ตอนที่ 1648 สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ
ตอนที่ 1648 สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ
หรานอวิ่นถิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไป ทำได้แต่หันไปมองหยางไคด้วยความเย็นเยียบ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ : “มาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ!”
จากการเสริมพลังจากผู้อาวุโสทุกท่าน ได้ทำให้นางสามารถมองเห็นความหวังที่จะสามารถฆ่าหยางไคได้อีกครั้ง
“ตายซะ!” หยางไคตวาดเสียงดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน
บนร่างที่ไหลเวียนไปด้วยประกายอันคมกล้าสี่สายพลันแตกซ่านกันออกไป ถ่ายเทรวมเข้าสู่ภายในรังสีกระบี่ทองคำ ผนวกประสานจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
รังสีกระบี่ห้าสายผนึกรวมจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในทันที!
ประกายกระบี่ที่ซุกซ่อนพลังทั้งห้าสายเอาไว้ ในขณะที่อยู่ในระหว่างการปะทะกัน บรรยากาศทั้งห้าสายราวกับแทบไม่อาจหยุดนิ่ง อำนาจประกายกระบี่พลันปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
กร๊อบบบบ……
กำแพงน้ำแข็งที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าหรานอวิ่นถิ่งก็ได้เกิดเสียงแตกดังขึ้น จนปรากฏขึ้นเป็นรอยร้าวขึ้นอย่างชัดเจน
หรานอวิ่นถิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด ปิงหลงและผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนแต่แข็งทื่อดุจท่อนไม้
เสียงบางอย่างพังทลายพลันดังขึ้น กำแพงน้ำแข็งแตกสลายพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ รังสีกระบี่ห้าสีสันยังคงมีพลังสังหารอย่างแรงกล้าอีกชนิดหนึ่งทิ่มแทงเข้าไปตรงๆ!
ในขณะที่กำลังมองผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นท่านนี้กำลังจะสิ้นชีพเยือนปรภพ แต่ในเวลานี้ ก็พลันปรากฏฝ่ามือหยกที่ขาวนวลข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยความพิสดาร
ข้าจะกระซิบให้เจ้าฟังถึงความลับของหยางไค มาที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com สิ
ฝ่ามือหยกข้างนั้นที่ดูไปแล้วขาวผ่องไร้ที่ติ นิ้วทั้งห้ายังเรียวยาว ดุจดั่งต้นหอมที่พึ่งดึงขึ้นจากน้ำ ฝ่ามือหยกได้ประทับเข้าไปอย่างแผ่วเบา เสมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะต้านทานบางอย่างที่กระทบเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย
พลังอันลี้ลับอย่างถึงขีดสุดชนิดหนึ่ง เปรียบเสมือนดั่งพลังอันมหาศาลที่ยากตรวจพบก็ได้ถูกถ่ายทอดมาจากฝ่ามือหยกนั้น
รังสีกระบี่ห้าสีสันที่บดขยี้กำแพงน้ำแข็งจนเป็นผงถึงกับถูกฝ่ามือหยกนี้ต้านเอาไว้ได้ รังสีกระบี่ยังคงสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง แต่กลับหาได้สามารถคืบคลานเข้าไปได้อีกแม้แต่น้อย
“พ่อหนุ่มน้อย หากอภัยได้ก็จงให้อภัย เหตุไฉนจึงต้องฆ่าแกงกันให้ถึงที่สุดด้วยกัน?” เสียงอันเย็นเยียบของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้นจากความว่างเปล่า
หยางไคขมวดคิ้วขึ้นในบัดดล พร้อมกับหรี่ตาลง
หรานอวิ่นถิ่งเสมือนพึ่งไปเยือนประตูยมโลกมาแล้วรอบหนึ่ง ร่างกายที่เดิมทีเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ท่วมร่าง แต่เมื่อในขณะที่พบกับฝ่ามือหยกนี้ หลังจากที่ได้ยินเสียงของสตรีที่มีน้ำเสียงหนาวเหน็บ พลันเกิดเป็นความยินดีดั่งพบพานความหวัง ตะโกนขึ้นเสียงดังก้องว่า: “ศิษย์ขอขอบพระคุณท่านผู้นำผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต ยังคงขอโปรดให้ผู้นำผู้อาวุโสช่วยลงมือด้วยสักครั้ง เพื่อสังหารเดรัจฉานผู้ที่ทำให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้รับความอัปยศด้วย!”
