สาวเท้าเดินจากไปจนไกล แต่ก่อนหน้านั้นยังคงทอแววตาที่อาฆาตมาดร้ายต่อหยางไคและซูเหยียนอยู่ ราวกับต้องการให้พวกนางทั้งคนถูกสลักลึกไว้ในจิตใจ สลักลึกจนถึงแกนกระดูก
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
“ที่เหลืออยู่ทุกคนก็ล้วนแต่กลับไปกันได้แล้ว !”ปิงหลงตวาดกล่าว
ศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกนางล้วนแล้วแต่แยกย้ายกันสลายตัวออกไป
ไม่นานนัก ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ก็เหลือไว้แต่เพียงเบื้องสูงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นและหยางไคซูเหยียน ชิงหย่าที่ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลออกไป ทำได้แต่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับทางด้านนี้ด้วยความกังวลใจ
“หยางไค ขอให้เจ้าตามข้ามาด้วย !”ปิงหลงได้หันไปมองหยางไคด้วยอาการสับสน
“ผู้ใดต้องการที่จะพบกับข้ากัน ?”หยางไคคล้ายกับพอที่จะคาดเดาบางอย่างได้
ปิงหลงถอนหายใจ:“ท่านผู้นำผู้อาวุโสต้องการพบเจ้า……ไม่แต่เพียงแค่นี้ จ้าวแห่งดวงดาวชุยเว่ยใต้เท้าหลัวไห่และผู้อาวุโสซื่อฮั่วแห่งนิกายแสงอัคคีต้องการพบเจ้า!”
“หลัวไห่มาแล้วงั้นหรือ ?”หยางไคหรี่นัยน์ตาลง
“มิผิด!”
“หากว่าข้าไม่คิดที่จะไปล่ะ ?”หยางไคแสยะยิ้ม
“เรื่องนี้เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจทำได้ เจ้าเองก็น่าจะทราบถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”ปิงหลงถอนหายใจ : “ถึงแม้เจ้าจะมีความสามารถที่แกร่งกล้า แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าใต้เท้าหลัวไห่ ด้วยความสามารถเช่นนี้ของเจ้าก็ยังไม่นับว่าเป็นอย่างไรได้”
หยางไคลูบไปที่คาง จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย : “จากสถานการณ์ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจที่จะไม่ไปกันแล้ว เอาเถอะ ข้าจะติดตามท่านผู้อาวุโสไปสักครา คงจะได้เวลาที่จะจบสิ้นทุกอย่างลงแล้ว”
ปิงหลงตะลึงลาน แต่กลับหาได้ถามออกมามากความ เพียงหันไปมองซูเหยียนที่อยู่ข้างกายเขาด้วยความหวาดหวั่น แล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมา : “เช่นนันข้าจะคอยนำทางพวกเจ้าเอง”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็ได้รั้งอยู่ทางด้านหลัง แววตาของหรานอวิ่นถิ่งยังคงจับจ้องมองหยางไคด้วยความโหดเหี้ยม อีกทั้งยังคงอยู่ในสีหน้าที่ดุร้ายออกมาอยู่
ถึงแม้ว่านางจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าหลัวไห่ถึงได้พยายามที่จะพบกับหยางไคให้ได้ รวมที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทุ่มเทกำลังพลของนิกายแสงอัคคีเพื่อเสาะหาร่องรอยของหยางไคให้ได้ แต่จากที่เห็นในตอนนี้ ใต้เท้าหลัวไห่และเจ้าหนูผู้นี้คงจะต้องมีความแค้นที่ลึกล้ำต่อกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงกับยังกล้าที่จะไปตอแยใต้เท้าหลัวไห่ ! เช่นนี้ก็ดูว่าเจ้าจะตายอย่างไรกันแล้ว ในใจหรานอวิ่นถิ่งพลันสาปแช่งสาดส่งออกมา
ต่อมา นางก็ได้พบเห็นซูเหยียนและหยางไคจูงมือกัน และซุบซิบสนทนาอะไรกันบางอย่าง จนไม่อาจที่จะไม่เกิดเพลิงโทสะท่วมท้นขึ้นมา จนบัดนี้แทบจะอยากเดินเข้าไปแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกัน
แต่เมื่อนึกถึงพลังฝีมือของหยางไค หรานอวิ่นถิ่งก็ยังคงสะกดอดกลั้นเอาไว้ เพียงสบถเสียงดังเหอะอย่างเย็นชา ไล่ตามปิงหลงและคนอื่นๆไป
“ศิษย์พี่หญิงรอข้าอยู่ที่นี่เถอะ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา”
“ไม่ ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า !”ซูเหยียนส่ายหน้า หางตาคู่งามได้ปรากฏความแน่วแน่ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเกิดความเป็นห่วงเป็นใยว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรกับหยางไค ก็จะสามารถรุกถอยเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้
“นั่น……เอาเถอะ”หยางไคเองก็ไม่ได้กล่าวอธิบายเพื่อโน้มน้าวอะไรไม่ เพียงแต่เงยหน้าแล้วหันไปมองทางด้านของชิงหย่า
ชิงหย่าพลันกล่าวขึ้นในทันทีว่า:“ข้าจะรอคอยพวกเจ้าอยู่ที่นี้เอง!”
