ตอนที่ 1637 ความพลุ่งพล่านในจิตใจ
ตอนที่ 1637 ความพลุ่งพล่านในจิตใจ
ขอเพียงหยางไคไม่เข้าไปผสมโรง ด้วยความสามารถของยวู่เสว่ยฉิง เดิมก็ไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้เลย เขาแทบจะไม่สามารถจากไปได้โดยสิ้นเชิง
อีกทั้งความเป็นความตายของเขาล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหยางไคเท่านั้น
ยวู่เสว่ยฉิงขมวดคิ้วอันดกดำ พลันรีบส่งเสียงสูงออกมา: “สหายน้อยอย่าได้กลัวไป นิกายแสงอัคคีเขาต่อให้มีความสามารถที่ไม่ต่ำทราม กระนั้นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราเองก็หาได้ปวกเปียกถึงเพียงนั้นไม่ ย่อมต้องคุ้มครองเจ้าได้ทุกทางอยู่แล้ว ยังคงช่วยข้าสังหารเจ้าโจรถ่อยผู้นี้ด้วย”
นางเกรงว่าหยางไคจะถูกวาจาของอีกฝ่ายว่ากล่าวกันจนบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นแล้ว จนถึงขั้นที่ถอยขบวนไปเสียเช่นนี้
ถึงอย่างไรเหยียนฉื่อเหร่ยกับเจียงซีก็แตกต่างกัน เจียงซีถึงแม้จะมีความสามารถที่สูงล้ำ แต่ทว่าก็ยังหาได้ฝักฝ่ายต่อฝ่ายใด การฆ่าเขาไปถึงอย่างไรก็หาได้มีผู้ใดคิดที่จะเข้ามาแก้แค้นเขากันอยู่แล้ว และเหยียนฉื่อเหร่ยกลับถือเป็นผู้อาวุโสของนิกายแสงอัคคี อย่างไรก็ดีก็ย่อมต้องมีขุมอำนาจใหญ่คอยสนับสนุนอย่างแน่นอน
“ย่อมต้องฆ่าอยู่แล้ว!” หยางไคแสยะยิ้ม แล้วหันไปมองเหยียนฉื่อเหร่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยาม : “มาจนถึงขั้นนี้ยังคิดที่จะใช้เพียงคำพูดมาคุกคามข้าให้ตกใจกลัว คนของนิกายแสงอัคคีพวกเจ้าต่างก็โง่เขลากันถึงเพียงนี้เชียวว?”
เหยียนฉื่อเหร่ยถึงกับทอใบหน้าซีดเผือด
“ใช่แล้ว ลืมบอกเจ้าไปเลย คนของนิกายแสงอัคคีกลับหาใช่เป็นครั้งแรกที่ข้าฆ่าไม่ ก่อนหน้านี้ครั้งที่อยู่ในวังจักรพรรดิ ก็ได้ฆ่าเด็กน้อยผู้มีนามว่าข่งเหวินต่งไปแล้วคนหนึ่ง ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ภายในพันธนาการโลหิตก็ได้ฆ่าผู้มีนามว่าจางฉิงไปอีกคน ล้วนแต่เป็นของนิกายแสงอัคคีพวกเจ้างั้นสินะ?”
คราวนี้เหยียนฉื่อเหร่ยถึงกับตกใจจนเสียขวัญขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขากลับคิดไม่ถึงว่าหยางไคและนิกายแสงอัคคีจะมีความแค้นที่ลึกล้ำกันได้ถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นข่งเหวินต่งหรือว่าจะเป็นจางฉิง ก็ล้วนแต่เป็นเจ้าเด็กน้อยที่นับว่ามีชื่อเสียงกันภายในนิกายแสงอัคคีไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งยังจัดได้ว่าเป็นชนชั้นผู้อาวุโส มิหนำซ้ำยังจัดอยู่ในอันดับที่สูงเสียยิ่งกว่าเขาอีก
กระนั้นที่ข่งเหวินต่งไปเยือนวังจักรพรรดิ แต่กลับยังไม่กลับมา แล้วยังมีจางฉิงที่ไปเยือนพันธนาการโลหิตแล้วหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
หากว่าเป็นอย่างหยางไคได้กล่าวมาเป็นความจริง เช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาล้วนแต่ตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนูผู้นี้หรือไรกัน?