ผู้นำผู้อาวุโส?
สีหน้าของหยางไคพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที เงยหน้าหันไปมองเหม่อมองยังอีกทิศทางด้านหนึ่ง แต่กลับหาได้พบเห็นเงาผู้คน
เขาทราบว่าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นยังมีผู้นำผู้อาวุโสคอยประจำการอยู่ นั่นถือได้ว่าเป็นผู้ทรงพลังในระดับขอบเขตกำเนิดราชัน แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่หนึ่งเท่านั้นเอง
แม้แต่บุคคลอย่างหลัวไห่ผู้นั้น หยางไคก็ยังเคยล่วงเกินมาก่อน ยิ่งไล่ล่าเขาไปทั่วทุกแดนดาราจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นผู้นี้ต่อให้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ก็ยังไม่อาจทำให้หยางไคหวาดกลัวได้
ดังนั้นเขาจึงหาญกล้าที่จะมาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น!
เขาได้ลอบกำลังเตรียมการเอาไว้ ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างแทบจะไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้มิด!
จากอีกทางด้านหนึ่ง ปิงหลงที่มีสีหน้าแตกตื่นจนหน้าถอดสี เพราะเกรงว่าท่านผู้นำผู้อาวุโสจะบังเกิดความเดือดดาลจนถึงกับฆ่าหยางไคขึ้นมาแล้วจริงๆ จึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า : “ท่านผู้นำผู้อาวุโสโปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย ในเรื่องนี้จะต้องมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างแน่ เรื่องทางนี้ยังคงมอบให้แก่ปิงหลงสะสางเถอะ!”
การดำรงอยู่ของหยางไค ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ปิงหลงเองก็ไม่กล้าที่จะฆ่าเขาโดยส่งเดชเป็นอันขาด
สตรีเจ้าของเสียงเย็นเยียบนั้นก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้แทบจะหาได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดกลับมา เพียงแต่ส่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ เพียงคำเดียว มือหยกที่คว้าจับไปที่รังสีกระบี่ห้าสีสันเอาไว้พลันสลายแตกซ่านไป หายลับไปจนมิอาจมองเห็นได้อีก
หยางไคพลันบังเกิดความคิดขึ้นวูบ พร้อมทั้งรั้งรังสีกระบี่ห้าสีสันกลับคืนสู่ภายในร่าง หันไปมองเหม่อมองหรานอวิ่นถิ่งอย่างเย็นชา
อีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่เขา ขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน อยู่ในอาการไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด
ราวกับว่าที่ผู้นำผู้อาวุโสอยู่ในอารมณ์บูดบึงนั้นเกิดมาจากการที่ไม่สามารถสังหารหยางไคลงได้แล้ว ถึงอย่างไรสิ่งที่หยางไคก่อขึ้นก็นับว่ารุนแรงเลยทีเดียว จนตกเป็นเป้าสายตาทุกคู่ที่มองกันเข้ามา ถึงกับยังคิดที่จะฆ่านางผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้กันอีก
การท้าทายและเหยียดหยามเช่นนี้ หรานอวิ่นถิ่งย่อมไม่อาจทนทานรับไว้ได้อย่างแน่นอน
แต่การเผชิญหน้าเพื่อตัดสินกับผู้นำผู้อาวุโส นางเองก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านแต่อย่างไร ทำได้แต่เพียงเก็บงำเพลิงโทสะเอาไว้กับตัวเอง
