ตอนที่ 1639 ซื่อฮั่ว
ตอนที่ 1639 ซื่อฮั่ว
“เช่นนี้เถอะ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจะหาโอกาสสนทนากับเขาเอง อย่างน้อยก็ต้องทราบว่าใต้เท้าหลัวไห่ใช่เป็นเพราะเขาถึงได้มาเยือนดาววารีสีชาด แท้จริงแล้วเป็นเพราะเรื่องอันใด หากว่าทุกอย่างไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกับเขา พวกเขาค่อยคิดหาวิธีชักชวนเขาอีกคราก็ยังไม่นับว่าสายเกิน หากว่าใต้เท้าหลัวไห่มาเพราะเขาจริง……” ปิงหลงได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา : “เมื่อถึงเวลานั้นก็คงทำได้แต่ส่งตัวเขาออกไปแล้วเท่านั้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราอยู่รอดปลอดภัยแล้ว”
“ท่านจ้าวหุบเขาปราดเปรื่องยิ่งนัก!” เหล่าผู้อาวุโสก็เห็นชอบกันอย่างพร้อมเพรียง เห็นชอบต่อแผนการนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ด้วยคุณสมบัติและพลังความสามารถของหยางไคย่อมนับว่าโดดเด่นเลยทีเดียว ถึงกับสามารถที่จะปะทะกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตเหนือกว่าได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะสามารถที่จะเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดราชันได้ก็เป็นได้
แต่นั้นถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต เขาในขณะนี้ ที่ทว่ายังเป็นเพียงแค่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองเท่านั้น
การเกิดความหวาดกลัวต่อผู้ทรงพลังที่อยู่ในระดับราชาดวงดาวระดับกำเนิดราชันขั้นที่สองในอนาคตคนหนึ่ง ก็ไม่ต่างอะไรไปจากความฝันอันงดงามที่ยังคงเลือนรางจากคำว่าอนาคตเท่านั้น ถึงอย่างไรก็พึงควรที่จะแยกแยะหนักเบา ทุกคนย่อมต้องสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
“ท่านจ้าวหุบเขาจะไปพบกับเขาเมื่อใดกัน ผู้อาวุโสอย่างข้าก็มีความต้องการที่จะไปพบกับเขาเช่นเดียวกัน!” ที่ด้านนอกห้องโถงน้ำแข็งทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังผ่านเข้าสู่ภายในเกาะ
เหล่าผู้คนทำได้แต่เพียงเหม่อมองเข้าไป ประจวบกับที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้เยื้องย่างเข้ามาจากภายในเกาะ
“อ๋อ? ผู้อาวุโสสูงสุดก็บังเกิดความสนใจในตัวเขาด้วยอย่างงั้นหรือ?” ปิงหลงเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่เหมือนกัน
ภายในเกาะถึงแม้จะมีความสามารถไม่อาจเทียบกับนางได้ แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ และนับตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนนางได้พาซูเหยียนกลับมายังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว ตลอดมานี้ก็เอาแต่ทุ่มเทคอยชี้แนะศิษย์ผู้นี้อยู่ภายในที่พำนัก หาได้มีความสนใจที่จะข้องเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นไม่
บัดนี้ถึงกับเป็นฝ่ายเสนอตัวที่จะไปพบกับหยางไคเอง ย่อมทำให้ปิงหลงบังเกิดความประหลาดใจอยู่อย่างแน่นอน
“ย่อมเกิดความสนใจอยู่แล้ว ด้วยผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสอย่างข้าเองก็ย่อมบังเกิดความเสนาะสนใจเป็นอย่างยิ่งกันอยู่แล้ว!” ภายในเกาะก็ได้มีเสียงหัวเราะของนางดังขึ้น
