ตอนที่ 1645 อย่าได้โทษข้าที่ลงมือไม่ไว้ไมตรี
ตอนที่ 1645 อย่าได้โทษข้าที่ลงมือไม่ไว้ไมตรี
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” หยางไคส่งเสียงดังเหอะออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หรานอวิ่นถิ่งเองเพียงส่งเสียงดังเหอะ ใช้สายตาของผู้สูงส่งมองชนชั้นผู้ต่ำต้อยมองไปที่หยางไค ดุจดั่งกำลังมองแมลงตัวน้อยที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ อีกทั้งยังทอสีหน้าเย็นเยียบออกมา
“ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะต้องการชีวิตข้ามากนักสินะ!” บนสีหน้าของหยางไคก็ได้ปรากฏเค้าความเหยียดหยาม : “หากคิดที่จะยุยงข้าให้ลงมือ ก็เพื่อการนี้อย่างงั้นหรือ?”
จนกระทั่งในเวลาที่ตรวจพบว่าหรานอวิ่นถิ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียง หยางไคก็ทราบได้ในทันที ว่าทุกอย่างในวันนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพียงแต่เป็นใช่ความบริสุทธิ์ของพลังจิตบางส่วนเข้าโอบล้อมเอาไว้
วันนี้ที่ไม่ว่าอย่างไรตัวเองก็ใช่ต้องการมาเสาะหาชิงหย่าหรือไม่ ก็ต้องถูกเรียกให้ออกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นปิงเตี๋ยก่อนที่จะมาถึงยังด้านหน้าถ้ำที่พำนัก จึงค่อยจงใจที่จะตะโกนออกมาเช่นนั้น ก็เพื่อที่จะทำให้หยางไคที่อยู่ในหอพำนักมีการเคลื่อนไหว
เพียงแต่หาได้มีผู้ใดคาดคิดได้ว่า หยางไคจะใช้โอกาสที่ถูกคุมตัวอยู่ ปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างเหมาะเจาะ
ชิงหย่าที่ตกอยู่ภายใต้ความลำบาก การใส่ความให้แก่นาง อีกทั้งยังลงมือหนักต่อนาง ก็เพื่อที่จะชักนำให้หยางไคลงมือเท่านั้น
ท้ายที่สุดปิงเตี๋ยที่หาได้แยแสคนของหอผู้คุมกฎที่ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกันนั้น อีกทั้งยังปล่อยให้พวกนางบุกเข้าโจมตีใส่หยางไค ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นเป้าหมายเช่นนี้เอง
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นไปตามแผนการที่ได้วางเอาไว้มาตั้งแต่แรก
และผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ย่อมต้องเป็นหรานอวิ่นถิ่งอย่างแน่นอนแล้ว!
ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นผู้อาวุโสสูงสุด ถือกุมเอาไว้ด้วยพลังอำนาจ หอผู้คุมกฎเองก็เป็นนางที่คอยคุมควบดูแล ก็มีแต่เพียงนางเท่านั้นที่จะสามารถออกคำสั่งต่อศิษย์ของหอผู้คุมกฎได้
ชิงหย่าที่เป็นแค่เพียงตัวหมากที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เป้าหมายสุดท้ายของหรานอวิ่นถิ่ง มีแค่เพียงหยางไคเท่านั้น!
