ตอนที่ 1635 เจ้าจะทำอะไร
ตอนที่ 1635 เจ้าจะทำอะไร
ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย1 ศิษย์นิกายแสงอัคคีที่เสาะหาบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างยากลำบากมานานกว่าหนึ่งปี ถึงกับพบเจอเข้าด้วยความบังเอิญ เหยียนฉื่อเหร่ยย่อมบังเกิดความลิงโลดเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
ในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็ทราบได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนยวู่เสว่ยฉิงกำลังจัดกำลังคนลงมือฆ่าฟันวุ่นวาย เพื่อที่จะดึงความสนใจของนิกายแสงอัคคี ซึ่งแท้จริงแล้วต้องมีสาเหตุอะไรซ่อนเร้นไว้อย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าย่อมต้องเป็นซ่อมเส้นทางในทางแจ้ง ลอบลงมือในทางลับ2!
อีกทั้ง หากมองจากในมุมมองทางด้านของพวกเขา ก็พอที่จะสามารถยืนยันเส้นทางได้ว่ากำลังคิดที่จะกลับเกาะสุดขั่วเยือกเย็น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”เหยียนฉื่อเหร่ยพยักหน้าน้อยๆ ส่ายหน้าแล้วหันไปมองยวู่เสว่ยฉิง : “ที่แท้เจ้าก็มีเป้าหมายเช่น กระนั้นก็ช่างน่าเสียดาย ในเมื่อพบพานกับข้าผู้แซ่เหยียนเข้าแล้ว ก็ถือเป็นตัวตัดสินว่าเจ้าไม่อาจที่จะกระทำการสำเร็จได้ !”
ภายในใจยวู่เสว่ยฉิงต้องลอบร้องว่าย่ำแย่ออกมา ถึงกับอดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องหยางไควูบ โทษที่เขาปากมากจนเกินควร นำสู่การหาเรื่องใส่ตัว ในเวลาเดียวกันก็ได้กู่ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ยังมัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบไปอีก ! ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ต้องพาเจ้าหนูผู้นี้ส่งไปจนถึงเกาะสุดขั่วเยือกเย็นให้ได้!”
กล่าวจบ ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในกายของยวู่เสว่ยฉิงก็ถูกกระตุ้นขึ้นอย่างรุนแรง จนสามารถใช้ตาเปล่ามองเห็นกระแสปราณเยือกแข็งที่ปกคลุมนางอยู่ในศูนย์กลาง แผ่กระจายไปทุกสารทิศอย่างคลุ้มคลั่ง
ปราณเยือกแข็งนั้นราวกับต้องการที่จะแช่ฟ้าดินให้แข็ง บนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่พลันปกคลุมเอาไว้ด้วยน้ำแข็งไว้อีกชั้นหนึ่งแผ่กระจายกันออกมา
ถี่ถี่ถี่……
หอกน้ำแข็งแต่ละด้ามได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของยวู่เสว่ยฉิงอย่างกะทันหัน แหลมคมสุดเปรียบปาน สาดประกายความเยียบเย็น นางโบกมือวูบ เกิดเป็นแมลงน้ำแข็งดั่งตั๊กแตนขอบเขตหวนคืนก็มิปานพุ่งจู่โจมเข้าใส่คนของนิกายแสงอัคคี
“ได้ยินได้ฟังชื่อเสียงอันเลื่องลือของผู้อาวุโสสิบสามมานาน ข้าผู้แซ่เหยียนจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง หวังว่าเจ้าคงจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังหรอกนะ !”เหยียนฉื่อเหร่ยตวาดเสียงดังก้อง หันหน้าเข้าเผชิญกับตั๊กแตนน้ำแข็งที่มีกันอยู่นับไม่ถ้วนนั้น ยินดีปรีดาโดยที่มิหวาดกลัว ระเบิดหนึ่งหมัดเข้าใส่เบื้องหน้าอย่างรุนแรง
เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องขอบเขตสำนึกอันร้อนระอุสาดกระเซ็นสู่มวลอากาศ กำปั้นขนาดยักษ์ที่ผนึกรวมไว้ด้วยเพลิงอัคคี ก็ได้พุ่งเข้าใส่ตั๊กแตนน้ำแข็งเหล่านั้นไป
