ตอนที่ 1638 เจ้าก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ
ตอนที่ 1638 เจ้าก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ
นอกเกาะมีหอสูง ริมฝั่งท้องทะเลกว้างใหญ่ น้ำใสก่อเสียงคลื่น
ยวู่เสว่ยฉิงได้จัดแจงที่พักให้แก่หยางไคจากนั้นก็จึงค่อยได้จากไป พร้อมกับมอบหมายให้ศิษย์สตรีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่มีความสามารถไม่สูงมากนักมาคอยดูแลความเป็นอยู่ของหยางไค
ชิงหย่าได้เดินเข้ามาทางด้านหน้า มุ่งหน้าหันไปยังทางด้านของหยางไคพร้อมกับกลอกตาสื่อให้ใจเย็นลง
หยางไคในใจพลันบังเกิดความคิดขึ้นวูบ
บัดนี้เขาก็ได้มาถึงยังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว อีกทั้งยังทราบว่าซูเหยียนอยู่ในที่ห่างไกลไปอีกหลายร้อยลี้ ช่วงเวลาที่ความคิดคะนึงหาต่อคนที่คาดหวังจะได้พบหน้ากันอีกครั้งก็ได้ถาโถมเอ่อล้นอยู่เต็มจิตใจ แต่เขาเองก็ทราบดีว่าเกาะสุดขั่วเยือกเย็นกลับมิใช่สถานที่สามัญอย่างแน่นอน ย่อมไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนวุ่นวายได้
จากการนั่งขัดสมาธิอยู่บนหอสูง ในมือหยางไคก็ได้กุมผลึกวิญญาณน้ำแข็งของซูเหยียนเอาไว้ โดยที่ไม่ขยับเคลื่อนไหวแต่อย่างไร
อีกทั้งยังไม่ได้ละทิ้งซึ่งความคิดคะนึงหา แต่เขากลับสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้ ได้มีพลังสภาวะที่เชื่อมโยงกับพลังสภาวะของตนอยู่ สภาวะที่แบ่งปันทุกข์สุขให้แก่กัน
นั่นก็คือสภาวะของซูเหยียน
และในเวลาเดียวกัน ซูเหยียนก็ได้นั่งลงอยู่ภายในเรือนน้ำแข็ง กำลังปิดเปลือกตาคู่งาม หางตาอันยาวเหยียดก็ได้สั่นไหวเล็กน้อย
ทั้งสองต่างก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในขณะนี้
ด้วยสัมผัสจากจิตวิญญาณที่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง ไร้ร่องรอยก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ไร้วี่แววชนิดหนึ่งขึ้น กายใจของทั้งสองจึงได้เกิดความรู้สึกที่อบอุ่นกันขึ้นมา
ผ่านไปได้ชั่วขณะ ทั้งสองก็ได้ยิ้มน้อยๆ กันขึ้นในเวลาเดียวกัน ด้วยการที่มีพลังจิตวิญญาณอันแปลกพิสดารที่ปลดปล่อยออกมาจากภายในร่าง จนสามารถข้ามผ่านกาลเวลาและมวลอากาศที่ขวางกั้นไปได้ พร้อมกับพบพานกันได้ภายในใจกลางเกาะสุดขั่วเยือกเย็น
หยางไคราวกับสามารถมองเห็นซูเหยียน ที่ได้ค่อยๆ มายืนอยู่ตรงหน้าของเขา ภาพเงาที่ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของมานานกว่าสามสิบกว่าปีที่สลักลึก ก็ได้หันไปมองทางด้านหน้าอีกครั้ง
เขาถึงกับสามารถสัมผัสได้ว่า ซูเหยียนเองก็กำลังยื่นมือมาสัมผัสที่ตัวเองอยู่
เขาได้ตอบรับแล้ว
จิตวิญญาณของสองดวงที่เชื่อมโยงกันได้อย่างลึกลับ จึงได้ค่อยๆ ลุกลามไปทั่วร่าง แม้จะไม่ได้สื่อสารกันผ่านวาจาถ้อยคำ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็กระจ่างแจ้งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายได้ ล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายได้ประสบพบผ่านมาในช่วงหลายปีมานี้ ดุจดั่งประสบพบเจอด้วยตัวเอง