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เหล่าผู้คนต่างก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บจนถึงขั่วกระดูก ต่างก็สบตามองกัน ล้วนแต่ทอสีหน้าฉงนสงสัย
และในเวลาเดียวกัน ในจุดที่ห่างจากเกาะสุดขั่วเยือกเย็นออกไปกว่าพันหมื่นลี้ เสาหลักอย่างนิกายแสงอัคคีที่มีชื่อเทียบเคียงกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น
ด้วยพื้นที่อาณาเขตของเสาหลักนิกายแสงอัคคีซึ่งได้รับการย่อมถือเป็นสถานที่บ่มเพาะได้ดีที่สุดภายในดาววารีสีชาด ขุนเขางามน้ำใสสะอาดภายในเสาหลัก กอปรเต็มไปด้วยผู้โดดเด่น รายล้อมไว้ด้วยความงดงาม แผ่ซ่านลมปราณขจรขจาย บรรดาลูกศิษย์ที่บ่มเพาะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จึงมีความรุดหน้าที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ขุมอำนาจสองฝ่ายภายในดาววารีสีชาด ตลอดที่ผ่านมานี้ล้วนแต่หาได้มีความแตกต่างกันไม่ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นิกายแสงอัคคีที่เป็นฝ่ายมีชัยเหนือกว่าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นในการต่อสู้ช่วงชิง ส่วนสาเหตุนั้น ยังคงเป็นที่ลือกันว่าผู้นำผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้เกิดข้อผิดพลาดในการบ่มเพาะ จึงประสบอยู่ภายใต้สภาพที่บาดเจ็บ
ผู้นำผู้อาวุโสจัดอยู่ในชนชั้นใดกัน ย่อมต้องถือเป็นผู้ทรงพลังที่อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชัน นางถึงแม้จะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการช่วงชิงของเหล่าผู้เยาว์ แต่ข่าวลือเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ยังสร้างผลกระทบให้แก่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้อยู่ดี
หลายปีมานี้นิกายแสงอัคคีเองก็ได้คอยก่อหวอดอยู่อย่างเสมอ อีกทั้งยังแสดงเจตนาที่จะสยบหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเอาไว้
นิกายแสงอัคคีถือเป็นเสาหลักทางทิศใต้ ท่ามกลางป่าพงไพร ยังได้ปลูกกระท่อมไว้อีกหลายแห่ง
การสร้างกระท่อมหลายแห่งนี้ได้ถูกปลุกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย แม้ว่าดูไปแล้วจะไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ด้านหลังเขานั้น หากหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ในตำแหน่งนี้ถือได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว บริเวณรอบข้างของกระท่อม ล้วนแต่มีไผ่ไม้สีแดงเพลิงปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
บัดนี้ ประจวบกับมีคนสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าเสาหินเบื้องหน้ากระท่อม ที่ด้านบนโต๊ะหินยังได้มีกระดานหมากรุกวางไว้ และเกิดการฆ่าฟันกันระหว่างหมากดำขาวกันมิหยุดหย่อน
ทางด้านซ้ายมือกลับเป็นชายชราที่มีหนวดเคราเส้นผมสีแดงเพลิง อายุอานามของเขาถึงแม้จะดูไปแล้วจะสูงวัยพอประมาณ แต่ผิวพรรณกลับเรียบเนียน ดุจดั่งทารกน้อยที่พึ่งเกิดมาใหม่ก็มิปาน ระหว่างการยกมือวางเท้ายังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่
ที่ฝั่งตรงข้ามของเขา ด้านที่เป็นบุคคลที่สวมมงกุฎอยู่บนศีรษะ กลับเป็นชายวัยกลางคนที่สวมเอาไว้ด้วยอาภรณ์สีทองอร่าม