ตูมตูมตูม……
ตั๊กแตนน้ำแข็งพลันแตกละเอียดขึ้นนับไม่ถ้วน หมัดเพลิงอัคคียักษ์ถูกลดทอนพลังลงอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“พี่เจียง ผู้อื่นจะเป็นจะตายล้วนขึ้นอยู่กับท่านจัดการได้เลย แต่เจ้าหนูผู้นั้นต้องจำเป็นสถานเดียวเท่านั้น!”เหยียนฉื่อเหร่ยที่ใช้เพียงกระบวนท่าเดียวในการสลายการโจมตีของยวู่เสว่ยฉิง ทางหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าใส่ยวู่เสว่ยฉิงมาอย่างกระชั้นชิด ทางหนึ่งก็ได้กล่าวกำชับขึ้น
“หึหึหึ……เมื่อเจ้าพูดมาแช่นนี้ เช่นนั้นข้าผู้ชราเองก็วางใจได้แล้ว !”เจียงซีแสยะยิ้มอย่างดุร้าย กระตุ้นวิชาพิษภายในร่าง
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ฟ้าดินในอาณาบริเวณกว่าสิบลี้ก็ได้ถูกหมอกพิษห้าสีหลากสันปกคลุมฟ้าดินไว้หนึ่งชั้น จนคล้ายกับว่ามีถ้วยยักษ์ใบหนึ่งคว่ำใส่ จนทำให้พื้นที่ในระยะสิบลี้ถูกปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนขุมหนึ่งได้ปกคลุมอยู่ท่ามกลางฟ้าดินสายนี้ จนทำให้ผู้คนที่สูดดมเข้าไปรู้สึกคลื่นไส้ ศิษย์สตรีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่สูดดมกลิ่นอายบรรยากาศนี้ที่เป็นกลิ่นเหม็นทั้งมวล ล้วนแต่บังเกิดอาการวิงเวียนตาลาย ไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไม่ต่อเนื่อง
“แย่แล้ว เป็นเจียงซีหมอกพิษหายนะของเจียงซี!”คนผู้หนึ่งของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็ได้ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาล
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องพาเจ้าหนูผู้นี้ออกไปให้ได้ก่อน !”อีกคนที่เป็นผู้ติดตามของยวู่เสว่ยฉิงก็ได้กล่าวกำชับ กู่ร้องเตือนสติทุกคนเอาไว้
บรรดาสตรีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นจึงค่อยได้มีสติฟื้นคืนกลับมาในทันที
เวลากว่าหนึ่งปี อย่างน้อยก็มีผู้ร่วมสำนักมากกว่าพันต้องตายอย่างอเนจอนาถที่ภายนอก เพื่อเสาะหาหยางไค บัดนี้ในที่สุดก็ได้หาเขาจนพบ หากว่าถูกชิงตัวคนไปในที่แห่งนี้ เช่นนั้นศิษย์ร่วมสำนักทั้งพันคนนั้นมิใช่ต้องตายเปล่ากันแล้ว
“ตามพวกเรามา!”หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่ตบแต่งเป็นเพียงศิษย์ก็ได้หันไปกล่าวต่อหยางไคด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ยวู่เสว่ยฉิงถูกเหยียนฉื่อเหร่ยพัวพันไว้ เหล่าผู้คนจึงยึดถือนางเป็นผู้นำ
“หนีไม่รอดใช่หรือไม่ ?”หยางไคหันไปมองนาง แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย : “ตาแก่ผู้นั้นนับว่ามีความสามารถเหนือกว่าพวกเจ้า อีกทั้งความโชคร้ายเช่นนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรนัก หากสามารถหนีรอดไปได้จริงแล้วละก็ พวกเจ้าเองก็คงถูกจัดการจนปางตายอยู่เหมือนกัน”
“เหตุใดเจ้าถึงได้มีวาจามากความถึงเพียงนี้ ให้เจ้าไปก็ไปสิ !”หญิงวัยกลางคนผู้นั้นราวกับว่ากำลังกัดฟันพร้อมกับตวาดออกมา : “คนผู้นี้นับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเราแทบจะไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เลย !”