ณ ที่แห่งหนึ่งภายในเกาะ ภายในห้องโถงน้ำแข็งภายในเกาะ ได้ที่คนผู้หนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับตรวจสอบอะไรบางอย่างได้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเหม่อมองยังอากาศธาตุที่ว่างเปล่า พร้อมกับเผยเค้าความสงสัยออกมา
และในเวลานี้ ทันใดนั้นก็ได้มีจิตสัมผัสเคลื่อนไหวขึ้นมาตามเข็มทิศสื่อสาร นางหยิบเข็มทิศสื่อสาร แล้วหันไปแทรกซึมจิตสัมผัส,รอจนกระทั่งตรวจพบข้อความที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ก็ถึงกับที่จะทอสีหน้าคล้ายตกอยู่ในภวังค์: “ศิษย์น้องยวีถึงกับหาเจ้าหนูผู้นั้นพบแล้ว อีกทั้งยังพาเขามาถึงยังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้วอย่างงั้นหรือ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเดรัจฉานน้อยผู้นี้ที่คอยมารังควานจิตใจของซูเหยียน!”
“เดรัจฉานน้อยหาที่ตาย!”
ภายในดวงตาของหรานอวิ่นถิ่งพลันสาดเป็นประกายความโหดเหี้ยมออกมา พลังจิตวิญญาณอันแข็งกร้าวอย่างถึงขีดสุดก็ได้ดีดตัวเข้าสู่มิติอากาศ จนเกิดการปะทุขึ้นในตำแหน่งแห่งหนึ่งภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็น
และในช่วงเวลาที่กำลังเชื่อมโยงจิตวิญญาณกับซูเหยียนอยู่นั้น เดิมทีหยางไคเองก็ไม่คิดว่าจะถึงกับมีคนเข้ามาโจมตีตนเองในจุดนี้ได้
การเชื่อมโยงจิตวิญญาณและปริมาณพลังสำนึกเมื่อแตกต่างกัน ผู้ปฏิสัมพันธ์แทบจะไม่อาจสร้างพลังสังหารและพลังในการป้องกันได้เลย แต่ผู้แทรกแซงกลับสามารถที่จะใช้เพื่อจู่โจมและป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน
พลังอันมหาศาลภายในเกาะพลังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้น หยางไคยิ่งสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของซูเหยียนและตนเองถึงกับขาดสะบั้นขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่แต่เพียงเท่านี้ ทันทีที่สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนั้นยังถึงกับทำให้เขาแตกตื่นจนใบหน้าซีดเผือดในทันที บาดเจ็บจนถึงขั้นกระอักเลือดออกมาในทันที
“เป็นผู้ใด!” หยางไคลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ทอสีหน้าปั้นยากอย่างถึงที่สุด
เขาเองก็ย่อมสัมผัสได้ สิ่งนั้นที่เข้าแทรกแซงเข้ามายังตัดขาดการเชื่อมโยงจิตวิญญาณของตนเองและซูเหยียนยังแฝงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารไว้บางส่วน ราวกับแทบจะไม่ได้คำนึงถึงความเป็นตายของตัวเองเลยด้วยซ้ำ หากมิใช่เป็นเพราะตัวเองมีพลังสำนึกที่เหนือกว่าคนธรรมดา เพียงแค่นั้นก็สามารถทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว
ด้วยอาการที่บาดเจ็บประเภทนี้ ก็สามารถทำให้ได้รับบาดเจ็บได้อย่างสาหัสได้แล้ว อีกทั้งยังมิใช่สิ่งที่จะสามารถใช้โอสถปราณยาครอบจักรวาลมาสามารถบำรุงชดเชยกลับมาได้
สีหน้าของหยางไคพลันเย็นเยียบขึ้นกะทันหัน กระนั้นไม่นานนัก เขาก็ทำได้แต่เพียงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา
การกระทำเมื่อครู่นี้ของตนเองแน่นอนว่าย่อมถือเป็นการกระทำที่ล่วงเกินกันอยู่บ้าง ที่นี่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นถึงเกาะสุดขั่วเยือกเย็น เป็นดั่งที่ตั้งของสุดขั่วเยือกเย็น หลายหมื่นปีมานี้ ตัวเองยังนับว่าเป็นบุรุษคนแรกที่ย่างกรายเข้ามาถึงนอกเกาะได้ อีกทั้งยังประพฤติตัวเช่นนี้โดยพลการ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องผิดอย่างชอบด้วยเหตุผล
หลังจากที่ขบคิดจนกระทั่งแจ้ง ในใจหยางไคพลันสยบลงมา แล้วก็ไม่คิดที่จะขบคิดวางแผนอีก
กระนั้นด้วยพลังอันมหาศาลที่แตกต่างกันขุมนั้น มีเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นผู้อาวุโสห้าอันดับแรกแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น
ภายใต้การพลาดท่าและหดหู่นี้ เขาเองก็มิประพฤติเช่นนี้โดยพลการอีกแล้ว ยังไงเสียก็ยังมีโอกาสที่สามารถพบกับซูเหยียนอีกครั้งได้ อีกทั้งซูเหยียนยังอยู่อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หยางไคเองก็ไม่เปิดห่วงกังวล จะว่าอย่างไรนางก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ผู้ที่ลงมือจัดการกับตนเองนั้นหากจะมองว่าเป็นผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่ง ก็คงจะไม่ลงโทษต่อซูเหยียนหนักจนเกินไปอยู่แล้ว
ซูเหยียนที่อยู่ภายในเรือนน้ำแข็ง ทันใดนั้นนางก็ได้ลืมตาขึ้น พร้อมกับสีหน้าที่ซีดขาว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า : “ท่านอาจารย์!”
“จงมุ่งมั่นให้กับการเก็บตัวให้ดี หากเจ้ายังมีความประพฤติเฉกเช่นเมื่อครู่นี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้อื่นมาลงมือแล้ว ทางคณะผู้อาวุโสจะเป็นผู้เด็ดหัวของเดรัจฉานน้อยผู้นั้นเอง!” เสียงอันเย็นยะเยือกได้ดังไปทั่วทั้งเกาะกระทบเข้าไปในโสตประสาทของซูเหยียน
ซูเหยียนทอใบหน้าซีดขาวขึ้นยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับขยับปาก ราวกับคิดที่จะกล่าวอะไรออกมา
“เจ้าก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ!” ภายในเกาะราวกับว่าบัดนี้ซูเหยียนได้บังเกิดความผิดหวังขึ้นมา เพียงกล่าววาจาทิ้งท้ายอย่างเย็นชาออกมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็หาได้มีปฏิกิริยาอื่นใดอีกแล้ว
ท่ามกลางห้องประชุมโถงน้ำแข็งภายในหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนั้น ที่นานนับปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง บุคคลเบื้องสูงภายในหุบเขาล้วนแต่ได้มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงนี้กันอีกครั้ง
“ท่านจ้าวหุบเขา การเรียกพี่น้องพวกเรามาในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ?” แล้วก็ได้มีผู้อาวุโสเอ่ยปากถามขึ้น
ปิงหลงยิ้มขึ้นอย่างอบอุ่น พร้อมกับพยักหน้าแล้วกล่าว: “หากว่ามีอยู่เรื่องหนึ่ง ทว่ากลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่”
“อ๋อ?มีเรื่องที่น่ายินดีอะไรกัน?” หลายต่อหลายคนล้วนแต่บังเกิดความประหลาดใจกันขึ้นมา
“ผู้อาวุโสหรานได้หาตัวบุรุษหนุ่มผู้นั้นพบแล้ว,อีกทั้งยังได้พาเขามาถึงยังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว” ปิงหลงกล่าวเปิดประเด็น พร้อมยิ้มอ่อนๆ กล่าวประกาศ
“หาพบแล้วงั้นหรือ?”