“ผู้อาวุโสสูงสุด……” ชิงหย่าเหม่อมองหรานอวิ่นถิ่งซึ่งยืนอยู่บนที่สูงด้วยแววตาอัดอั้น
“เจ้าคนผู้ไม่รู้จักบุญคุณ เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาเรียกขานข้า!” หรานอวิ่นถิ่งได้หันไปชิงหย่าด้วยแววตาที่เย็นชา ระหว่างนั้นก็ได้สะบัดมือออกไป จนเกิดเป็นหิมะเย็นเยียบสายหนึ่งเสียดแทงฝังลึกจากกระดูก พุ่งเข้าใส่ชิงหย่าไปในทันที
ชิงหย่าที่ยืนอยู่ทุกเดิมนิ่ง แทบจะไม่ทันจะตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
หยางไคได้มายืนขวางอยู่ด้านหน้าชิงหย่าอีกครั้ง พร้อมกับกระแทกหมัดออกไปยังทางด้านหน้า
เปลวเพลิงปีศาจปะทุขึ้น เกิดเป็นเปลวเพลิงและน้ำแข็งสีเขม่าดำปะทะเข้ากันผ่านสายลม ในระหว่างที่ตอบโต้กันอยู่ ความเย็นและความร้อนก็พลันเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นในพริบตา จนทำให้มวลอากาศทั้งสายล้วนแต่ตกอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงไปแล้ว
หรานอวิ่นถิ่งขมวดคิ้วที่ดกดำ ในที่สุดก็กำลังเหม่อมองไปที่หยางไคแวบหนึ่ง โดยที่ลอบมองไปที่ความสามารถที่น่าแตกตื่นของเขา
นางที่พึ่งจะโจมตีออกมาแต่กระนั้นก็หาได้ใช้ออกมาด้วยพลังทั้งหมด ราวกับเป็นการลงมือตามสบายเท่านั้น ที่ใช้ออกมาด้วยพลังสามสี่ส่วนของนางเท่านั้น ส่วนหยางไคก็สลายสภาวะได้ในการกวาดหมัดเพียงครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่ายังคงออมแรงกันเอาไว้อยู่!
“เดิมทีข้าก็ยังไม่คิดที่จะเชื่อมากนัก ว่าด้วยความสามารถของเจ้าจะยังสามารถฆ่าเจียงซีกับเหยียนฉื่อเหร่ยได้ จากที่เห็นตอนนี้ คงจะเป็นเช่นนั้นจริงแล้ว เจ้านับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!” หรานอวิ่นถิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แต่กลับหาได้แสดงอาการอะไรที่มีต่อหยางไคออกมามากมายนัก เพียงแค่เป็นการกล่าวชมเชยออกมาเพียงไม่กี่ประโยคก็เท่านั้น
“ทว่า เมื่อมาจนถึงบัดนี้แล้ว ภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็นข้าที่ได้ทำร้ายศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา อีกทั้งยังไม่เห็นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราอยู่ในสายตา วันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” ภายในแววตาของหรานอวิ่นถิ่งพลันเกิดเป็นน้ำแข็งที่เย็นเยียบขึ้นมา อีกทั้งยังหาได้แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกใดเหลือบหันไปมองหยางไค : “การที่สามารถตายด้วยเงื้อมมือของผู้อาวุโสอย่างข้าได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติของเจ้ากันแล้ว!”
บนยอดเขาน้ำแข็ง ศิษย์สตรีของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่ร่างสั่นสะท้านกัน หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งด้วยอาการแตกตื่นตกใจ
นี่ผู้อาวุโสสูงสุดคิดที่จะลงมือด้วยตัวเองแล้ว?
บุรุษหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไรกัน เหตุไฉนก่อนหน้านี้ที่สำนักคอยตามหาตัวเขาอย่างยากลำบาก แต่มาจนถึงบัดนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดถึงกับต้องฆ่าเขากันล่ะ? ภายในส่วนนี้แท้จริงแล้วยังมีบุญคุณความแค้นอันใดที่ผู้คนก็ยังไม่ทราบกันงั้นหรือ? ในใจของทุกคนล้วนแต่เกิดเป็นความฉงนสงสัยยากอธิบายออกมาได้ ไม่ทราบว่าในจุดนี้แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ทว่า……ผู้อาวุโสสูงสุดยังคล้ายกับไม่ได้ลงมือมานานแล้วเหมือนกัน
ได้มีข่าวลือว่านางได้ประมือกับคนผู้หนึ่งครั้งล่าสุดก็เมื่อสิบปีก่อน น่าเสียดายที่หาได้มีคนพบเห็นเองกับตา จึงทราบแต่เพียงว่าเด็กน้อยผู้นั้นที่ปะทะกับนางได้กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งไปแล้ว
และบัดนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดยังถึงกับคิดที่จะสังหารบุรุษหนุ่มผู้นี้ภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็นอีก
ในยามนี้ ศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทุกคนล้วนแต่ตั้งตารอคอย เพื่อที่จะได้เห็นพลังอันเลิศล้ำของผู้อาวุโสสูงสุด เพื่อที่จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสสูงสุดมีความสามารถที่เหนือเมฆอย่างไรกันบ้าง
อีกทั้งยังมีคนอีกไม่น้อยได้หันไปมองหยางไคด้วยความเห็นอกเห็นใจ ลอบคิดเอาไว้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ไปรังควานผู้อาวุโสสูงสุด จะกลัวก็แต่ว่าวันนี้จะเป็นวันที่กลบฝังร่างของเขาไว้ในเกาะสุดขั่วเยือกเย็นกันแล้ว
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่สาดเข้ามา หยางไคเดิมทีก็เย็นเยียบและเดือดดาลจนพลันมีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดนี้ได้ทำให้ทุกคนล้วนแต่จิตใจหวาดหวั่นขึ้นวูบ ระหว่างนั้นก็มีความรู้สึกบางอย่างที่แผ่กระจายออกมา
ทันใดนั้น หยางไคก็ได้หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งพร้อมกับโค้งกายเล็กน้อย
เขาถึงกับแสดงการคารวะให้แล้ว!
ภายใต้ดวงตาที่กลอกไปมาวุ่นวาย
ศิษย์ทั้งหมดของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่ขบคิดไม่เข้าใจว่าหยางไคคิดที่จะทำอะไร การที่เผชิญหน้ากับรังสีสังหารที่มาจากผู้อาวุโสสูงสุด เขายังถึงกับแสดงการโค้งกายคารวะต่อผู้อาวุโสสูงสุดอีก
นี่กำลังกลัวขึ้นแล้วอย่างงั้นหรือ? บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็ทราบว่าตัวเองมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสสูงสุด ดังนั้นจึงไม่คิดว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเอาตัวรอดอย่างงั้นหรือ?
ปิงเตี๋ยที่อยู่ด้านข้างก็ได้แสยะยิ้ม หันไปมองหยางไคด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูแคลน นางใช้แววตาที่เหยียดหยามคู่นี้มองสำรวจ แทบจะไม่เห็นเค้าความควรที่จะเป็นของบุรุษเพศเลยแม้แต่น้อย
เขาที่เป็นบุรุษเช่นนี้ ยังคิดที่จะไปครอบครองหัวใจของซูเหยียนอีกงั้นหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำกันเกินไปแล้ว
“ตอนนี้สำนึกตัวว่าผิดก็สายไปแล้ว!” หรานอวิ่นถิ่งยังคงยืนอยู่บนจุดสูงสุด หาได้แสดงอารมณ์ใดออกมาไม่ ทอน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วกล่าวออกมา: “ในใจเจ้าก็น่าที่จะทราบว่าเหตุใดผู้อาวุโสอย่างข้าถึงต้องฆ่าเจ้า หากว่าเจ้าเข้าใจจริงแล้วละก็ และหวังดีต่อนางจริง ก็จงสำเร็จตัวเองเถอะ! ผู้อาวุโสอย่างข้าจะไม่คิดว่าเลือดของเจ้าเป็นสิ่งโสมมอีกต่อไป ถึงอย่างไรวันหน้าข้าอาจจะมาเยี่ยมเจ้าเป็นประจำก็เป็นได้”
ราวกับว่าเป็นการโปรดทุกข์ให้แก่หยางไคก็มิปาน หลังจากที่กล่าวให้หยางไคสำเร็จปลิดชีพตัวเองไปแล้ว หรานอวิ่นถิ่งก็รอคอยอยู่อย่างเงียบเชียบ
หยางไคจึงได้ยิ้มขึ้นชั่วขณะ พร้อมทั้งทอสีหน้าเรียบเฉยออกมา แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว : “ข้าไม่ได้ผิด!”