ในจุดที่ห่างออกไปสามสิบจั้งของทั้งสองคน ยังได้มีบุรุษหนุ่มที่สง่างามผู้หนึ่งยืนอยู่ในที่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ หาได้ขยับเคลื่อนไหวไม่ ดุจดั่งเป็นเหมือนรูปปั้นต้นหนึ่ง คงมีแต่ในช่วงเวลาที่ชมมองทั้งสองคนอยู่ ในบางครั้งบางคราวที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเท่านั้น
ชายชราผมแดงกับบุรุษมงกุฎทองยังคงอยู่ในระหว่างการประหัสประหารกัน บนกระดานหมากรุกที่แสนพิเศษนั้นราวกับได้เกิดเป็นแสงทองตัดผ่านกัน ดั่งกองทัพนับหมื่นแสนกรีธาทัพ สั่นสะเทือนไปจนถึงจิตวิญญาณ
ชายชราผมแดงได้วางหมากอย่างรวดเร็วและล้ำลึก โดยที่แทบไม่จำเป็นต้องหยุดคิดเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งการวางตำแหน่งหมากยังเป็นไปอย่างธรรมชาติ ในทางกลับกันบุรุษมงกุฎทองผู้นั้นเองก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นครุ่นคิดอย่างยากลำบาก พร้อมกับวสางหมากด้วยความลำบากใจอย่างถึงที่สุด
บนกระดานหมากรุก ยังได้เกิดเป็นบรรยากาศสีขาวดำแผ่ซ่านออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนตัวหมากของชายชราผมแดงกลับเป็นฝ่ายที่มีชัยเหนือกว่า พร้อมกับถูกขุมอำนาจที่มากมายของหมากขาวรายล้อมไว้
เวลาได้ค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป บุรุษมงกุฎทองยิ่งมาก็ยิ่งใช้เวลาครุ่นคิดนานขึ้น ยิ่งมาก็ยิ่งแสดงสีหน้าระแวดระวังมากขึ้น
ส่วนชายชราผมแดงกลับหาได้ขยับเขยื้อน ในระหว่างที่รอคอยอยู่ ก็ทำแค่เพียงหลับตานั่งลงเท่านั้น
เรื่องนี้จะไม่จบนะ ช่วยผู้แปลหน่อยนะ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ
ชั่วขณะนั้น ทันใดนั้นบุรุษมงกุฎทองจึงได้เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา แล้วยื่นมือจับไปที่หมากขาวตัวหนึ่ง ด้วยสถานการณ์การปิดล้อมหมากขาวดุจดั่งไม้แห้งพลิกฟื้นได้ในฤดูใบไม้ผลิ [1] จนสามารถพลิกฟื้นจากปัญหากลับมาได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับต้องกลายเป็นเป็นหมากดำที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอยู่มากมาย พริบตานั้นก็ได้ตกจนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปในทันที
ชายชราผมแดงทอแววตากลมโตขึ้นมา พร้อมกับทอสีหน้าตะลึงลาน
ครุ่นคิดอยู่นาน จากที่ได้จึงค่อยได้ส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวอย่างขมขื่น: “ศิลปะการเดินหมากของพี่หลัวไห่แท้จริงแล้วช่างนับว่าสูงส่งอยู่ไม่น้อย ข้าผู้ชรากลับมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
บุรุษมงกุฎทองยิ้มน้อยๆ : “ซื่อฮั่ว มิใช่เป็นเพราะศิลปะการเดินหมากของข้า เพียงแต่เจ้ากลับรีบร้อนมากจนเกินไปแล้ว แผนการและความเคลื่อนไหวของเจ้าล้วนแต่สลักเขียนไว้อยู่บนกระดานหมากรุกแล้ว ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักเพียงแค่ต้องการเห็นการใช้กระบวนท่าพลิกแพลงกลับกลายเท่านั้น”
“เช่นนี้จึงจะนับว่ามีความหมาย” ชายชราผมแดงส่ายหน้าไปมา : “ชีวิตคนเราล้วนแต่ต้องพบกับมรสุมความลำบาก ไยจึงต้องไปคำนึงถึงสิ่งต่างๆ มากมายเหล่านั้นกัน อือ ศึกครั้งนี้นับว่าเป็นข้าที่พ่ายแพ้ลงแล้ว”
“ออมมือแล้ว!”