ทันใดนั้นเงาของโฉมสะคราญก็ได้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง หยางไคที่มีสัมผัสจิตวิญญาณก็ได้หันไปเหม่อมองยังทางด้านนั้น ชั่วขณะต่อมา รังสีสังหารที่ระอุอยู่เต็มร่างพลันมลายหายไปดุจหมอกควัน ราวกับหาได้เคยปรากฏมาก่อนไม่ เผยออกมาให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นขึ้นมา
เขาที่กำลังเหม่อมองไปยังทางด้านนั้น สาดทอแววตาอบอุ่นดุจน้ำค้าง
ปิงหลงและพวกราวกับว่าไม่อาจที่จะตอบสนองความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเขาได้ ถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นตามๆ กัน ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเรื่องทุกอย่างนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในระหว่างที่ละสายตาหันไปมองตามเขา รอจนกระทั่งหลังจากที่พบเห็นภาพที่เกิดขึ้นจากทางด้านนั้น ปิงหลงก็ได้เผยสีหน้าคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
หรานอวิ่นถิ่งก็ได้มองเห็นโฉมหน้าของผู้ที่มาเยือน ถึงกับทอสีหน้าโหดเหี้ยม ประจวบกับในเวลาที่คิดจะตะโกนอะไรออกมาบางอย่าง ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกได้ถึงแววตาที่แรงกล้ากำลังมองมาที่ตนเอง
เมื่อได้หันกลับไปมอง ประจวบกับเป็นหยางไคที่กำลังจับจ้องนางอย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายกับกำลังบอกว่า “หากเจ้ากล้าพร่ำบ่นออกมา ข้าจะปลิดชีวิตเจ้าในทันที”
หรานอวิ่นถิ่งถึงกับหยุดคำพูดเอาแค่ที่มุมปาก พร้อมกับกล้ำกลืนกลับไปพร้อมกับอาการกลืนน้ำลายลงคอ
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะคิดมากไปแล้วหรือไม่ ชั่วพริบตาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางถึงกับบังเกิดความรู้ที่ราวกับได้ว่ากำลังถูกสัตว์ประหลาดอันดุร้ายยุคบรรพกาลจับจ้องมองอยู่ ราวกับขอเพียงไปยั่วยุหยางไคอีกรอบแล้วละก็ แม้กระทั่งผู้นำผู้อาวุโสเองก็ไม่อาจช่วยชีวิตตนได้อีกแล้ว
ความคิดเช่นนี้ได้ทำให้นางตกอยู่ในอาการขนลุกขนพอง……
เงาของโฉมสะคราญที่ผุดโผล่จากในที่ห่างไกลอยู่หลายรอบ ก็ได้มาอยู่ห่างจากเบื้องหน้าหยางไคเพียงหนึ่งจั้ง พร้อมทั้งยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า หางตาที่สั่นระริก ขบริมฝีปากเอาไว้
แววตาทั้งสี่สายเมื่อบรรจบกัน ประดั่งน้ำแข็งที่เย็นวาบ ใบหน้าที่เปี่ยมเสมือนดั่งถูกแกะสลักอยู่บนรูปปั้นหยกน้ำแข็ง ก็ได้เผยรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะพบพานออกมาให้ได้เห็น
ทั่วทั้งเกาะสุดขั่วเยือกเย็นคล้ายกับมีภาพทิวทัศน์ที่ทรงเสน่ห์ขึ้นมา พร้อมกับสลายหายไปในบัดดล
ศิษย์นอกเกาะจากเกาะสุดขั่วเยือกเย็นต่างคนต่างก็หน้าถอดสี ทอแววตานิ่งค้างตะลึงลาน
“สวรรค์ ซูเหยียนถึงกับยิ้มออกมาได้ด้วย? นางถึงกับยิ้มออกมาแล้ว? อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่มีต่อบุรุษเพศด้วย”
“ข้ายังคิดว่านางจะไม่มีวันยิ้มออกมาได้ตลอดกาลแล้ว นางรู้จักกับบุรุษผู้นี้อย่างงั้นหรือ?”
“พวกเขามีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกัน เหตุไฉนถึงได้ดูไปแล้วคล้ายกับสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง?”
