ตอนที่ 1633 ข้าจะไป
ตอนที่ 1633 ข้าจะไป
ซูเหยียนกับชิงหยาถึงแม้จะเข้ามายังหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งแล้ว!
นี่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหลายปีก่อน ท่ามกลางการเดินทางสู่วังจักรพรรดิ หยางไคก็ได้เดินประมือกับคนของหุบเขาหฤทัยเยือกแข็ง ภายหลังที่ได้มาถึงยังดาววารีสีชาดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ทราบได้ว่าขุมอำนาจหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว
แต่เขาจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ซูเหยียนกับชิงหยาทั้งสองถึงกับได้เข้ากับฝ่ายหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งแล้ว
หากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงจะไปตามหาตั้งแต่แรกแล้ว
กระนั้น หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งก็รับแต่เป็นศิษย์สตรี อีกทั้งด้วยการบ่มเพาะเคล็ดวิชาแห่งธาตุน้ำแข็งกับวิชาลับเลื่องชื่อ แน่นอนว่าย่อมต้องมีเหมาะสมกับซูเหยียนกับชิงหยาทั้งสอง ถึงอย่างไรพวกนางเมื่อในเวลานั้นในนิกายน้ำแข็งและหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งก็มีแนวทางความคิดในแบบเดียวกัน
“ซูเหยียนเองก็เป็นห่วงเจ้ายิ่ง แต่นางกลับไม่อาจที่จะกลับไปยังทวีปถ่งซ๋วนได้ นางจึงได้บอกต่อข้ามาโดยตลอด รอจนกระทั่งนางมีความสามารถมากพอที่จะก้าวข้ามดวงดาวได้ด้วยตัวเอง จะต้องกลับมาตามหาเจ้าเองอย่างแน่นอน” ชิงเหยาเหม่อมองไปที่หยางไค ราวกับว่าเขาในหลายปีมานี้ยังอยู่ในทวีปถ่งซ๋วนมาโดยตลอด
สนับสนุนต้นฉบับที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com นะคะ
“ข้าทราบดี หลายปีมานี้ข้าเองก็ตามหานาง” หยางไคยิ้มน้อยๆ ในช่วงเวลาที่กำลังจะสอบถามสถานการณ์ของซูเหยียนกับชิงเหยาต่อ ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นโดยพลัน และเอ่ยขึ้นว่า : “ที่นี่กลับไม่เหมาะที่จะสนทนา ยังคงออกไปจากสถานที่แห่งนี้กันก่อนเถอะ”
ในระหว่างที่สนทนา หยางไคก็ได้ยื่นมือปัด ใช้ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มชิงหยาเอาไว้ พานางลอยหายลับไปจากจุดเดิมโดยเร็ว
หลังผ่านไปได้สิบลมหายใจ ก็ได้มีจอมยุทธ์ในเจ็ดแปดคนมาเยือนยังที่แห่งนี้ พร้อมทั้งกวาดตามองไปโดยรอบ ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลับรู้สีกสงสัยไม่คลาย : “เมื่อครู่นี้ได้มีคนอยู่ในที่แห่งนี้ เหตุไฉนถึงได้หายตัวไปอย่างกะทันหันแล้ว”
“ไม่แน่ว่าอาจจะตรวจพบกระแสพลังของพวกเรา จึงได้หลบหนีไปแล้ว” คนที่มาด้วยกล่าวตามที่คาดเดา
“อือ อย่าได้ไปสนใจก่อนแล้ว การมุ่งหน้าไปสนับสนุนศิษย์ในสำนักเราถือเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่า” ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็ได้โบกมือขึ้น พร้อมกับพาคนอื่นๆ ก้าวเท้ามุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบไป
ในจุดที่ห่างไกลไปจากสนามรบแห่งนั้นไปหลายหมื่นลี้ ภายในใจกลางเมืองน้อยแห่งหนึ่ง หยางไคกับชิงเหยาก็ได้หาพบโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง พร้อมกับเปิดห้องไว้หนึ่งห้อง
ภายในห้อง หยางไคที่กำลังซักถามสถานการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ของซูเหยียนอย่างละเอียด
จนทราบได้ว่านางปลอดภัยดีทุกด้าน ไม่เพียงแต่จะเข้าสู่หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งแล้ว อีกทั้งยังได้กราบเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหร่านหยุ่นถิ่งแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกแข็ง อีกทั้งยังได้รับการดูแลเอาใจใส่ หยางไคจึงค่อยวางใจและหายห่วงได้ในที่สุด
หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งที่กำเนิดราชันผู้ทรงพลังคอยเป็นตัวแทนการสู้รบ
อีกทั้งยังมีอำนาจที่ไม่น้อยเลยทีเดียว การบ่มเพาะของผู้อาวุโสสูงสุดกู่จ่ง หร่านหยุ่นถิ่งย่อมไม่ถือว่าต่ำต้อยเลยทีเดียว การที่สามารถเข้าร่วมสำนักของนางได้ ย่อมถือได้ว่าเป็นดั่งโชควสนาของซูเหยียนเลยทีเดียว
หยางไคเองก็รู้สึกตื้นตันต่อหร่านหยุ่นถิ่งผู้นี้อยู่ไม่น้อย
หากมิใช่ว่าเป็นเพราะได้นางคอยชี้นำอย่างระมัดระวังแล้วละก็ ซูเหยียนเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสำเร็จจนถึงขั้นเขตแดนจักรพรรดิขั้นที่ 1 ภายในช่วงเวลาสั่นๆ เนี้!
เซี๊ยหนิงชานที่บ่มเพาะแกนแท้ของดวงดาวของทวีปถ่งซ๋วนจึงค่อยมีความสำเร็จเช่นนี้ได้ และซูเหยียนที่เพียง และซูเหยียนที่อาศัยแค่การบ่มเพาะก็สามารถเทียบเท่ากับเซี๊ยหนิงชาน ก็ทราบได้ถึงคุณสมบัติอันโดดเด่นของซูเหยียนว่ามีมากแค่ไหนกันแล้ว
แม้กระทั่ง ชิงหยายังได้บอกต่อเขาว่า ซูเหยียนยังได้เตรียมที่จะทะลวงพลังขอบเขตเข้าสู่ขั้นที่ 2 แล้ว
หยางไคเองก็รู้สึกยินดีกับนางจากส่วนลึกในจิตใจ!
รวมไปจนถึงเหตุใดถึงได้สามารถถเข้าหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งได้ ย่อมนับได้ว่ามีความสำเร็จที่มาจากวาสนาอีกบางส่วนรวมอยู่ด้วย
หากเป็นไปตามที่ชิงหยากล่าวมา เมื่อในสมัยก่อนหลังจากที่พวกนางและเชียนเยว่ได้แยกจากกัน ยิ่งเมื่อได้ผ่านรูมิติว่างเปล่าไปสู่ดาวชุยเว่ย นางและซูเหยียน เชียนเฮ้าทั้งสามคนก็ได้ตกอยู่ภายใต้ช่วงเวลาที่แสนยากลำบากบนดาวชุยเว่ยมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะในช่วงเวลานั้นพวกนางยังมีการบ่มเพาะที่ต่ำตมอย่างถึงขีดสุด ที่อยู่เพียงขอบเขตก่อเกิดเซียนขั้นที่สองขั้นที่สามเท่านั้น มิหนำซ้ำยังได้รับหินลมปราณศักดิ์สิทธิ์และโอสถวิญญาณกันได้ไม่มากพอ แทบจะไม่อาจเติมเต็มความต้องการจากการบ่มเพาะกันได้เลย
จนกระทั่งได้พบพานกับหร่านหยุ่นถิ่ง