“แข็งแกร่ง ? แข็งแกร่งแค่ไหนกัน ?”หยางไคยังคงหาได้มีอารมณ์เปลี่ยนไป
“จุดสูงสุดของขอบเขตหวนกำเนิดขั้นสาม!บนดาววารีสีชาด เขาถือเป็นหนึ่งในคนที่มีความหวังว่าจะสามารถเลื่อนขั้นจนถึงขอบเขตกำเนิดราชันได้ หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรามีแค่เพียงผู้อาวุโสห้าลำดับแรกเท่านั้นที่พอจะต่อกรกับเขาได้ เจ้าเองก็อย่าได้แกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนเลย”
“นับว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”หยางไคพยักหน้าอย่างเงียบงัน
“เจ้า……”หญิงวัยกลางคนราวกับมีเพลิงไฟอัดแน่นอยู่ในท้อง อีกทั้งยังรู้สึกไม่พอใจในท่าทีที่หยางไคแสดงออกมาเป็นอย่างยิ่ง นางเองที่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นจนถึงเพียงนี้แล้ว กระนั้นแต่อีกฝ่ายยังถึงกับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย นี่มิใช่ว่ายิ่งเป็นทำให้เรื่องราวย่ำแย่ขึ้นอย่างงั้นหรือ ?
“พวกเราถือว่าพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว”สตรีที่อยู่ทางด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยความโศกเศร้า
ภายใต้ความเงียบสงัด หญิงวัยกลางคนก็ได้ถอนหายใจออกมา
หากว่าภายในชั่วพริบตาที่ผู้อาวุโสสิบสามเอ่ยปากเตือนสติ พวกนางก็เคลื่อนไหวทันทีแล้วละก็ ยังพอที่จะมีโอกาสหลบหนีมีชีวิตรอดไปได้ แต่หยางไคกลับแสดงความอืดอาดออกมาเช่นนี้ แล้วมีหรือที่จะสามารถมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้อีกกัน ?
เจียงซีที่เกลียดชังหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเข้ากระดูกดำ อีกทั้งยังมีพลังความสามารถสูงล้ำเป็นพิเศษ บ่มเพาะวิชาพิษยิ่งอันเร้นลับยากต้านทาน ฉากจบสุดท้ายของศิษย์พี่น้องเหล่านี้ของตนเองคงจะไม่เป็นที่รื่นรมย์อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้จนถึงตรงนี้ หญิงวัยกลางคนก็ได้ใช้แววตาหันไปมองหยางไคด้วยความดุดัน กัดฟันแล้วกล่าว : “หากว่าพวกเรากันหมด ล้วนแต่เป็นเจ้าที่ทำร้าย เมื่อไปเยือนปรภพข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าอย่างแน่นอน”
“กล่าวหนักหนาถึงเพียงนี้ไปไยกัน”หยางไคยังคงเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ : “ก็แค่ฆ่าเขาทิ้งไปเสียก็เป็นใช้ได้แล้ว”
หญิงวัยกลางคนตะลึงลาน สตรีมากมายของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเองต่างก็ได้หันไปมองหยางไคด้วยแววตาโง่งม ในใจพลันคิดว่าบุรุษเพศล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่งมกันเสียจริง แท้จริงแล้วเขาไม่ทราบถึงความแตกต่างกันหรือไงกัน ? อีกทั้งยังกล่าววาจาใหญ่โตเช่นนี้
เหล่าผู้คนล้วนแต่ลังเลกันชั่ววูบ รอบกายของเจียงซีพลันปกคลุมไปด้วยหมอกพิษห้าสี จนทำให้ผู้คนแทบจะไม่อาจมองเห็นรูปร่างของเขาได้ เหลือไว้แต่เพียงเสียงที่หัวเราะดุดันที่ขนลุกขนพองสยองเกล้าดังออกมาจากภายในหมอกพิษ