หรานอวิ่นถิ่งแสดงสีหน้าเกลียดชังออกมา : “เรื่องได้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังเอาแต่ดื้อดึงอีกงั้นหรือ? นางถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนอย่างเจ้าจะคู่ควรกันหรอก หลังจากนี้นางเองก็ต้องเดินขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิถียุทธ์ เจ้าในภายภาคหน้าก็มีแต่เงยหน้ามองแผ่นหลังของนางเท่านั้น และนางก็จะจากไปไกลยิ่งกว่า! และความยากลำบากในวันหน้า ยังมิอาจเทียบได้กับสิ่งที่ข้าขาดให้ในตอนนี้ ต่อให้สมความปรารถนาของนาง แต่คำพูดเช่นนี้ นางอาจจะจดจำเจ้าไปชั่วชีวิต จุดสูงสุดแห่งยุทธ์ เป็นความโดดเดี่ยว เป็นความเงียบเหงา มีแต่เพียงคนที่สามารถแบกรับความโดดเดี่ยวและเงียบเหงาได้ จึงจะสามารถที่จะสำเร็จทุกสิ่งอย่างได้ แท้จริงแล้วยังมองอนาคตได้ไม่ชัดเจนอีกงั้นหรือ?
“ที่เห็นได้ไม่ชัดคงจะเป็นท่านมากกว่า!” หยางไคก็ได้หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งอย่างเย็นยะเยือก : “ข้าที่แสดงการคารวะต่อเจ้า ก็เพราะรู้สึกขอบคุณท่านที่หลายปีมานี้คอยดูแลและอบรมนาง หลังสิ้นซึ่งการคารวะนี้ เราท่านจะถือเป็นศัตรูต่อกัน! ท่านหากคิดที่จะฆ่าข้า ก็ต้องรับทราบและเข้าใจหากเป็นฝ่ายที่ถูกข้าฆ่าไป!”
หรานอวิ่นถิ่งสาดทอแววตาเป็นประกายดั่งหงส์ไปทั้งสี่ด้าน ด้วยแววตาที่คมกล้าดุจคมดาบก็มิปานนั้น ได้ทำให้ผู้คนมิอาจหาญที่จะมองเข้าไปตรงๆ ศิษย์สตรีทั้งหมดของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะละสายตาไปจากเขาได้
หยางไคกลับหาได้ขยับเขยื้อนและหาได้แยแสสนใจ เมื่อดวงตาทั้งสองคู่สบตามองกัน ก็แทบจะหาได้มีความลังเลแม้แต่น้อย
“อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะเทียบเคียงกับนางได้ มิหนำซ้ำยังหาได้ใช่เป็นสิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจได้ ที่ว่าผู้ใดที่วิถียุทธ์เหนือกว่าก็จะสามารถเป็นผู้ที่โดดเดี่ยวและเงียบเหงา ข้าจะก้าวเดินตามไปพร้อมกับนาง ถามหาสู่จุดสูงสุดเอง!”
“เจ้าหนูที่ไม่ทราบความ เสวนามากความก็เท่านั้น มอบชีวิตมาได้แล้ว!” หรานอวิ่นถิ่งราวกับได้ถูกความเดือดดาลที่มาจากหยางไค จนคร้านที่จะไปใส่ใจและเสวนากับเขาอีก พร้อมกับยื่นมือออกไปเล็กน้อย ที่เบื้องหน้าทันใดนั้นก็ได้ปรากฏเป็นเกลียวคลื่นวังวนหนึ่งออกมา ในอาณาบริเวณโดยรอบภายในสิบลี้ยังถูกกระแสความเย็นครอบคลุมเอาไว้ ค่อยๆ ผนึกรวมจนเกิดเป็นสิ่งที่เป็นแท่งยาวกว่าสิบจั้งขึ้นที่ด้านหน้านาง อีกทั้งยังมีหอกน้ำแข็งที่หนายาวกว่าสามจั้งอีก
ทันทีที่ได้มองเห็นหอกน้ำแข็งนั้น ก็เปรียบเสมือนกับถูกหักมาจากยอดเขาน้ำแข็ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ดูทรงพลังเป็นอย่างมาก
ศิษย์สตรีที่รายล้อมกันดูอยู่ก็ได้ส่งเสียงกันออกมา มองดูจนละลานตาไปชั่วขณะ
ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดลงมือย่อมต้องสะเทือนฟ้าสะท้านพสุธา จนทำให้แววตาของพวกนางเต็มเปี่ยมไปด้วยแววตาที่เป็นประกายอันเลื่อมใส
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
เมื่อไหร่กันที่ ตัวเองจะสามารถยืนอยู่ในจุดสูงสุดได้เหมือนอย่างผู้อาวุโสสูงสุด!