ชายชราผมแดงส่ายหน้าและเหม่อมองไปยังจุดที่ห่างไกล จากนั้นก็กวักมือ
บุรุษงามสง่าที่ยืนห่างออกไปกว่าสามสิบจั้งมาโดยตลอดจึงค่อยได้ก้าวเท้าเข้ามาทางด้านหน้า จนกระทั่งเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของทั้งสอง ผสานมือคารวะโค้งคำนับ : “ซื่อฮั่วขอคารวะผู้นำผู้อาวุโส คารวะท่านผู้อาวุโสหลัวไห่!”
หลัวไห่พยักหน้าเบาๆ ยื่นมือกุมไปที่อากาศธาตุอยู่ครู่หนึ่ง
บุรุษงามสง่าถือได้ว่าเป็นเจ้าสำนักซื่อฮั่วของนิกายแสงอัคคี อีกทั้งยังมีสถานภาพที่ไม่ต่ำต้อย หลัวไห่ถึงแม้ว่าจะเป็นราชาดวงดาวดาวชุยเว่ย แต่ก็ไม่อาจสามารถวางตัวเหิมเกริมจนเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาและผู้นำผู้อาวุโสนามซื่อฮั่วแห่งนิกายแสงอัคคียังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซื่อฮั่วเองก็ย่อมถือเป็นชนชั้นลูกหลานของเขาด้วยเช่นเดียวกัน
“มายังที่แห่งนี้เพื่อะไรกัน?” ซื่อฮั่วเงยหน้าขึ้นหันไปมองซื่อฮั่ว
ซื่อฮั่วก็ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม: “เรียนท่านผู้นำผู้อาวุโส ผู้อาวุโสหลัวไห่ เรื่องที่มอบหมายให้ไปทำ ไม่แน่ว่าอาจจะรอดูสถานการณ์กันต่อไปแล้ว
หลัวไห่ถึงกับสาดทอแววตาเป็นประกายคมกล้า หาได้คิดที่จะปกปิดซ่อนเร้นความไม่พอใจเอาไว้ไม่
ซื่อฮั่วกล่าวออกมาด้วยความเฉื่อยชา: “เข้ามา!”
“วันเวลาที่ผ่านมาหลายวันนี้ ได้มีผู้แฝงตัวเข้าสู่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็น พบเห็นผู้อาวุโสสิบสามยวู่เสว่ยฉิงพาบุรุษหนุ่มคนหนึ่งขข้ามผ่านค่ายกลมิติไป จนได้เข้าสู่ภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็นไปแล้ว เนื่องจากเป็นเพราะทางด้านหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนั้นจะมีการระวังป้องกันที่เข้มงวด ผู้แฝงตัวจจะไม่อาจที่จะมองเห็นรูปโฉมของบุรุษหนุ่มผู้นั้นได้อย่างชัดเจน แต่หากลองคิดดูก็สมควรที่จะเป็นคนที่ผู้อาวุโสหลัวไห่กำลังตามหาอยู่กันแล้ว”
จากนั้นกล่าวจบ ซื่อฮั่วก็ได้แสดงการคารวะพร้อมทั้งยืนอยู่ทางด้านข้าง หาได้ส่งเสียงออกมาอีก
ถึงแม้ว่าบนดาววารีสีชาดเขาจะเป็นผู้ที่อยู่เป็นเบี้ยล่างเพียงคนผู้หนึ่ง อยู่เหนือกว่าคนนับหมื่น แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าหลัวไห่และซื่อฮั่วกลับหาได้หาญกล้าทำอันใดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแสดงท่าทีที่ว่านอนสอนง่ายอย่างถึงที่สุด
“พี่หลัวไห่ เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง?” ซื่อฮั่วหันไปมองหลัวไห่
“เกาะสุดขั่วเยือกเย็นนับได้ว่าเป็นดั่งเสาหลักของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น หลายหมื่นปีมานี้ล้วนแต่หาได้มีบุรุษเหยียบย่างเข้าไป ในครั้งนี้พวกนางนับว่าเป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้มีบุรุษเพศเข้าไป ก็เห็นได้ชัดว่าพวกนางให้ความสำคัญต่อบุรุษผู้นี้อย่างแน่นอน ในความเห็นข้ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนที่เรากำลังหาตัวกันอยู่ผู้นั้นแล้ว หึหึ ดูเหมือนว่าพวกนางเองก็คงคิดที่จะใช้เจ้าหนูผู้นั้นก่อประโยชน์กันแล้ว”