“ซูเหยียนถึงกับมีบุรุษติดพันจากภายนอกงั้นหรือ? นี่ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายกันเกินไปแล้ว”
“ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใดนางถึงได้ถูกผู้อาวุโสสูงสุดลงโทษ ลูกของหรานอวิ่นถิ่งหาได้เคยได้รับการอนุญาตให้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุรุษมาก่อน ไม่”
“เด็กน้อยผู้นี้แท้จริงแล้วมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน ถึงกับยังสามารถเอาชนะใจของซูเหยียนไปได้……”
……
ภายใต้เสียงซุบซิบนินทาที่ดังกระจายไปทั่วทุกสี่ทิศแปดด้าน หรานอวิ่นถิ่งก็ได้ทอใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา ปิงหลงถอนหายใจระคนส่ายหน้า
เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือก็ได้สบตามองกัน พวกนางแทบจะไม่ทราบว่าซูเหยียนและหยางไคได้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้นานแค่ไหนกันแล้ว อีกทั้งภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ช่างถือเป็นเรื่องที่ทำให้พวกนางแตกตื่นตกใจได้เป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางผืนฟ้าท้องนภา ภายใต้แววตาหลายต่อหลายคู่ได้สาดทอเป็นประกายจับจ้องมอง หยางไคได้ยื่นมือข้างหนึ่งเข้าหาซูเหยียน
ซูเหยียนที่มีใบหน้าขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะก็มิปานก็ได้ทะยานขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงซ่านดุจมีเลือดฝาดเล็กน้อย จนเกิดเป็นดั่งภาพความทรงจำอันเกิดจากความเอียงอายที่เหนือยิ่งกว่าธรรมชาติจนมิอาจลืมเลือน นางที่ร่างกายโอนเอน โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหยางไค
ทั้งสองคนกอดกันจนแน่น!
ชั่วเวลาสามสิบกว่าปี นับตั้งแต่ที่ทั้งสองคนที่มาจากหอหลิงเซียวก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
ข้าโอบกอดเจ้า ก็คือการโอบกอดทั่วทั้งใต้หล้าเอาไว้!
สายลมหนาวโชยพัดเข้ามา หิมะพลิ้วไปพร้อมกับเกลียวคลื่นที่ก่อตัว ทั่วทั้งเกาะสุดขั่วเยือกเย็นเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สายตาของทุกผู้คนล้วนแต่เพ่งมองไปยังท่ามกลางเวหา จับจ้องมองดูอยู่ที่บนร่างหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนั้นเอาไว้
ภาพฉากที่แสนจะงดงามยิ่ง บรรยากาศที่แสนอบอุ่นมากพอที่จะกลบเกลื่อนความหนาวเหน็บโดยรอบไปได้ ทุกคนล้วนแต่รู้สึกอบอุ่นจนถึงภายในจิตใจ
หรานอวิ่นถิ่งก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงกลับกลาย ละสายตาหันไปมองยังทางด้านของปิงหลงไป ราวกับคิดที่จะกล่าวอะไร แต่เมื่อพบเห็นสีหน้าที่อับทนปัญญาของปิงหลง ท้ายที่สุดก็หาได้เปล่งวาจาออกมา
“ซูเหยียนเจ้าคนไร้ยางอาย ยังไม่รีบไสหัวกลับมาอีก!”
“เจ้าหาญกล้าประพฤติตัวเยี่ยงนี้ จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมแน่นอน!”