“ตามข้าผู้ชราขึ้นมาเถอะ ทว่าจงจำเอาไว้ว่า ห้ามฆ่าแม้สักคนเดียว ทาสตัวเมียของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของข้าผู้ชรา ข้าผู้ชราจะทำให้พวกนางทราบเองว่าอันใดคือสิ่งที่เรียกกันว่าอย่าได้ตัดสินกันด้วยหน้าตา !”เจียงซีพลางตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นชา
ผู้ทรงพลังทั้งหลายของนิกายแสงอัคคีถึงกับต้องกลอกตากันอย่างพร้อมเพรียง แต่เนื่องด้วยไม่ได้มีความสามารถเทียบกับผู้อื่นได้ ทำได้แต่ตามอยู่ทางด้านหลังของเจียงซี ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัคคีลุกโชนขึ้นจากทั่งร่างครอบไปทั่วร่าง พร้อมกับมุ่งหน้าเข้าใส่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็น
“มาแล้ว!พวกเรามีกำลังพลมากกว่าพวกเขามาก รวมพลังทั้งหมดเข้าป้องกันก่อน จงระวังหมอกพิษของเจียงซีให้มากไว้ !”สตรีที่เป็นผู้นำตวาดเสียงเจือแจว สตรีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเกือบสิบนางก็ได้ไหลเวียนลมปราณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง จนทำให้ร่างกายของตัวเองเย็นเฉียบขึ้นอย่างถึงขีดสุด
นางก็ได้เหม่อมองไปยังทางด้านของหยางไค พร้อมกับกล่าวกำชับไปว่า : “เจ้าไปหลบอยู่ทางด้านหลัง……เอ๊ะ เจ้ากำลังจจะทำอะไร!”
ในเวลาที่กล่าวออกมา นางก็ได้พบเห็นหยางไคถึงกับก้าวเดินไปยังทางด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้ว โดยที่หันเข้ารีบหน้าเจียงซีและพวก แสดงสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนออกมา
“รีบกลับไปกันเถอะ !”หญิงวัยกลางคนถึงกับทอสีหน้าแตกตื่นตกใจออกมา
อีกทางด้านหนึ่ง เหยียนฉื่อเหร่ยที่กำลังยกธงศึกเข้าปะทะก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาจากทางด้านข้าง สะบัดหน้าหันไปมอง ถึงกับต้องทอสีหน้าเปลี่ยนแปลงกลับกลาย
ภายใต้การหันความสนใจไปเพียงส่วนเดียว เดิมที่อยู่ในสถานการณ์ที่เหยียนฉื่อเหร่ยมีชัยเหนือกว่าฝ่ายศัตรู แม้กระทั้งจะต้านทานกันก็ยังยากลำบาก ในใจยังลอบด่าทอหยางไคไม่รู้จักหนังเบา ถึงกับยังเคลื่อนไหวโดยไม่ยั้งคิดเช่นนี้อีก
นางทราบว่า นี่คงจะต้องจบสิ้นลงแล้ว
ไม่แต่เพียงจะไม่อาจพาหยางไคกลับไปยังหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้ ศิษย์ทั้งหลายสิบคนนั้นเกรงว่าก็คงจะกลับไปโดยที่ไม่มีชีวิตรอดได้แล้ว รวมไปจนถึงตัวนางเอง หากคิดจะหลบหนีโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีความหวังอยู่แค่สามส่วนเท่านั้น ! ช่วงเวลาหนึ่ง ยวู่เสว่ยฉิงก็เกิดความกระวนกระวายใจ จนเรียกได้ว่าอับจนหนทาง