“ข้าเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อนิกายแสงอัคคีพวกเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้น……จงตายเสียเถอะ!” หยางไคพลันมีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นในทันที พลังอันมหาศาลจิตวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์อย่างถึงขีดสุดขุมหนึ่งพลันผนึกขึ้นจนเกิดเป็นเส้นบางๆ สายหนึ่ง พุ่งตรงเข้าใส่เหยียนฉื่อเหร่ยไปในทันที
ภายใต้ช่วงเวลาที่ไร้เสียงไร้วี่แววพลันเกิดเป็นพลังอันมหาศาลดุจคลื่นสมุทรล้นทะลักจนเกิดเป็นกระบี่อันคมกริบไร้สภาพไร้รูปร่างเล่มหนึ่ง ตรงดิ่งเข้าสะบั้นทลายการป้องกันเหยียนฉื่อเหร่ย ทิ่มแทงเข้าสู่ภายในห้วงสมองของเขา
เหยียนฉื่อเหร่ยส่งเสียงกรีดร้องขึ้น พลันทอใบหน้าซีดเผือดลง ได้รับบาดเจ็บจนถึงจิตวิญญาณ
ยวู่เสว่ยฉิงสาดแววตาคู่งามเป็นประกาย ฉวยโอกาสในครั้งนี้ขยับร่างกายเพื่อสร้างให้เป็นเขตพรมแดนกองกำลังและท่วงท่าแห่งบทประพันธ์ ภายในจิตใจภายในร่างกายของนาง รอบบริเวณภายใต้อาณาบริเวณกว่าสามสิบจั้งพลันเกิดเป็นความเย็นเยียบอย่างไร้ที่เปรียบขึ้นโดยพลัน ราวกับแช่แข็งได้แม้กระทั่งอากาศ
วิหคเพลิงที่กำลังแผ่ซ่านพลังทำลายออกมา พร้อมกับอ้าปากจนกว้าง กลืนเหยียนฉื่อเหร่ยลงท้องไปในคำเดียว
แม้จะใช้เพียงดวงตามอง ภายในหน้าท้องของอาวุธวิญญาณวิหคเพลิง ดุจกำลังเกิดความเคลื่อนไหวขยับเขยื้อน แต่ด้วยพลังอันมหาศาลจากเปลวเพลิงก็สามารถเผ่าไหม้จนหายไปได้ในที่สุด
ในระหว่างที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวนั้นก็เริ่มสงบลง จนหายไปในท้ายที่สุด
ประกายสายฟ้ากลุ่มหนึ่งพลันแลบอยู่ภายในร่างของวิหคเพลิงออกมา วิหคทองก็ได้กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง กลับเข้าสู่ภายในร่างของหยางไคไป โดยที่กองเศษซากกระดูกไว้อยู่ในจุดเดิม
เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กน้อยผู้นี้เองได้บ่มเพาะวิชาลับของเพลิงอัสนีฟ้าดิน [1] มาแล้ว ซึ่งเหมือนกันกับจางฉิงข่งเหวินต่งเช่นเดียวกัน หลังจากที่ตายเพลิงอัสนีฟ้าดินก็ถูกวิหคเพลิงกลืนกิน จนทำให้มันมีพลังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
ภัยในฉากหนึ่ง ในที่สุดก็คลี่คลายได้แล้ว
[1] 乾天雷火 แก้จาก เพลิงอัสนีผลาญสวรรค์ เป็น เพลิงอัสนีฟ้าดิน (เพราะ乾มาจากคำว่า乾坤แปลว่าฟ้าดิน)
ยวู่เสว่ยฉิงยืนอยู่ในจุดเดิม ทางหนึ่งก็รู้สึกผ่อนคลายทางหนึ่งก็ได้ทอแววตาหันไปมองหยางไคด้วยความสับสน
สตรีคนอื่นจากหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นต่างก็แสดงอาการแตกตื่นตกใจกันออกมา
คงมีแต่เพียงชิงหย่า ที่ยังคงมีแต่รอยยิ้มปรากฏอยู่เต็มใบหน้า
ผ่านไปเนิ่นนาน ยวู่เสว่ยฉิงจึงค่อยพอที่ฝืนรับความจริงได้ พร้อมทั้งหันไปพยักหน้าให้แก่หยางไคแล้วกล่าว: “ขอบคุณมากแล้ว”
ในครั้งนี้หากมิใช่เป็นเพราะหยางไคสำแดงความสามารถอันพิสดารออกมาอย่างกะทันหัน คนในกลุ่มหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนี้หากสามารถหลบหนีได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่บัดนี้ไม่เพียงแต่พวกนางจะไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ ในทางกลับกันแม้แต่คนของนิกายแสงอัคคีก็ล้วนแต่ถูกเข่นฆ่าไปจนหมดสิ้น
ยวู่เสว่ยฉิงก็ได้ใช้ดวงตามองไปที่หยางไคด้วยความตื่นเต้น