เมื่อในเวลาที่หร่านหยุ่นถิ่งไม่ทราบว่าเหตุใดถึงต้องเดินทางไปยังดาวชุยเว่ย แต่หลังจากที่ได้พบกับซูเหยียนที่เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้แสดงจุดยืนว่าจะพานางหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งเพื่อให้การอบรมเป็นอย่างดี
นี่ย่อมนับเป็นเรื่องที่ดี ทั้งสามคนมีหรือที่จะกล้าปฏิเสธได้
หลังจากที่ได้สอบถามทิศทางความเป็นไปของหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งอย่างละเอียด ซูเหยียนกับชิงหยาจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะเข้าร่วมกับหุบเขาหฤทัยเยือกแข็ง ในส่วนของเชียนเฮ้า เนื่องจากเพราะเป็นบุรุษจึงมิอาจเข้าร่วมได้
กระนั้นในด้านของเชียนเฮ้า หร่านหยุ่นถิ่งเองก็นับว่ามีความละเอียดถี่ถ้วน จึงได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในสำนักใกล้เคียงที่อยู่ภายใต้สังกัดของหุบเขาหฤทัยเยือกแข็ง บัดนี้ก็ได้อยู่ในขอบเขตราชันเซียนขั้นที่สองขั้นที่สามแล้ว
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของชิงหยา หยางไคก็ได้แสดงสีหน้าประหลาด
“ที่แท้พวกเจ้าก็ไปยังดาวชุยเว่ยจริงๆ” เขาได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น
เชียนเยว่เองก็อยู่ในดาวชุยเว่ยมานานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่สามารถสืบหาข่าวสารของซูเหยียนและพวกได้มาโดยตลอด ที่แท้ก็ไปถึงช้าไปนี้เอง
หากว่าผ่านไปอีกสักยี่สิบสามสิบปีแล้วละก็ เป็นไปได้ว่าอาจจะสามารถพบพพานกันได้ แต่เรื่องที่เชียนเยว่เดินทางไปยังดาวชุยเว่ยนั้น ซูเหยียนและพวกเองก็ได้ไปยังดาววารีสีชาดกันแล้ว
“อ๋อ ใช่แล้ว เชียนเยว่เองก็กังวลในตัวของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง”
“เจ้าพบกับเชียนเยว่แล้ว? นางยังสุขสบายดีหรือไม่?” ชิงเหยาถถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่แยกจากกันเมื่อครั้งนั้น นางก็ไม่ทราบถึงข่าวคราวของเชียนเยว่อีก หลายปีมานี้จึงเป็นกังวลมาโดยตลอด บัดนี้เมื่อได้ยินหยางไคกล่าวออกมาเช่นนี้ ชิงเหยาก็รู้สึกเบิกบานและมีความหวัง
“สบายดีหรือเปล่านั้น เจ้าก็ถามนางเองเถอะ” หยางไคอมยิ้มน้อยๆ
“ถามเอง?” ชิงเหยาขมวดคิ้วดกดำของนาง โดยที่ไม่อาจทราบความหมายของหยางไคได้
หยางไคกลับหลับตาลง ใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงเข้ากับไข่มุกดินแดนมิติลึกลับ เสาะหาจนพบร่องรอยของเชียนเยว่ เมื่อแน่ใจได้ว่านางไม่ได้อยู่เข้าสู่การเก็บตัว จึงได้บอกกล่าวต่อนาง ยื่นมือยกขึ้น เพื่อปล่อยนางออกมาจากภายในไข่มุกดินแดนมิติลึกลับ
“มีเรื่องอะไร?” หลังจากที่เชียนเยว่ปรากฏตัว ทอสีหน้างุนงงสงสัย
“เจ้าดูสิว่าคนผู้นี้เป็นผู้ใด?” หยางไคชี้ไปยังทางด้านหลังของนาง หัวเราะคิกคักแล้วถาม
เชียนเยว่หันหน้ากลับไป ดวงตากลมโตคู่งามพลันนิ่งค้าง จนเริ่มก่อตัวเป็นผลึกหยาดน้ำตาเอ่อคลอออกมา ร้องเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ: “เจ้าสำนัก!”