“เจ้าหนูผู้นี้นับว่าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน ! อือ ผู้อาวุโสเหยียนบอกว่าอย่าได้จัดการเขาจนถึงแก่ชีวิตเท่านั้น เช่นนั้นก็มีแต่เพียงแค่จับเป็นแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียจริง !”เจียงซีก็ได้รีบหันไปมองหยางไคที่เข้ามาใกล้โดยพลัน ยื่นมือออกไป พร้อมกับหมอกพิษขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่าง พุ่งเข้าจู่โจมใส่หยางไค
เพียงชั่วพริบตาเดียว หมอกพิษกลุ่มนั้นก็ได้โจมตีเข้ามาจนถึงบริเวณทางด้านหน้าของหยางไค เพียงการบิดส่ายขยับเขยื้อนไปมา ดุจดั่งเชือกเส้นหนึ่งที่เข้ามัดหยางไคเอาไว้ จนเห็นได้ชัดว่ามีความต้องการที่จะคร่ากุมเขาทั้งเป็น
“แย่แล้ว!”ทางด้านหลังของหญิงวัยกลางคนจิตใจสั่นสะท้าน ราวกับทนไม่ได้ต่อฉากที่กำลังจะเกิดขึ้น ในใจทั้งร้อนรนทั้งเดือดดาล
หากไม่ใช่เป็นหยางไคกล่าวพึมพำ ก็ได้เคลื่อนไหวอย่างเฉียบพลัน พวกนางอย่างมากที่สุดก็ยังมีความหวังที่จะสำเร็จภารกิจนี้ให้ได้มากที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้หากสามารถทำให้บาดเจ็บล้มตายได้บางส่วนก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว กระนั้นบัดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนแต่จบสิ้นแล้ว
หมอกพิษดุจคล้ายกับมีชีวิต เข้ามัดร่างของหยางไคเอาไว้
“เจ้าหนูนี้ถือว่ามีประโยชน์ต่อนิกายแสงอัคคีพวกเจ้า ก็ขอมอบให้แก่พวกเจ้าก็แล้วกัน!”เจียงซีกล่าวกำชับ ไม่แม้แต่จะเหลือบแลหยางไคแม้สักครา เพียงทะยานร่างกระโจนเข้ามาอยู่ที่ข้างกายของเขาในทันที พร้อมกับมุ่งเป้าหันไปมองยังทางด้านของหญิงวัยกลางคนและพวกที่ไม่ห่างไกลออกไป
นิกายแสงอัคคีทั้งหลายคนนั้นพลันมีแววตาเปลี่ยนไป มีอยู่คนหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่หยางไคไป ส่วนคนอื่นก็ได้ติดตามอยู่ทางด้านหลังของเจียงซี
กลุ่มคนเจ็ดแปดคนและหยางไคเดินผ่านกระทบไหล่
จนเกิดเป็นประกายแสงสีทองแลบขึ้น !
พร้อมกับเลือดที่สาดกระจาย และแขนที่ขาดลอยไปอีกทาง……
มีชีวิตของคนอีกหลายคน ที่ดับสูญไปในพริบตา!
เศษเนื้อซากศพสาดเทลงมาดุจสายพิรุณก็มิปาน จนเกิดเป็นเสียงตกกระทบลง ก่อเกิดเป็นกลิ่นคาวเลือดเข้ามาแทนที่
ระหว่างนั้นยังสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลก่อตัวขึ้นจากทางด้านหลัง เจียงซีที่ขมวดคิ้วจนขนคิ้วตรึง ถึงกับต้องหยุดยืนและหันกลับมามอง
เพียงชั่วครู่เดียว ดวงตาของเขาถึงกับเบิกจนกลมโต รีบขยับกายหันกลับ ทอแววตาหนักแน่นหันไปมองหยางไค ตรงส่วนของหางตายังปรากฏเค้าความของสีหน้ายากที่จะเชื่อได้ลง
ตนเองได้ใช้ควันพิษผูกมัดเจ้าหนูผู้นี้เอาไว้แล้ว แต่กลับไม่อาจทราบได้ว่าได้หดตัวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มิหนำซ้ำ ผู้ทรงพลังนิกายแสงอัคคีที่ติดตามอยู่ทางด้านหลังของตนยังไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนแต่ตายตกไปจนสิ้น !