เสียงสองสายดังขึ้นมาอย่างฉุกละหุก ทำลายภาพอันแสนงดงามนั้นไปในบัดดล
ศิษย์สตรีของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นไม่น้อยได้หันไปมองต้นตอของเสียงด้วยแววตาที่เดือดดาล ในใจลอบถือโทษผู้ที่มาไม่หัดดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย
แววตาสองสายพลันสาดเป็นประกาย ไม่นานนักก็ได้มีศิษย์สตรีสองนางไล่ตามขึ้นมาแล้ว เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้ก็เป็นพวกนางที่ตะโกนออกมาเอง
รอจนกระทั่งหลังจากที่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโจวอวิ่นเสวียนหรือว่าจะเป็นศิษย์สตรีที่คอยดูแลซูเหยียนก็ล้วนแต่ตะลึงลาน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะลุกลามไปจนถึงเบื้องสูงของสำนักได้มากถึงเพียงนี้
จนสามารถบอกได้ว่า เหล่าผู้อาวุโสในสำนักทั้งหมดต่างก็อยู่ในที่แห่งนี้กันแล้ว
ทั้งสองที่มีสีหน้าคล้ายกับถูกใส่ความ จากนั้นก็ได้ค่อยๆ หันไปมองหรานอวิ่นถิ่ง
จะว่าอย่างไรอีกก็ดี หรานอวิ่นถิ่งที่เห็นเรื่องของซูเหยียนเป็นสำคัญ ต่อให้พวกนางด่าทอซูเหยียน แต่หากหรานอวิ่นถิ่งเกิดคิดที่จะกล่าวลงโทษขึ้นมา ก็ย่อมไม่เกิดผลดีอะไรอย่างแน่นอน
ตามที่ได้คิดกันเอาไว้ สตรีสองนางในใจพลันบังเกิดความลิงโลดขึ้นมา
หรานอวิ่นถิ่งคล้ายกับไม่ได้ยินเรื่องที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นี้ จนแทบจะหาได้เก็บมาใส่ใจทั้งสองคนไม่ แต่กลับสาดทอแววตาเดือดดาลหันไปมองทิศทางของผู้ไม่ได้รับเชิญ สาดทอแววตาประดุจมีความแค้นระคนเดือดดาล
หากมองไปตามสายตาที่นางได้มองไป โจวอวิ่นเสวียนที่ร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบปิดป้องปากเอาไว้
ทันใดนั้นนางก็ได้พบว่า ซูเหยียนถึงกับกำลังสวมกอดกับชายแปลกหน้าไปแล้ว
นี่……นี่มันช่างเป็นพฤติกรรมที่นอกรีตกันเกินไปแล้ว!
อย่าว่าแต่เป็นศิษย์ชั้นสามัญของหรานอวิ่นถิ่ง หากยังมิได้รับอนุญาตจากผู้เป็นอาจารย์ย่อมไม่อาจที่จะแสดงความใกล้ชิดกับบุรุษเพศจนออกหน้าออกตาเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งซูเหยียนยังเป็นศิษย์ที่มีได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากผู้อาวุโสสูงสุด ด้วยสถานภาพเช่นนี้ของนาง ถึงกับแสดงความใกล้ชิดกับบุรุษเพศผู้หนึ่งได้ถึงเพียงนี้ นี่มิใช่ว่าแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าผู้อาวุโสสูงสุดหรอกหรือไรกัน?
สายตาของนางยังมีผู้อาวุโสสูงสุดเป็นอาจารย์อีกอย่างงั้นหรือ?
ไม่แปลกใจเลยที่สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดถึงได้ปั้นยากถึงเพียงนี้
เมื่อนึกจนถึงตอนนี้ โจวอวิ่นเสวียนจึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า: “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ซูเหยียนนางทั้งไม่แยแสสนใจคำเตือนของข้าและศิษย์พี่น้อง ยังคงพยายามดื้อดึงที่จะออกมา เดิมทีข้าก็ยังคิดว่านางมีเรื่องสำคัญอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ถึงกับแสดงพฤติกรรมเยี่ยงนี้ต่อหน้าธารกำนัล ช่างไม่รู้จักอายกันเกินไปแล้ว ยังคงขอให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดลงโทษด้วย!”
หรานอวิ่นถิ่งที่ลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่โอนเอน บนใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเดือดดาล
เรื่องเช่นนี้มีหรือที่ยังต้องให้โจวอวิ่นเสวียนกล่าวออกมา หากว่าเป็นไปได้แล้วละก็ นางก็คงจะสับร่างหยางไคเป็นหมื่นชิ้นไปตั้งแต่แรกแล้ว!