“ไม่จำเป็น ข้าก็เพียงแค่คุ้มครองตัวเองเท่านั้น ตอนนี้มิใช่ว่าออกเดินทางกันได้แล้วหรอกงั้นหรือ?” หยางไคยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ยวู่เสว่ยฉิงพยักหน้า จนทำให้ศิษย์ผู้หนึ่งไปเก็บกวาดรางวัลจากชัยชนะอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นก็ได้พาเหล่าผู้คนมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของเกาะสุดขั่วเยือกเย็น
ทว่าเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จนไม่มีผู้ใดอาจหาญพอที่จะมองหยางไคเป็นศัตรูอีกแล้ว
พวกนางทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องเก็บงำความรู้สึกในการเป็นศัตรูไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกทั้งยังไม่ได้ให้การคุ้มกันหยางไคโดยที่คอยห้อมรอบเขาเอาไว้เช่นนั้นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป และการปะทะกับกลุ่มคนของนิกายแสงอัคคีในครั้งนี้ ได้ทำให้ทุกคนล้วนแต่ทราบกันว่า ในการเดินทางครั้งนี้ของตัวเอง หยางไคจึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วนั้นเอง
เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางมาให้การคุ้มครอง!
ตลอดเส้นทางการเดินทาง พวกนางในบางครั้งบางคราวยังได้คอยสังเกตมองหยางไค อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจที่จะทราบได้ว่าแท้จริงแล้วบุรุษหนุ่มผู้นี้มีพลังการบ่มเพาะอย่างไรอยู่ดี แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าจะมีการบ่มเพาะพลังอยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองเท่านั้น แต่ก็สามารถความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือชั้นเช่นนั้นออกมาได้
“ผู้อาวุโสสิบสาม ในครั้งนี้เหตุใดพวกเราถึงต้องมาตามหาตัวเขากัน?” ชิงหย่าก็คอยสังเกตสีหน้าและคำพูด ก็ทราบได้ว่าบัดนี้การถามเรื่องเช่นนี้ย่อมถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด จึงได้ถามออกไปในทันที
ศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นคนอื่นๆ เองก็ล้วนแต่แสดงสีหน้าสับสนวุ่นวาย หันไปมองยวู่เสว่ยฉิงด้วยความฉงนสงสัย
พวกนางเหล่านี้ ได้เตรียมการทำศึกกับภายนอกมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งทุกคนต่างก็อยู่ในระหว่างการเสาะหาหยางไค มิหนำซ้ำยังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องอีกมากมายที่ได้ตายไปต่อหน้าต่อตาพวกนาง พวกนางเองก็ย่อมบังเกิดความประหลาดออกมาเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างนี้แท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุใดกันแน่
ยวู่เสว่ยฉิงหมวดคิ้วชนกัน เผยสีหน้าปั้นยาก แล้วกล่าวขึ้นว่า : “สาเหตุกลในแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจทราบได้ชัดเจน เพียงแต่คนของนิกายแสงอัคคีเองก็ได้ตามหาตัวเขาอยู่เช่นกัน ดังนั้นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นพวกเราจึงไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จได้ ไม่แน่ว่า…..ตัวเขาเองอาจจะทราบอะไรบางอย่างมาก็เป็นได้”
ในยามที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา ยวู่เสว่ยฉิงก็ได้หันไปมองหยางไคด้วยแววตาเหม่อลอยดั่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หยางไคถึงกับต้องทอสีหน้าไม่แยแสสนใจ ราวกับกำลังไปสนใจต่อสิ่งอื่นแทน แทบจะหาได้มีแสดงความตั้งใจตอบคำถามของนางไม่
“เรื่องนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ท่านเจ้าสำนักกับคณะผู้อาวุโสในเมื่อทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลกันอย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะ!” ทุกคนล้วนแต่ตอบคำ