แทบจะหาได้มีความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังหาได้มีเสียงกรีดร้องดังก่อนตาย ราวกับว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดเจ็ดแปดคนถึงกับต้องสิ้นชีพไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
ทันใดนั้นเจียงซีก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ความหนาวเหน็บขุมหนึ่งได้แล่นผ่านจากศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า
“เกิดขึ้นได้ยังไงกัน ?”ทางด้านหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนั้น ก็ได้มีสตรีกลุ่มหนึ่งตะลึงลานขึ้นแล้ว หญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้นำถึงกับยิ่งสั่นระริกไปทั้งร่าง ทอสีหน้างุนงง ดุจดั่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน
หางตาอันงดงามของชิงหย่าล้วนแต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับเผยสีหน้าที่สื่อให้เห็นว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ออกมา
หยางไคยังคงยืนหยัดมิหลีกหนี ในทางกลับกันยังเป็นฝ่ายรับศึกจากศัตรูเอง ราวกับเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้
สนับสนุนผู้แปลได้ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ
เกี่ยวกับหยางไค นางเองก็ยังไม่นับว่ากระจ่างแจ้งอย่างลึกซึ้ง แต่จากที่ทราบมาจากซูเหยียน นางก็ได้ทราบว่าหยางไคนับได้ว่าเป็นผู้ที่มักสร้างความมหัศจรรย์ได้อยู่เสมอ การที่พบว่าสามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตเหนือกว่าจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ก่อนหน้านี้นางยังได้แต่เพียงคาดเดา ส่วนบัดนี้กลับกำลังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้านางแล้ว
คนของนิกายแสงอัคคีทั้งเจ็ดคนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นขอบเขตหวนคืนขั้นที่หนึ่งจนถึงขั้นที่สาม แต่ทว่าในยามที่วิ่งผ่านหยางไคไปเท่านั้น ถึงกับสิ้นลมหายใจไปจนหมดสิ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
นี่กลับมิใช่เป็นเรื่องที่การต่อสู้กับผู้ที่มีพลังขอบเขตเหนือกว่าเพียงคนเดียวจะสามารถคลี่คลายได้แล้ว นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องอันมหัศจรรย์เรื่องหนึ่ง !
ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าแท้จริงแล้วหยางไคทำได้อย่างไร พวกนางเพียงแต่มองเห็นประกายแสงที่สาดทอออกมากลุ่มหนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร ?”หญิงสาวเหม่อมองหยางไคด้วยความแตกตื่น หยางไคในขณะนี้ ที่เบื้องหน้าได้ปรากฏเส้นใยสีทอง เส้นใยสีประหลาดสีทองนั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและพลังแห่งเลือดลม3 ราวกับเปรียบเหมือนมีพลังชีวิตของตัวเองอยู่ก็มิปาน จนทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะดูแคลน
บนใบหหน้าเขาที่แขวนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเฉยชา หันไปเหลือบมองเจียงซีด้วยสีหน้าอาการที่ดูถูกดูแคลน
ในขณะที่ไม่ทันตั้งตัวเจียงซีก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมากมายมหาศาล คล้ายกับเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตหวนคืนขั้นที่สอง อีกทั้งยังมีขอบเขตกำเนิดราชันอีกคนหนึ่งอีกคนได้อย่างแท้จริงโดยที่มิอาจโต้แย้งได้ !
จิตสัมผัสพลันแปรเปลี่ยนไป เจียงซีเองก็ได้ขจัดความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจออกไปจนสิ้น เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ:“ไอ้หนูเจ้าถึงกับแสร้งเป็นพยัคฆ์สวมหนังสุกรไว้อย่างงั้นเรอะ ?”
“เป็นพวกเจ้าที่ดูแคลนข้าจนเกินไปเอง”หยางไคแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก กล่าวขึ้นโดยที่ไม่เร็วไปมิช้าเกิน:“ตาแก่ เตรียมตัวรับความตายไว้แล้วหรือยัง ?”
“คุยโว่โอ้อวดไม่รู้จักละอาย!”เจียงซีตวาดก้อง พลังสภาวะภายในร่างกายเริ่มดีดตัวขึ้นลงภายในพริบตา ก่อเป็นพลังในรูปพัดพุ่งเข้ากดดันเข้าหาหยางไค
.
.
.