แต่ว่านางก็ได้ถามตัวเองว่ามีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่ หากคิดที่จะฆ่าหยางไคแล้วละก็ นอกเสียจากท่านผู้นำผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเองจึงจะมีความเป็นไปได้แล้ว
ดังนั้นนางจึงเงียบไม่กล่าววาจา อีกทั้งยังหาได้ตอบคำของโจวอวิ่นเสวียนกันอีกด้วย
โจวอวิ่นเสวียนตะลึงลาน บนใบหน้าถึงกับพลันปรากฏสีหน้าสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
ในเวลาที่คล้ายกับขบคิดจนกระจ่างได้ ทันใดนั้นที่ข้างโสตก็พลันมีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นมาเป็นสาย : “เมื่อครู่นี้เป็นเจ้าที่ด่าทอซูเหยียนอย่างงั้นหรือ?”
เมื่อเงยหน้าขึ้น โจวอวิ่นเสวียนก็ได้พบว่าบุรุษผู้นั้นที่ยืนเคียงคู่อยู่กับซูเหยียนอยู่กลางเวหาก่อนหน้านี้ พลันสาดทอแววตาเย็นยะเยือกกำลังจับจ้องมองมาที่ตัวเอง
ซูเหยียนหาได้แยแสสนใจความแตกตื่นของทั้งหล้าไม่ ยังคงแอบอิงอยู่ข้างกายของเขาดั่งนกน้อย บนใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ ราวกับต่อให้ต้องตายในทันที นางก็ยังอิ่มเอิบใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
ถูกดวงตาทั้งสองข้างนั้นจ้องเขม็งกันเข้ามา โจวอวิ่นเสวียนได้พลันบังเกิดความเย็นเยียบขึ้นภายในจิตใจ กลอกดวงตามองไปทั้งซ้ายขวาอยู่รอบ ก็ได้พบว่าเหล่าผู้อาวุโสล้วนแต่หาได้มีความประสงค์ที่จะกล่าวอะไรออกมา จึงทำได้แต่เพียงกัดฟันแล้วตอบกลับไป : “เมื่อครู่นี้เป็นข้าที่พลั้งปากไปเอง”
ไม่ว่าซูเหยียนจะมีความผิดหรือไม่ แต่การที่นางก่นด่าศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันย่อมถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสและท่านจ้าวหุบเขาอีกด้วย นางเองก็หาได้ขวัญกล้าบังอาจถึงเพียงนั้นกันอยู่แล้ว พร้อมทั้งยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง
“ขอขมาด้วย!” หยางไคกล่าวออกมาเพียงสั้นๆ ได้ใจความ
บนใบหน้าโจวอวิ่นเสวียนพลันเกิดเป็นความเดือดดาลขึ้น ตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงเจือแจว: “เจ้านับเป็นตัวอะไรได้ ยังริอาจหาญมาวาดมือแกว่งเท้าอีก!”
ยอมรับความผิดก็คือการยอมรับความผิด ขอขมาก็คือการขอขมา แต่นี่กลับเป็นคนละเรื่องกัน โจวอวิ่นเสวียนอาจจะไม่ยินยอมที่จะขอขมาซูเหยียนต่อหน้าสายตาเหล่าธารกำนัล หากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วละก็ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ขายหน้ากันเกินไปแล้ว
เมื่อสิ้นเสียงลง บนแก้มพลันเกิดเป็นเสียงฉาดดังขึ้นมา โจวอวิ่นเสวียนเองก็พลันรู้สึกได้ว่าบนแก้มของตัวเองได้เกิดอาการชาขึ้นมา จนตลอดทั่วทั้งคนถูกขุมพลังอันรุนแรงขุมหนึ่งซัดเข้ามา ลอยคว้างอยู่กลางเวหาอยู่หลายตลบ จนกระแทกชนเข้ากับพื้นหิมะไปอย่างรุนแรง
หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นผู้อาวุโสทุกท่านพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
พวกนางแทบจะไม่อาจมองเห็นการลงมือของหยางไคได้อย่างชัดเจนได้ เพียงแต่พบเห็นศิษย์ผู้นามว่าโจวอวิ่นเสวียนกระโจนออกไป
.
.
.