“เชียนเยว่……” ชิงหยาเองก็ตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบมิได้
ถึงแม้จะตระการตา แต่ก็ยังคงไม่อาจเทียบได้กับความคิดถึงของสหายเก่าอย่างพวกเขาได้ชั่วนิรันดร์ เมื่อในสมัยก่อนในทวีปถ่งซ๋วน ภายในสำนักน้ำแข็ง ความสัมพันธ์ของชิงหยากับผู้อาวุโสเชียนเยว่ถือได้ว่าดีเป็นยิ่ง ดุจดั่งเป็นเหมือนพี่น้อง จากการที่ต้องแยกจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน บัดนี้ได้พบเจอกันอีกครั้ง ถึงกับไม่อาจที่จะควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้
ทั้งสองถึงกับต้องทอแววตาแดงก่ำกันออกมา
ระหว่างนั้นก็ได้ถามไถ่กันอยู่สักพัก เมื่อแน่ใจได้ว่าหลายปีมานี้อีกฝ่ายอยู่อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะที่ก้าวหน้า ย่อมอดไม่ได้ที่จะยินดี
“หยางไคเจ้าถึงกับเสาะหาท่านเจ้าสำนักพบแล้ว!” เชียนเยว่ถึงกับหันไปมองหยางไคด้วยความตื้นตัน นับตั้งแต่หลังจากที่ได้พบกับหยางไคบนดาวอนันตกาล หลายปีมานี้เชียนเยว่ก็ได้ออกตามหาชิงเหยาและพวกจนเปรียบเสมือนเป็นดั่งเป้าหมายของตัวเอง นี่ราวกับได้โรคที่ติดตรึงอยู่ในใจของนาง
วันนี้หยางไคก็ได้เติมเต็มความหวังของได้แล้ว!
“ซูเหยียนล่ะ? พี่ชายข้าเล่า? พวกเขายังสบายดีหรือเปล่า?” เชียนเยว่เอ่ยถามด้วยความร้อนรน
“ซูเหยียนนับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว พี่ชายเจ้าเชียนเฮ้าบัดนี้เองก็ไม่เลว ได้ไปอยู่ในสำนักที่มีเรียกขานกันว่าสำนักเทพลวงตา เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป” ชิงหยากล่าวปลอบโยน
“เป็นเช่นนี้ก็ดี เป็นเช่นนี้ก็ดี” เชียนเยว่ก็ได้ทอสีหน้าใจชื้นขึ้นมา หยาดน้ำตาแห่งความสุขได้พรั่งพรูออกมาไม่หยุด แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันปีติยินดี
“มาเถอะ มาเล่าเรื่องที่พวกเจ้าประสบพบผ่านมาในช่วงหลายปีมานี้บ้างเถอะ เรื่องของพวกเราเมื่อครู่นี้ข้าก็ได้เล่าให้หยางไคฟังไปหมดแล้ว” ชิงเหยาที่กำลังดึงมือของเซียนเยว่ ก็นั่งลงที่ด้านข้าง เริ่มซักถาม
เชียนเยว่เองก็ได้ตอบนางไปอย่างไม่มีตกหล่น
จนได้ทราบว่านางเองก็เกือบที่จะต้องลดตัวไปเป็นหญิงสาวบนหอคณิการับแขกไปแล้ว บนใบหน้าของชิงเหยาพลันเย็นเยียบดุจเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งไว้อีกชั้น จนต้องทอสายตาตื้นตันมองไปที่หยางไค
อีกทั้งยังได้ทราบว่าบัดนี้หยางไคคล้ายกับได้รวมการบ่มเพาะแห่งดวงดาวดวงหนึ่งจนเป็นหนึ่งเดียว จนชิงหยาถึงกับตกตื่นจนยากจะฟื้นคืนกลับมาได้
แม้ว่าดวงดาวแห่งการบ่มเพาะดวงนั้นจะไม่ได้มีกำเนิดราชันคอยประจำการอยู่ การคิดที่จะรวมเป็นหนึ่งมาได้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาสามัญ นั่นไม่แต่เพียงจำเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถอันโดดเด่นอย่างล้นเหลือ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังวังชาที่เหนือมนุษย์อานามมากเป็นพิเศษ
วันเวลาได้ผ่านเลยไปอย่างช้าๆ สองสาวที่ไม่ได้พบพานมานานได้พบปะกันอีก ราวกับว่ามีวาจาที่สนทนากันได้ไม่หมดไม่สิ้น