แต่ทุกคนก็ล้วนแต่ทราบกันดีว่าทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น ภายในสำนัก เกรงว่าคงจะมีแต่เพียงซูเหยียนและผู้คนอีกไม่น้อยจึงจะมีความหวังเช่นนี้กันแล้ว รวมไปจนถึงคนอื่นๆ ก็ได้ถูกตัดสินให้สำเร็จเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สาดแววตาเป็นประกายเจิดจ้าออกมา
ความคิดความในใจที่หวั่นไหวกันอยู่มากมาย ศิษย์สตรีเหล่านี้ต่างก็ได้แยกย้ายกันกระตุ้นวิชาตัวเบากระโจนออกไปจนไกล
พวกนางแทบจะไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ในจุดเดิม ด้วยพลังต่อสู้ในระดับของผู้อาวุโสสูงสุด ที่มีพลังทำลายอันแสนน่าหวาดกลัว หากยังมัวแต่ยืนอยู่ในจุดเดิมย่อมต้องโดนลูกหลงเข้าอย่างแน่นอน
หยางไคยื่นมือออก โดยที่ส่งตัวของชิงหย่าออกไปไกลหลายลี้ แล้วจึงค่อยกระโดดขึ้นมา มิหนำซ้ำยังได้หันไปมองหอกน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาน้ำแข็งลูกเล็กๆ นั้น
หรานอวิ่นถิ่งหรี่ดวงตาลง ใช้สองมือผนึกจนเกิดเป็นเคล็ด ในปากพลันพ่นหมอกขาวหนาทึบ จากนั้นก็ได้แทรกเข้าสู่ด้านบนหอกน้ำแข็ง
จากประกายแสงที่แลบผ่านมา หอกน้ำแข็งราวกับแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นพลังทำลายที่เพิ่มพูนเป็นเท่าทวีขึ้นมา
สองหมัดของหยางไคได้ลุกโชกโชนดุจเปลวเพลิงสีดำ ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างได้ถูกกระตุ้นขึ้นจนถึงระดับสูงสุด และเข้าปะทะกับหอกน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าภายในพริบตา ผนึกสองหมัดกระแทกเข้าใส่
ตูมตูมตูม……
เสียงที่สะเทือนไปทั้งฟ้าสะท้านไปทั้งดินก็ได้ดังสนั่น หอกน้ำแข็งแต่ละท่อนได้คลายตัวออกมาเป็นท่อนๆ
หยางไคที่มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมดั่งสัตว์ประหลาด ทุกจุดที่เดินผ่าน ล้วนแต่เกิดเป็นเศษน้ำแข็งลอยกระจาย เกิดเป็นพลังยากต้านทาน อีกทั้งยังได้ทำลายหอกน้ำแข็งขนาดใหญ่ตามรายทางไปจนหมดสิ้น พร้อมกับบุกเข้ามาจนถึงเบื้องหน้าของหรานอวิ่นถิ่ง ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!