“อือ ไม่แน่ว่าพวกนางอาจจะคิดสานสัมพันธ์กับพี่หลัวไห่ก็ยังแล้วไป หรืออาจจะต้องการที่จะให้ท่านสามารถสงบจิตสงบใจ ช่วยนางคลี่คลายวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นได้” ซื่อฮั่วที่ผ่านพ้นประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ในใจเมื่อครุ่นคิดก็เรียกได้ว่าละเอียดอย่างถึงที่สุด
หลัวไห่ยิ้มแย้มไม่กล่าววาจา
“ใช่แล้วพี่หลัวไห่ มาจนถึงเวลานี้แล้ว ท่านพอจะบอกต่อข้าผู้ชราได้หรือไม่ ว่าแท้จริงแล้วท่านเสาะหาเจ้าหนูผู้นั้นไปทำไมกัน? เขามีอะไรที่มีค่าพอที่จะให้บุคคลเช่นท่านให้การจับตามองด้วยกัน?” ซื่อฮั่วที่เกิดความสงสัยจึงได้ถามขึ้น คำถามนี้ก็ได้ติดอยู่ในใจของเขามาอย่างเนิ่นนานแล้ว แต่กลับยังไม่อาจได้รับคำตอบได้มาโดยตลอด
สามารถที่จะทำให้บุคคลเช่นหลัวไห่สนใจได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นความลี้ลับที่จะทำให้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สามก็เป็นได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นสมบัติเร้นลับที่อยู่เหนือกว่าระดับกำเนิดราชัน! นอกเสียจากเรื่องนี้แล้ว ก็หาได้มีวัตถุสิ่งใดที่พอจะเป็นที่หมายตาของหลัวไห่ได้อีกแล้ว
สิ่งเหล่านี้ที่หลัวไห่เขาสนใจ ซื่อฮั่วเองก็ถือว่าให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
แต่กระนั้นทุกครั้งก็ยังไม่อาจที่จะเคาะประตูบ้านเพื่อถามไถ่ตามตรง หลัวไห่เองก็ไม่ยอมตอบกลับมาตามตรง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ซื่อฮั่วจนปัญญาเช่นเดียวกัน
“ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักมิใช่บอกต่อเจ้าแล้วหรอกหรือ เจ้าหนูผู้นั้นได้บ่มเพาะอยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สอง ก็สามารถข้ามผ่านศึกการทดสอบพันธนาการโลหิต นับได้ว่ามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักประจวบยังหาได้มีผู้สืบทอดที่เหมาะสม จึงคิดที่จะรับเขามาเป็นลูกศิษย์ เพื่อสืบทอดความยิ่งใหญ่ของข้าผู้เป็นเจ้าสำนัก!” หลัวไห่ยิ้มกริ่มพร้อมกับตอบกลับไป
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!นี่นับได้ว่าเป็นวาสนาของเจ้าหนูผู้นั้นแล้ว” ปล่อยเสียงหัวเราะเสียงดังและพยักหน้า ในใจพลันเกิดเป็นความไม่แยแส เห็นได้ชัดว่ามีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้หลัวไห่ที่อยู่ในขอบเขตกำเนิดราชันขั้นที่สอง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของการเป็นราชาดวงดาว วันหน้าย่อมต้องสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นที่สาม แล้วมีหรือที่จะไม่รับมาเป็นผู้สืบทอดกัน?