ตลอดการทางล้วนแต่ไร้ซึ่งเรื่องราว ทั้งคณะที่อยู่ภายใต้การนำทางของยวู่เสว่ยฉิง ก็ได้มุ่งหน้าวิ่งตะบึงไปนานถึงครึ่งค่อนเดือนเต็ม
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ทุกคนจึงค่อยได้มาถึงยังเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับท้องทะเล
เห็นได้ชัดว่านี้ก็คือขุมอำนาจในการปกครองของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ยวู่เสว่ยฉิงยังคงนำพาหยางไคจนกระทั่งมาถึงค่ายกลมิติซึ่งสร้างขึ้นอยู่ใจกลางเมือง จากการได้ใช้ค่ายกลมิติ ก็ได้ส่งตัวจนมาถึงยังเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว
ที่ด้านนอกเกาะ หยางไคขยับร่างปรากฏตัวขึ้นในที่แห่งนี้ พร้อมกับมีสีหน้าเปลี่ยนไป บนใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าตื่นเต้นจนยากที่จะสะกดเอาไว้ได้เล็กน้อย จากนั้นก็ได้เพ่งตามองไปยังทิศทางด้านหนึ่ง แววตาสาดเป็นประกายราวกับแทบจะข้ามมิติออกไปได้เลย มองไปยังตำแหน่งจุดที่ห่างไกลออกไป
และในเวลาเดียวกัน ใจกลางตำหนักแห่งหนึ่งน้ำแข็งภายในเกาะ ซูเหยียนที่กำลังนั่งสมาธิบ่มเพาะก็พลันลืมตาอันงดงามขึ้น บิดส่ายเรือนร่างอันอรชรลุกขึ้นยืน
ชั่วขณะนี้ นางก็ถึงกับบังเกิดความรู้สึกขึ้น
สัมผัสได้ถึงพลังสภาวะของหยางไคได้!
ทั้งสองที่มักบ่มเพาะผสานหยินสลับหยางอย่างใกล้ชิดกันมาก่อน ขอเพียงแค่ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นไม่ได้ไกลจากอีกกฝ่ายมากจนเกินไป
นอกเกาะและในเกาะถึงแม้จะอยู่ห่างกันหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังคงไม่สามารถลบสายสัมพันธ์จิตใจระหว่างหยางไคกับซูเหยียนได้เลย!
นางอยู่ที่นี่!
เขามาแล้ว!
ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายได้ ในเวลาเดียวกัน
หยางไคยังคงยืนอยู่ที่เดิม สาดทอแววตาอบอุ่นเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ราวกับผนึกมรกต
ซูเหยียนได้รีบยันกายลุกขึ้น พร้อมกับมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอก!
ข้ามิขออะไรจากเจ้ามากนัก เพียงแค่แวะไปอ่านที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com บ้าง
แต่พึ่งจะออกไปจากเรือนน้ำแข็ง ก็ได้ถูกสตรีสองนางขวางทางเอาไว้
“ศิษย์น้องซู เจ้าคิดที่จะไปที่ใด?” ในหมู่สตรีสองนางที่มีหน้าที่รับผิดชอบซูเหยียน สตรีแซ่โจวนั้นก็ได้ทอใบหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งมองไปที่ซูเหยียน ขวางเอาไว้อยู่ทางด้านหน้าของนาง
“ศิษย์พี่โจว ข้าต้องออกไปด้านนอกสักครา!” ซูเหยียนได้ใช้วิงวอนร้องขอมองไปที่นาง
“ทำมิได้!” สตรีแซ่โจวถึงกับส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด : “ผู้อาวุโสสูงสุดได้กำชับเอาไว้แล้ว ว่าในช่วงนี้เจ้าจะต้องรั้งรออยู่แต่ที่นี่ ห้ามมิให้ออกไปไหนแม้เพียงก้าวเดียว เจ้าเองก็อย่าได้ทำให้ศิษย์พี่ต้องลำบากใจไปเลย”
“ใช่แล้วศิษย์น้องซู พวกเราสองคนก็คอยดูแลเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เดิมทีก็นับเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายกันอยู่แล้ว เจ้าเป็นถึงศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุด แต่ก็อย่าได้ประพฤติตัวทำเหมือนไม่เห็นศิษย์พี่อยู่ในสายตาไปเลย ยังคงขอให้เจ้ากลับเข้าไปเถอะ” ผู้ที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งก็กำลังหันไปมองซูเหยียนด้วยแววตาเย็นเยียบ