หยางไคเองก็ไม่ได้ไปรบกวนพวกนาง เพียงแต่นั่งอยู่ตรงด้านข้างอย่างสงบเงียบ ตั้งอกตั้งใจเป็นเพียงผู้ฟัง
จนกระทั่งในช่วงเวลายามเย็น ชิงเหยาจึงค่อยมีสติกลับคืนมา พร้อมกับหันไปมองหยางไคด้วยสายตาขอโทษขอโพย : “คล้ายกับว่าพวกเราจะคุยกันมากเกินไปแล้ว”
“ผู้อาวุโสชิงหยาจริงจังเกินไปแล้ว ข้าเองก็พอจะเข้าใจได้”
หากเขาและซูเหยียนได้รวมตัวกันอีกครั้งแล้วละก็ จะกลัวว่าอาจเป็นเช่นนี้ได้
“บัดนี้เจ้าบ่มเพาะจนถึงขอบเขตที่เหนือล้ำไปไกลจากข้าแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้ว” ชิงหยามุ่ยปากยิ้มแย้ม : “อีกทั้งบัดนี้เจ้าก็ถือเป็นผู้นำของสำนักแห่งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรสถานภาพฐานะล้วนแต่เหนือกว่าข้า หากยังเรียกขานผู้อาวุโสอีก เกรงว่าข้าคงรู้สึกละอายยิ่งนักแล้ว”
“ผู้อาวุโสถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้อาวุโส” หยางไคส่ายหน้า เขาหาได้เคยรู้สึกดูแคลนผู้ที่อาวุโสกว่าแม้ว่าจะมีพลังความสามารถเพิ่มพูนขึ้นแล้ว
“หากว่าเจ้าไม่รังเกียจแล้วละก็ ก็แค่เรียกพี่สาวก็ได้แล้ว” ชิงเหยายิ้มน้อยๆ : “บัดนี้ข้าและซูเหยียนเองก็มีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่น้องสำนักเดียวกัน สถานที่แห่งนี้คือดวงดาว หาได้เป็นทวีปถ่งซ๋วนอีกต่อไปแล้ว จึงไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องไปพัวพันกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ พวกเราล้วนแต่สมควรมองไปที่อนาคตข้างหน้า”
หยางไคพยักหน้า แล้วเอ่ยปากกล่าว : “เช่นนั้นข้าก็จะเรียกตามซูเหยียน เรียกขานเจ้าว่าศิษย์พี่ก็แล้วกัน”
“นี่กลับดียิ่ง” ชิงหยาพยักหน้า เมื่อนึกถึงซูเหยียนขึ้นมาได้ นางก็ได้ยิ้มแย้มออกมา : “บัดนี้ซูเหยียนสมควรที่จะได้ทราบถึงข่าวของเจ้าแล้ว ถึงแม้ว่านางจะอาศัยอยู่เกาะชั้นในมานาน เก็บตัวบ่มเพาะอยู่นานปี ไม่ติดต่อกับคนจากผ่านนอก แต่ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางได้เขียนจดหมายทิ้งไวให้แก่นางฉบับหนึ่ง ในทุกเดือนนางมักจะออกมาเพื่อพบข้าครั้งหนึ่ง เมื่อได้พบกับจดหมายฉบับนั้น คาดว่าคงจะทราบว่าเจ้าได้มาถึงดาววารีสีชาดแล้ว”
“ข้าสามารถเข้าไปที่หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งได้ด้วยอย่างงั้นหรือ?” หยางไครอคอยที่จะถามไถ่
“เจ้าอยากไปอย่างงั้นหรือ? ชิงหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย :”หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งถึงแม้จะไม่ได้ให้ความสำคัญต่อข้ากับซูเหยียนมากนัก แต่ว่าในครั้งนี้ศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งโดยส่วนใหญ่เคลื่อนไหวก็เพื่อออกมาเสาะหาร่องรอยของเจ้าแล้ว ในส่วนสาเหตุกลในข้าเองก็ไม่อาจทราบชัดแจ้งนัก แต่หากว่าเจ้าเป็นฝ่ายไปปรากฏตัวกับหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งแล้วละก็ ผู้ใดก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เช่นนั้นซูเหยียนสามารถไปจากหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งได้อย่างงั้นหรือ?” หยางไคถามขึ้นอีกครั้ง