“ข้าเคารพท่านเนื่องจากเป็นอาจารย์ของซูเหยียน แต่กลับไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ท่านลำบากใจ ในเมื่อท่านเมื่อมีจิตคิดฆ่าข้า เช่นนั้นก็อย่าได้โทษที่ข้าลงมือไร้ไมตรี!” หยางไคเปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นเยียบ โดยที่ร่างกายอยู่ห่างจากหรานอวิ่นถิ่งไปสามจั้ง พร้อมกับปลดปล่อยพลังหมัดออกมา
พลังอันมหาศาลที่ไม่ทราบที่มาก็ได้ปะทุลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา เมื่อเวลานั้นราวกับล้วนแต่เกิดเป็นความบิดเบี้ยว จุดที่หรานอวิ่นถิ่งยืนอยู่ รอบบริเวณได้เกิดเป็นช่องว่างอาการที่แตกสลายขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องแตกตื่นกันออกมา
ในขณะนี้นางถึงกับเกิดเป็นความรู้สึกผิดแผกแปลกไปชั่วขณะ ราวกับหากว่าตัวเองไม่ลงมือออกมาด้วยพลังทั้งหมด ชั่วขณะนั้นก็ต้องตายตกไปในทันที
ว่ากันตามตรง ตลอดมานี้หรานอวิ่นถิ่งหาได้เก็บหยางไคมาใส่ใจ โดยที่ทราบทุกอย่างมาจากผู้อาวุโสสิบสามยวู่เสว่ยฉิงที่ว่าหยางไคได้ฆ่าเจียงซีกับเหยียนฉื่อเหร่ยลงแล้ว แต่หรานอวิ่นถิ่งแทบจะหาได้พบเห็นเองกับตา จึงได้ลอบคาดเดาว่าหยางไคจะต้องมีลูกไม้อะไรสักอย่างแน่นอน ที่สามารถใช้ไว้ปะทะกับผู้ที่มีพลังขอบเขตเหนือกว่าได้ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเองอย่างแน่นอนอยู่ดี
นางที่ถือว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือมาอย่างเนิ่นนาน อีกทั้งยังอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตหวนกำเนิดขั้นสาม และยังเป็นผู้ที่มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองมาจากขอบเขตกำเนิดราชัน
แต่ว่านี่พึ่งจะเพียงประมือ นางก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาลซึ่งมาจากหยางไคกดดันเข้ามา
บุรุษหนุ่มผู้นี้ประดุจกระบี่ที่คมกล้าที่หลุดออกมาจากฝัก ทันทีที่ความคมกล้าได้ถูกเผยออกมา เกิดเป็นพลังที่สั่นคลอนไปทั้งฟ้า ราวกับว่ายังเหนือกว่าตัวเองอยู่ขุมหนึ่ง!
แผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น หรานอวิ่นถิ่งถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล พร้อมกับขยับเคลื่อนย้ายเขตพรมแดนกองกำลังของตัวเอง
หิมะโปรยปรายอยู่เต็มนภา โดยที่มีนางเป็นศูนย์กลาง รอบบริเวณในลักษณะวงกลมภายในร้อยจั้ง อุณหภูมิพลันดิ่งลง เกล็ดหิมะกลางเวหาลอยคว้างดุจขนเป็ดที่เบาบาง ภายในเกล็ดหิมะทุกสายล้วนแต่แฝงเอาไว้ด้วยพลังอันลี้ลับอยู่
และนี้ก็คือศูนย์กลางของเขตพรมแดนกองกำลังแห่งนี้ หรานอวิ่นถิ่งเองก็ได้สำเร็จเป็นผู้ครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว เกล็ดหิมะที่โปรยปรายยังได้สำเร็จจนกลายเป็นศัสตราที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง จนสามารถสังหารผู้ที่ถือเป็นศัตรูของนางภายใต้การปกคลุมเขตพรมแดนกองกำลังของนางได้
เวลาที่ล่วงเลยไปนั้นก็พลันแตกออกเป็นชิ้นๆ
นางที่สาดทอแววตาเย็นเยียบหันไปมองที่หยางไค ในใจพลันบังเกิดเป็นรังสีสังหารขึ้น ทันทีที่บังเกิดความคิด เกล็ดหิมะพลันลอยพลิ้วจนราวกับมีชีวิตขึ้นก็มิปาน มุ่งหน้าเข้าโอบล้อมหยางไคเอาไว้
.
.
.