“ศิษย์น้องยวีนับว่ามีฝีมือเลยทีเดียว นี่ล้วนแล้วแต่ถูกเจ้าเสาะพบได้ นับว่าเป็นผลงานครั้งใหญ่ได้เลยทีเดียว!”
“หาพบแล้วก็ดี หาพบแล้วก็ดี!ปีกว่าแล้ว ศิษย์ในหุบเขาเองก็ตายไปไม่น้อย ก็ได้เวลาที่จะต้องโยกย้ายกลับมาแล้ว
“กระนั้นท่านจ้าวหุบเขา ครั้งหนึ่งได้เคยทราบถึงสาเหตุที่คนของนิกายแสงอัคคีตามหาตัวเขาบ้างมาก่อนหรือไม่? ในตัวของเขาได้เก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้อยู่กันแน่ ถึงได้ทำให้นิกายแสงอัคคีให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้”
“ในส่วนนี้……ตัวข้าเองหาได้ทราบกระจ่างไม่ ผู้อาวุโสหราน เป็นเจ้าที่พาเขากลับมาเอง แล้วได้ตรวจสอบอะไรมาบ้างหรือไม่?” ปิงหลงได้ทอแววตาเป็นประกายหันไปมองยวู่เสว่ยฉิง
ผู้ที่อยู่ด้านหลังก็ได้ส่ายหน้าเล็กน้อย : “ในระหว่างการเดินทางกลับ ข้าได้เคยพูดเปรยมาแล้วครั้งหนี่ง แต่เจ้าหนูผู้นั้นกลับหาได้ตอบไม่ แต่จากการสังเกตของข้า เขาย่อมมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”
“เหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้?”
“เขา……เขาสมควรที่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ เหยียนฉื่อเหร่ยแห่งนิกายแสงอัคคีเองก็ได้ตายด้วยเงื้อมมือของเขา”
“อะไรนะ? เหยียนฉื่อเหร่ยตายด้วยเงื้อมมือของเขา” ปิงหลงทอสีหน้าเปลี่ยนไป ขมวดคิ้วแล้วกล่าว: “มิใช่บอกเอาไว้ว่าคนผู้นี้ยังมีการบ่มเพาะอยู่เพียงแค่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองงั้นหรือ?”
“มิผิด เขาย่อมอยู่เพียงแค่ขั้นที่สองเท่านั้น แต่ก็สามารถที่จะปะทะกับผู้อยู่ในขอบเขตเหนือกว่าได้ ดังนั้นข้าจึงได้บอกไปว่าเขานั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์แล้ว”
“นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!” ปิงหลงพยักหน้า
“เจียงซีได้ตายอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขา” ยวู่เสว่ยฉิงจึงค่อยได้ทอสีหน้าประหลาดพิกลออกมา : “เพียงการสู้กันตัวต่อตัว ก็ได้ถูกเขาสังหารลงภายในยี่สิบลมหายใจแล้ว!”
“เจียงซี? เจียงซีผู้นั้นงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสห้าจากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นถึงกับหรี่ดวงตาที่คมกล้าดุจหงสาลง บนใบหน้ายังได้ปรากฏสีหน้ายากที่จะเชื่อออกมา
“เป็นเจียงซีผู้นั้น”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ถึงแม้เจียงซีจะไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากสำนักที่โดดเด่นอะไร อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ไม่ฝักฝ่ายต่อฝ่ายใด แต่ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พบพานกับวาสนามาเนิ่นนาน จึงมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา แทบจะมิใช่สิ่งที่ขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามโดยทั่วไปจะต่อกรด้วยได้ ได้ยินมาว่าเขาเองก็มีความสามารถที่ใกล้เข้าสู่มหามรรคะแล้ว”
“เขาที่ถือได้ว่าเป็นดั่งหนึ่งในบุคคลที่มีความหวังสู่การเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดราชันเป็นอย่างมากบนดาววารีสีชาด จะไปถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งฆ่าได้อย่างไรกัน ศิษย์น้องยวีเจ้าคงไม่ได้กล่าวล้อเล่นกันหรอกนะ?”