นางทราบว่าตัวเองหาได้มีคุณสมบัติพอที่จะไปเข้าร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ ดังนั้นจึงได้คิดที่จะรั้งอยู่ในที่แห่งนี้เท่านั้น
หุ่นเชิดศิลาก็ยืนอยู่ข้างกายนั่งแน่นิ่ง
หยางไคพยักหน้าตอบรับ และจากไปพร้อมกับซูเหยียน
ปิงหลงที่รั้งอยู่ในจุดที่ไม่ห่างไกลออกไปนัก ที่ได้มองเห็นทั้งคู่ดุจดั่งคู่รักอมตะก็มิปาน อีกทั้งยังใกล้ชิดกันจนไร้ซึ่งช่องว่าง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวมากความกับเรื่องนี้ได้อยู่ดี ทำได้แต่เพียงหันไปมองหยางไคแล้วถามขึ้นว่า : “ถึงอย่างไรเรื่องก็มาจนถึงขั้นนี้แล้ว มิใช่ว่าเจ้าเองก็สมควรที่จะเปิดเผยอะไรออกมาบ้าง ถึงความแค้นระหว่างเจ้าและใต้เท้าหลัวไห่นั้นแท้จริงแล้วมีความเป็นมาอย่างไร ?”
“ผู้อาวุโสต้องการที่จะทราบอย่างงั้นหรือ ?”หยางไคยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยถาม
ปิงหลงพยักหน้า
“ถามหลัวไห่เองจะดีกว่าแล้ว หากว่าเขายินดีที่จะบอกกล่าวต่อท่าน ท่านก็ย่อมที่จะทราบได้เอง”
“เจ้า……”ปิงหลงถึงกับพูดอะไรไม่ออก : “เจ้าใช่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ใต้เท้าหลัวไห่และผู้อาวุโสซื่อฮั่วเองก็ได้มาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นพร้อมกัน อีกทั้งยังได้ระบุเอาไว้ว่าต้องการที่จะพบกับเจ้า พวกเขาย่อมต้องมาเพื่อเสาะหาเจ้าอยู่แล้ว บัดนี้ที่พอจะสามารถปกป้องเจ้าให้รอดปลอดภัยได้ ก็มีแต่เพียงผู้นำผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราแล้ว มาจนถึงขั้นนี้เจ้ายังมัวแต่มาทำเป็นมีลับลมคมใน เจ้าอยากตายมากถึงเพียงนั้นเลยอย่างงั้นหรือ ?”
“ผู้อาวุโสแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นท่านนั้นของท่าน คล้ายกับว่ายังอยู่เพียงแค่ขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่หนึ่งใช่หรือไม่ ? หลัวไห่หากว่าคิดที่จะทำอย่างไรข้าขึ้นมา นางจะสามารถต้านทานได้อย่างงั้นหรือ ?”หยางไคแสยะยิ้มขึ้น
ปิงหลงถึงกับอับจนถ้อยคำจนไม่อาจโต้แย้งได้
เหนือกว่าขอบเขตกำเนิดราชัน ระดับขอบเขตที่เหนือกว่าเพียงหนึ่งขั้นย่อยทุกขั้น กลับยังคงมีความสามารถที่เปี่ยมล้นดุจดั่งฟ้าถล่มดินทลายมิเปลี่ยนแปลง!เนื่องจากเป็นเพราะสาเหตุประการฉะนี้ หลัวไห่และซื่อฮั่วที่รุดหน้ามาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นจึงไม่มีใครผู้ใดสามารถถือโทษได้ อีกทั้งการที่พวกเขาระบุว่าต้องการพบตัวหยางไค แม้แต่ลั่วลีเองก็ยังไม่อาจปฏิเสธได้
หากว่าเป็นเช่นนี้ เหตุใดลั่วหลีถึงยังปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นอีกกัน ? ถ้าหากมีแค่เพียงซื่อฮั่วคนเดียวแล้วละก็ ลั่วหลีก็คงจะสยบเขากลับไปตั้งแต่แรกกันแล้ว
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็หาได้มีความสัมพันธ์ระหว่างหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ต่อให้ผู้นำผู้อาวุโสของพวกท่านมีความสามารถเช่นนี้ แล้วยังสามารถคุ้มครองข้าได้อีกอย่างงั้นหรือ ?”หยางไคยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา : “พวกท่านเองก็คงอยากที่จะทราบว่าหลัวไห่ต้องการอะไรจากข้าใช่หรือไม่ ? หรือบังเกิดความคิดที่จะได้รับการแบ่งปันน้ำแกงจากหลัวไห่สักถ้วยกันล่ะ ?”
ปิงหลงตะลึงลาน จากนั้นก็ทำได้แต่เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าว:“นับว่าเจ้ายังสามารถคิดได้ถี่ถ้วน ในเมื่อคิดได้เช่นนี้ เหตุใดถึงยังยอมที่จะไปพบกับเขากันอีกล่ะ ? หากว่าข้าเป็นเจ้า ก็คงจะจากไปตั้งแต่แรกแล้ว !”