การคอยเฝ้าดูแลซูเหยียนก็นับเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายกันจนเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขยับไปไหนได้ มิหนำซ้ำยังไม่สามารถเพ่งจิตใจบ่มเพาะได้อีก นี่ได้ทำให้พวกนางทรมานด้วยเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุผลประการฉะนี้จึงได้ทำให้สตรีทั้งสองนางต่างก็บังเกิดความเคียดแค้นต่อซูเหยียนกันอย่างลึกล้ำ เพิ่มด้วยกับแต่เดิมพวกนางก็หาได้ชมชอบซูเหยียนที่เป็นที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว ในเวลาที่สนทนาก็ย่อมไม่เกรงใจเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่ทั้งสองท่าน ศิษย์น้องกลับไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้พวกท่านลำบากใจ เพียงแต่ข้าต้องออกไปสักคราให้ได้ ข้าขอรับรองว่าจะกลับมาภายในครึ่งวันแน่นอน!” ซูเหยียนขบริมฝีปากที่แดงผุดผ่อง มองไปที่ทั้งสองคนด้วยความจนปัญญา
“ศิษย์น้องคงจะไม่ได้เห็นศิษย์พี่อยู่ในสายตาแล้วจริงๆ !” สตรีแซ่โจวยังคงหัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุด : “เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ หากเรื่องที่เจ้าออกไปเที่ยวภายนอกเกิดรู้เข้าถึงหูของท่านผู้อาวุโสสูงสุด พวกเราจะต้องได้รับโทษอะไรบ้าง? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าต้องการที่จะออกไปเพื่อทำอะไร แต่ว่าข้ากลับไม่ได้มีความคิดที่จะมารับผิดชอบต่อการกระทำที่แสนเบื่อหน่ายของเจ้าอย่างแน่นอน”
“ศิษย์น้องเป็นถึงศิษย์ของท่านผู้อาวุโสสูงสุดอีกทั้งยังเป็นศิษย์คนสำคัญมากที่สุด ผู้อาวุโสสูงสุดไม่แน่ว่าอาจจะไม่ลงโทษเจ้าหนักกว่าเดิม แต่ทว่าพวกเราจะเป็นเช่นนั้นด้วยอย่างงั้นหรือ? ความเข้มงวดของผู้อาวุโสสูงสุดเจ้าเองก็มิใช่ว่าจะไม่ชัดเจน ศิษย์น้องเจ้าเองก็มีความงดงามมาตั้งแต่กำเนิด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจิตใจจะไม่ต่างอะไรไปจากงูพิษเช่นนี้ เจ้าคิดที่จะผลักพวกเราให้ตายทั้งเป็นจริงอย่างงั้นหรือ?”
ซูเหยียนก็ทำได้แต่เพียงอ้าปากขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ถึงแม้คำพูดของทั้งสองจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ ตนเองหากว่าออกไปขึ้นมาจริง พวกนางสองคนก็ย่อมต้องเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษเอาได้
พริบตานั้นสีหน้าของนางเองก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมา พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “เป็นศิษย์น้องที่ไม่ใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนเองแล้ว”
บุรุษของตัวเองเห็นชัดว่าได้มาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็นแล้ว และกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางกลับไม่สามารถที่จะไปพบหน้าได้ หัวใจของซูเหยียนเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากถูกใบมีดเชือดเฉือน
“รู้แล้วก็ดี ยังไม่รีบกลับไปอีก!” สตรีแซ่โจวกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ซูเหยียนก็ได้พยักหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว หันกายเดินกลับไป
เมื่อได้พบว่านางได้ปิดประตูใหญ่ห้องน้ำแข็งจนแน่น กลับเข้าสู่การเก็บตัวอีกครั้ง สตรีสองนางที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ด้านนอกก็ได้หัวเราะกันออกมาเสียงเย็นชา
สตรีแซ่โจวผู้นั้นก็ได้กล่าวขึ้นว่า : “นับว่าได้ระบายความแค้นที่อัดอั้นออกมาได้บ้างแล้ว ยังคิดจริงหรือว่าตัวเองเป็นที่ต้องตาของผู้อาวุโสสูงสุดแล้วจะสามารถมองผู้อื่นไม่อยู่ในสายตาได้กัน?”