“เรื่องเช่นนี้ ข้ามีหรือที่จะเอามากล่าวล้อเล่นได้? ศิษย์น้องข้าเองก็ได้เห็นทุกอย่างเองมากับตา ยังมีศิษย์อีกนับสิบคนที่เป็นพยานให้ได้” ยวู่เสว่ยฉิงทอสีหน้าขึงขัง
บรรดาผู้อาวุโสหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นสบตามองกันทันควัน อีกทั้งยังมีอีกหลายคนที่หันไปมองผู้อาวุโสห้า เพื่อที่จะคอยฟังความคิดเห็นของนาง
ทุกท่านที่อยู่ในที่แห่งนี้ มีแค่เพียงนางเท่านั้นที่เคยประมือกับเจียงซีมาก่อน ย่อมนับว่ามีน้ำหนักในวาจาเลยทีเดียว
ผู้อาวุโสห้าก็หาได้บ่ายเบี่ยง เพียงไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะแล้วตอบออกไป : “ครั้งก่อนที่ข้าและเจียงซีได้ปะทะกันก็เมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าได้ใช้เวลาไปถึงหนึ่งวันเต็ม จึงค่อยสามารถจัดการเขาจนบาดเจ็บสาหัสได้ แต่กลับยังไม่สามารถที่จะฆ่าเขาได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาในตอนนี้ ข้าก็ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้แล้วอย่างแน่นอน หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นพวกเรา ในบรรดาผู้อาวุโสที่พอจะสามารถปะทะกับเจียงซีตัวต่อตัวได้ ก็คงมีไม่เกินสามท่านแล้ว!”
เฮ้อ……
เสียงหายใจระคนตกใจก็ได้ดังขึ้น สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสเรียกได้ว่าตื่นตาตื่นใจอย่างถึงที่สุด
ผู้อาวุโสห้ากลับหาได้พูดจาโอ้อวดแต่อย่างไรไม่ เพียงแต่พูดออกมาด้วยความสัตย์จริงทุกประการ เนื่องจากเป็นเพราะเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวกันขึ้นมา
“เรื่องนี้ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว บุรุษหนุ่มที่มากความสามารถเช่นนั้น สามารถที่จะจัดอยู่ในสามอันดับแรกในหมู่พวกเรานี้เลยอย่างงั้นหรือ?”
“เขายังอยู่เพียงแค่ขั้นที่สองเท่านั้น หากว่าให้เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ขั้นที่สามแล้วล่ะก็……”
“ไม่แต่เพียงเท่านั้น! ถึงอย่างไรการต่อกรกับการฆ่าฟันก็หาใช่สิ่งที่เหมือนกันไม่ เขาที่สามารถฆ่าเจียงซีลงได้ อีกทั้งยังใช้เวลาไปเพียงยี่สิบช่วงลมหายใจ เป็นไปได้ว่าในด้านความสามารถจะมีแค่เพียงท่านผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถถ่วงดุลได้!”