จะกล่าวอีกได้ว่า ต่อให้รับไว้เป็นศิษย์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จำเป็นต้องระดมผู้คนมามากมาย ผู้ทรงพลังกำเนิดราชันขั้นที่สองเพียงคนเดียวหากคิดที่จะรับศิษย์แล้วละก็ ก็ย่อมต้องมีผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนคอยตอบรับอย่างแน่นอน อีกทั้งยังย่อมต้องแย่งกันเพื่อมาขอเป็นศิษย์ มีอย่างที่ไหนที่ยังต้องให้หลัวไห่มาคอยไล่ตามตัวกัน อีกทั้งยังถึงกับคิดที่จะแข็งขืนรับไว้เป็นศิษย์ด้วยอย่างงั้นหรือ?
ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีความสามารถพลิกฟ้าอย่างไรก็ย่อมไม่มีทางที่จะทำให้หลัวไห่ทำถึงขั้นนี้ได้อยู่แล้ว!
ภายในส่วนนี้จะต้องมีลับลมคมในอยู่อย่างแน่นอน
“ในเมื่อหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้หาตัวเจ้าหนูผู้นั้นพบแล้ว เช่นนั้นข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็คงต้องไปเยือนสักคราแล้ว” หลัวไห่ที่กำลังกล่าว ก็ได้ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น
“ข้าผู้ชราจะร่วมทางไปด้วย!” ซื่อฮั่วเพราะหัวเราะคิกคัก
หลัวไห่จึงได้หันไปมองเขาคล้ายกับคิดอะไรอยู่วูบ พร้อมกับพยักหน้าแล้วกล่าว: “ก็ดี ค่ายกลสุดยอดผลึกเหมันต์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเองก็นับว่ามีพลังทำลายที่ไม่เลวเลยทีเดียว หากว่ามีพี่ซื่อฮั่วร่วมทางไปด้วย คาดว่าทุกอย่างย่อมต้องราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน”
เขากลับหาได้มีความตั้งใจที่จะปฏิเสธไม่
“อือ ใช่แล้ว ซื่อฮั่ว เรียกเจ้าหนูที่ไร้ความสามารถผู้นั้นมาพบข้าผู้ชราสักคราเถอะ ข้าผู้ชราจะพาเขาไปเปิดหูเปิดตาที่เกาะสุดขั่วเยือกเย็นด้วยสักครา!” ซื่อฮั่วก็ได้หันไปกล่าวต่อซื่อฮั่วอีกครา
“ท่านผู้นำผู้อาวุโสคิดที่จะพาเว่ยฟงไปเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นดว้ยงั้นหรือ?” ซื่อฮั่วตะลึงลาน ตอบไปด้วยอาการตื่นตกใจ: “เจ้าหนูผู้นั้น……”
บุตรชายของตนเองประพฤติตัวดีถึงเพียงใด ตัวเขาเองย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ
ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงบุตรของเจ้าสำนัก แต่กลับมีคุณสมบัติที่ไม่นับว่าโดดเด่น หลายปีที่ผ่านมานี้ ได้ใช้สอยโอสถปราณต่างๆ นาๆ มานับไม่ถ้วน คุณสมบัติในการบ่มเพาะที่พอกพูนขึ้นมาหลายเท่าล้วนแต่ได้มาจากสิ่งเหล่านี้ ยิ่งมีตนที่คอยเตือนสติอยู่เสมอ แต่จนกระทั่งวันนี้ จึงค่อยพอฝืนทนจนเข้าสู่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่หนึ่งมาได้
ถึงแม้จะสามารถเข้าถึงขอบเขตหวนกำเนิดได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาเองก็ยังคงหาได้สามารถผนึกพลังจนเกิดเป็นพลังขึ้นภายในตัวได้!