สตรีที่อยู่อีกทางด้านก็ได้หัวเราะคิกคัก กล่าวออกมาด้วยความเบิกบาน : “ก่อนหน้านี้ผู้ใดให้นางใช้แววตาดั่งผู้สูงส่งกัน หากว่าก่อนหน้านี้สานไมตรีกับพวกเราเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้ก็คงจะไม่ทำให้นางต้องลำบากจนเกินไปแล้ว”
“พวกเราที่นับว่าเป็นศิษย์พี่ ก็ควรที่จะสั่งสอนนางว่าควรจะทำตัวอย่างไรกันแล้ว”
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปรายงานต่อท่านผู้อาวุโสสูงสุดแล้วอย่างงั้นหรือ?”
สตรีแซ่โจวครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงค่อยส่ายหน้าแล้วตอบไปว่า : “อย่าได้รายงานก่อนเป็นการชั่วคราว ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่สามารถออกจากการเก็บตัว ต่อให้รายงานไปแม้จะไม่ถูกลงโทษก็ตาม แต่ก็ยังมิสู้รอให้นางสำนึกผิดขึ้นมาจริงๆ แล้วจึงค่อยไปแจ้งอีกคราก็ยังไม่นับว่าสาย เมื่อถึงเวลานั้นผู้อาวุโสสูงสุดย่อมไม่ยอมปล่อยนางอย่างแน่นอน”
“ที่ศิษย์พี่กล่าวมาก็นับว่าถูก” สตรีอีกทางด้านหนึ่งก็ได้ทอแววตาเป็นประกายมองไปยังทางด้านหน้า
……
“น้องชาย!” เสียงเรียกของยวู่เสว่ยฉิงได้ปลุกหยางไคจนตื่นจากภวังค์ เขาในที่สุดก็กลับคืนแววตาที่เป็นประกาย แล้วหันไปเหม่อมองยววู่เสว่ยฉิง
ผู้อาวุโสสิบสามหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นท่านนี้ก็ช่างมีอารมณ์ที่ประหลาดเสียจริง เพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า : “ที่ตรงนั้นก็คือส่วนที่เป็นภายในเกาะสุดขั่วเยือกเย็น เจ้าที่เป็นบุรุษแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ภายในได้ บัดนี้พวกเรายังอยู่ส่วนชั้นนอกของเกาะ หากมิใช่ว่าครานี้อยู่ในสถานการณ์คับขันเร่งด่วน ก็จงอย่าได้เข้าไปเป็นอันขาดล่ะ”
“สามารถเข้าสู่เกาะสุดขั่วเยือกเย็นได้ นับได้ว่าเป็นเกียรติวาสนาของน้อยแล้ว ผู้น้อยยังคงต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากแล้ว!” หยางไคผสานมือคารวะแล้วตอบ
เพราะว่าวาสนาของซูเหยียน หยางไคเองก็นับว่าเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทันใดนั้นก็ได้พบว่าศิษย์สตรีของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเหล่านี้แต่ละคนล้วนแล้วแต่สาดทอดวงตาเป็นประกายมองไปที่คนผู้นี้ อีกทั้งยังมีท่าทีที่เป็นธรรมชาติและความอบอุ่นอย่างไร้ที่เปรียบ
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหยางไคถึงได้มีรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ยวู่เสว่ยฉิงเองก็ไม่ใคร่คิดที่จะไล่ถามต่อ เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย : “เจ้าก็พักอยู่ในที่แห่งนี้เป็นการชั่วคราวเถอะ ในส่วนของหลังจากนี้……พวกเราเมื่อกลับไปแล้วค่อยว่ากล่าวต่อท่านเจ้าสำนักและคณะผู้อาวุโสกันอีกครา”
.
.
.