เหล่าผู้อาวุโสก็พลันแสดงสีหน้ามืดมนไปตามๆ กัน วาจาเช่นนี้ของพวกนางเสมือนดั่งเป็นการบอกถึงจิตใจที่ขลาดเขลาของตัวเอง เพราะต่อให้เป็นท่านผู้อาวุโสสูงสุดลงมือด้วยตัวเอง ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพียงยี่สิบลมหายใจก็สามารถฉกชิงชีวิตของเจียงซีไปได้แล้ว สีหน้าของเหล่าผู้คนจึงเหลือไว้แค่เพียงความแตกตื่นตกใจ
“ช่างน่าเสียดายแล้ว ที่เขากลับไม่ใช่สตรีเพศ” ขนคิ้วของปิงหลงก็ได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทำได้แต่เพียงยิ้มอย่างขมขื่น
หากว่าหยางไคเป็นสตรี ปิงหลงย่อมไม่นึกเสียดายต่อทุกอย่างที่จะชักจูงเขามาเข้ากับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นอย่างแน่นอน ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ วันข้างหลังหากมีโอกาสเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดราชันย่อมต้องสูงกว่าผู้อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดอยู่มากกว่าแล้ว
อยากให้เรื่องนี้อยู่ต่อ สนับสนุนได้ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ
การที่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นสามารถสำเร็จจนกลายเป็นหนึ่งในสองขุมอำนาจใหญ่ของดาววารีสีชาดได้ นั่นย่อมต้องเป็นเพราะมีขอบเขตกำเนิดราชันตนหนึ่งคอยประจำการกันอยู่แล้ว หากว่าสามารถที่จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนได้แล้วละก็ เช่นนั้นก็จะสามารถสยบนิกายแสงอัคคีลงได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถสำเร็จเป็นสำนักอันดับหนึ่งในดาววารีสีชาตได้ ควบคุมอำนาจทุกอย่างไว้จนเบ็ดเสร็จ
“กลับหาได้เกี่ยวพันกับการจะเป็นสตรีหรือไม่ ศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจตบแต่งให้แก่ผู้อื่นได้ มิสู้หาลูกศิษย์ตบแต่งให้แก่เขาก็เป็นใช้ได้แล้วมิใช่หรอกหรือ?” ระหว่างนั้นก็ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งยิ้มเล็กน้อยเสนอความเห็นออกมา
“นี่นับได้ว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ทางด้านข้างของนางอีกคนก็ทำได้แต่เพียงส่ายหน้าเล็กน้อย :”ด้วยความสามารถและคุณสมบัติของเขานับว่าโดดเด่นเลยทีเดียว อีกทั้งจากที่เห็นยังนับว่าอ่อนเยาว์อยู่เลยทีเดียว มีหรือที่จะไม่มีหญิงสาวมาติดสอยห้อยตามได้? ไม่แน่ว่าสตรีที่ยินยอมที่จะติดตามเองก็มีกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“อิสตรีที่รู้จักแค่เพียงแต่งชาตแต้มผงขาวเหล่านี้ มีอย่างที่ไหนที่จะสามารถใช้มาเทียบเปรียบกับศิษย์ที่โดดเด่นของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราได้กัน? การที่เขาสามารถตบแต่งกับศิษย์ที่มีความโดดเด่นของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรา ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาของเขาแล้ว”
“ที่กล่าวมาก็นับว่าไม่ผิด”
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พึมพำกัน ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นของตัวเอง ราวกับว่าบัดนี้แทบจะกำลังเลือกสรรคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่หยางไคอยู่ให้ได้ เพื่อที่จะเป็นข้อผูกมัดเขาไว้กับเรือใหญ่อย่างหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนี้ไว้
ปิงหลงกระแอ่มไอเบาๆ แสดงสีหน้าประหลาดออกมาแล้วกล่าว: “ผู้เจ้าคงไม่ได้หลงลืมไปแล้วหรอกนะว่า คนของนิกายแสงอัคคีเองก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่ เพียงแค่นิกายแสงอัคคีฝ่ายเดียว หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราอาจจะไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว แต่ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ยังมีเชื่องโยงไปจนถึงใต้เท้าหลัวไห่แห่งดาวชุยเว่ย……หากกลับกลายเป็นรังควานใต้เท้าผู้นั้นจนไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ก็ไม่แน่ว่าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราอาจจะกลายเป็นฝ่ายที่ไปยั่วยุเพลิงโทสะของเขาเอาได้”
เหล่าผู้อาวุโสก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปกันอย่างพร้อมเพรียง ล้วนแต่เงียบเชียบกันทันที
.
.
.