ชิงหยาส่ายหน้า: “ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็เกิดความคาดหวังต่อซูเหยียนไว้สูงเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสู่การเตรียมพร้อมที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นที่สองของซูเหยียนและสงครามระหว่างหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งพวกเรากับนิกายแสงอัคคีเองยิ่งมาก็ยิ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดจะยอมปล่อยให้ซูเหยียนจากไปในเวลานี้”
“เช่นนั้นข้าก็มีแต่ต้องไป!” หยางไคตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้า……” ชิงหยาอ้าปากค้าง ราวกับคิดที่จะโน้มน้าวอีกสักรอบ แต่เมื่อพบว่าเขาได้แสดงสีหน้ามุ่งมั่นถึงเพียงนั้น ก็ทราบแล้วว่าไม่ว่าตัวเองจะกล่าวอะไรออกมาก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจออกมา : “เจ้าให้เวลาข้าได้คิดดูก่อน”
หยางไคพยักหน้า หาได้ไปรบกวนน่าอีก
ไม่นานนัก ชิงเหยาจึงค่อยได้ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครา เงยหน้าขึ้นมองไปที่หยางไค : “เจ้าอยากเข้าสู่หุบเขาหฤทัยเยือกแข็ง ขอเพียงเปิดเผยตัวตนออกไป จนทำให้คนของหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับเจ้าเอง มิเช่นนั้นแล้วละก็
“หากว่าข้าเปิดเผยตัวตนออกมา พวกนางจะเป็นฝ่ายออกมาต้อนรับข้าด้วยตัวเองอย่างงั้นหรือ?” หยางไคหยักคิ้วแล้วถาม
“ข้าก็ไม่แน่ใจ เพราะข้ายังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งถึงกำลังตามหาเจ้า เพียงแต่ว่าความเคลื่อนไหวในครั้งนี้นับว่าเอิกเกริกมากจนเกินไป หากว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดกับเจ้าสำนักพวกนางยังต้องตาเจ้าอยู่มากพอแล้วละก็ ก็มีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่”
“เช่นนั้นก็เปิดเผยตัวกันเถอะ!” หยางไคหัวเราะ : “เรื่องนี้ก็คงต้องรบกวนศิษย์พี่ชิงหยาด้วยแล้ว”
“ไม่รบกวนหรอก ข้าก็เพียงแค่รายงานต่อเบื้องบนเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ย่อมต้องมีชนชั้นเบื้องสูงของสำนักนำทางเจ้าไปอยู่ดี!” ชิงหยาทอสีหน้าเคร่งขรึม : “เพียงแต่ว่า เจ้าคิดเอาไว้ดีแล้วงั้นหรือ? หากว่าเจ้าเข้าสู่หุบเขาหฤทัยเยือกแข็งจริง อาจจะพบเจอกับเรื่องที่ผู้คนก็ไม่สามารถคาดเดาได้แน่”
“ไม่มีปัญหา ข้าขอเพียงแค่ได้พบกับซูเหยียนสักครั้งเท่านั้น” หยางไคพยักหน้าอย่างเฉยชา
“ได้ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจได้เช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไปติดต่อพวกนางแล้ว” ชิงหยาพยักหน้า พร้อมกับหยิบเข็มทิศสื่อสารออกมาจากภายในแหวนมิติของตัวเอง ถ่ายเทจิตสัมผัสเข้าไป
หลังจากนั้น จิตสัมผัสที่ผันแปรที่สื่อมาจากภายในเข็มทิศสื่อสารก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ผ่านไปได้อีกสักพัก ชิงหยาก็ได้เก็บเข็มทิศสื่อสารแล้ว เงยหน้าเหม่อมองไปที่หยางไคแล้วกล่าว: “ผู้อาวุโสสิบสามอยู่ในละแวกนี้ นางจะเป็นคนพาจำมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหฤทัยเยือกแข็งด้วยตัวเอง!”
.
.
.