ชั่วชีวิตนี้ เกรงว่าบุตรชายผู้นั้นของตนเองคงจะติดอยู่แค่เพียงขอบเขตบ่มเพาะขั้นที่หนึ่งแล้วเท่านั้น แทบจะหาได้มีความสามารถที่จะแบกรับพลังของขอบเขตหวนกำเนิดได้อีกแล้ว
หากกล่าวในมุมอื่น เขาก็เพียงแค่มีความโดดเด่นเหนือกว่าขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหวนกำเนิดใดก็ล้วนแต่สามารถที่จะผนึกขึ้นเป็นขอบเขตเขตพรมแดนกองกำลังขึ้นมาเพื่อโค่นล้มเขาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ผู้นำผู้อาวุโสก็ได้หันไปมองเว่ยฟงด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังทำให้สำนักเสียชื่อเสียง มิหนำซ้ำยังเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้เคยฟาดเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในฝ่ามือเดียว
แต่ว่าในวันนี้ ผู้นำผู้อาวุโสเหตุใดถึงได้ทำเช่นนี้ ถึงกับต้องพาเขามุ่งหน้ามายังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นด้วย?
“พล่ามอะไร บอกให้เจ้าไปก็ไป!ข้าผู้ชราย่อมไม่มีฆ่าเขาอยู่แล้วล่ะ!” ซื่อฮั่วเองก็พลันระเบิดโทสะออกมา เมื่อได้พบว่าซื่อฮั่วยังคงลังเลไม่ตอบคำ ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่ออกมาด้วยความเดือดดาล
“ขอรับ!” ซื่อฮั่วทอสีหน้าฉายแววความหวาดกลัวออกมาเป็นสาย พร้อมกับรีบล่าถอยลงไปทันควัน
เกาะสุดขั่วเยือกเย็นกลับหาใช่เป็นสถานที่สามัญทั่วไปกันอยู่แล้ว ต่อให้เป็นหลัวไห่ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นกำเนิดราชันขั้นที่สอง ย่อมต้องเกิดความหวาดกลัวต่อค่ายกลสุดยอดผลึกเหมันต์อย่างไม่ต้องสงสัย ในครั้งนี้เขาและซื่อฮั่วเดินทางไปก็นับว่าเพียงพอแล้ว แล้วไยจึงต้องนำพาผู้เยาว์ไปอีกคนเพื่ออะไรกัน?
อีกทั้งยังเป็นผู้เยาว์ที่ซื่อฮั่วไม่ชื่นชอบอย่างถึงที่สุด
ในขณะที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด หลัวไห่ก็ทราบอะไรบางอย่างได้อย่างกะทันหัน ส่ายหน้ายิ้มอย่างหดหู่
ซื่อฮั่วหัวเราะออกมาเสียงดังก้อง: “พี่หลัวไห่ ครั้งนี้ก็คงต้องให้ข้าผู้ชราเป็นพยัคฆ์สวมคราบจิ้งจอกแล้ว”
“ไม่แต่เพียงแค่นี้เท่านั้น ทว่า ก็อย่าได้ทำเกินไปนักก็แล้วกัน ลั่วหลีเองก็ไม่ได้มีความสามารถที่ด้อยแต่อย่างไร หากว่าบีบให้นางทุกข์ร้อนขึ้นมาได้ จนทำการเปิดใช้ค่ายกลสุดยอดผลึกเหมันต์ เราท่านสองคนก็คงต้องเสียสละกันบ้างแล้ว”
“เรื่องเช่นนี้ข้าผู้ชราย่อมต้องทราบอยู่แล้ว พี่หลัวไห่โปรดวางใจได้เลย”
.
.
.
[1] วลีที่สื่อถึงความหมายเหมือนดั่งคนที่เจ็บปวดแล้วฟื้นกลับมาแข็งแกร่งอย่างมีชีวิตชีวา