“ยังไปที่ไหนได้อีก ?”หยางไคส่งเสียงดังเหอะออกมาอย่างเย็นชา : “ข้าถูกเขาไล่ล่าจนหัวซุกหัวซุกจนอยู่ท่ามกลางแดนดารา จนไม่ง่ายเลยที่จะรอดมาจนถึงดาววารีสีชาดได้ บัดนี้เมื่อได้ถูกเขาพบเห็นร่องรอย เกรงว่าก็คงยากที่จะหลบหนีได้พ้น ข้าว่านะ คงจะได้เวลาที่จะสะสางบัญชีความแค้นนี้กันแล้ว มิเช่นนั้นในเวลาที่เขาเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าเองก็ย่อมไม่พอใจกันอยู่ดี เขาเองที่ถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ข่มเหงผู้เยาว์ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงต้องดูว่าเขามีความสามารถเช่นนี้แล้วหรือไม่กันแล้ว !”
ในระหว่างที่สนทนากันอยู่ บนใบหน้าของหยางไคก็ได้ทอสีหน้าดุร้ายออกมา สาดแววตาที่คมกล้าแหลมคมดุจสายฟ้าแลบก็มิปาน แต่กลับหาได้เกิดความขลาดเขลาต่อความแข็งแกร่งของหลัวไห่ไม่ ในทางกลับกันกลับยังคงอยู่ในสภาพที่พร้อมรบเป็นทุนเดิม
ปิงหลงถึงกับต้องเหม่อมองหยางไคด้วยอาการอ้าปากตาค้าง มิเอื้อนเอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน ผ่านไปได้สักพักแล้วจึงค่อยส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า:“บ้าไปแล้ว!”
ด้วยระดับขอบเขตการบ่มเพาะในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สอง ถึงกับยังหาญกล้าที่จะกล่าววาจาสามหาวออกมาเยี่ยงนี้ ปิงหลงก็รู้สึกได้ว่าหยางไคเหมือนกับมีปัญหาในด้านความคิดที่ไม่ปกติอยู่บ้าง
หยางไคหัวเราะฮาฮาออกมาเสียงดังก้องกังวาน หากได้ใส่ใจแต่อย่างไร
ซูเหยียนที่อยู่มาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่หาได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแต่ยังคงอยู่ข้างกายหยางไค และกุมมืออยู่กับเขาเท่านั้น ราวกับไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้ตลอดกาล บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มที่พึงพอใจอยู่น้อยๆ
ปิงหลงยังคงทำได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาไม่หยุด หากว่าเป็นเวลาตามปกติ คู่รักที่มีความเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกดั่งสวรรค์สร้างขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมมีแต่เป็นที่อิจฉากันอยู่แล้ว
แต่ว่า หยางไคที่ถูกหลัวไห่จับจ้องเอาไว้แล้ว หลังจากนี้ชะตาชีวิตของเขาย่อมต้องถูกผู้คนอีกมากมายนับไม่ถ้วนคอยสอดส่อง และซูเหยียนที่เปรียบเสมือนกับศิษย์ในดวงใจของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น การบ่มเพาะพลังภายในหยกน้ำแข็งของนาง หากไม่สามารถตัดขาดจากโซ่ตรวนนี้ได้ คงจะต้องมีสักวันที่อาจจะถูกดึงจนตกต่ำเลยก็เป็นได้ จนท้ายที่สุดก็จำต้องมีชะตาชีวิตที่น่าเศร้าอย่างไร้ที่เปรียบ
ปิงหลงกลับหาได้แยแสสนใจไม่
ทั้งสามเรียกได้ว่ามีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง อีกไม่นานนักก็ได้มาเยือนถึงยังด้านหน้าตำหนักน้ำแข็งที่ซึ่งยิ่งใหญ่และงดงาม
ตำหนักน้ำแข็งนี้ราวกับถูกแกะสลักมาจากน้ำแข็งที่เร้นลับทั้งหมด ดุจผลึกเหมือนดั่งหยกขาว ขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะ พร้อมกับบรรยากาศอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่เกิดจากภายใน แต่หากเป็นมุมมองของผู้คนจากอีกฝ่ายย่อมถือเป็นดังความน่าหวาดกลัวเลยทีเดียว
ท่ามกลางตำหนักน้ำแข็ง อันเปี่ยมล้นไปด้วยบรรยากาศที่แข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุด
เมื่อในเวลาที่หยางไคได้มาถึงตำหนักน้ำแข็งหยกขาวนี้ จิตสัมผัสทั้งสามสายราวกับว่าได้ปกคลุมเข้ามาที่ตัวของเขาภายในพริบตา ในส่วนนี้ยังได้มีพลังที่แข็งกร้าวอย่างถึงที่สุดอยู่สายหนึ่ง จนแทบเรียกได้ว่าหาได้มีความงดงามได้เหมือนดั่งพลังอีกสองสายนั้นอีกต่อไป
หลัวไห่!
.
.
.