277 - โม่จื่อเย่
277 - โม่จื่อเย่
เอี้ยนลี่เฉียงเห็นศิษย์หญิงจากนิกายปราชญ์ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นและเริ่มหอบอย่างหนักโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง
เนื่องจากวิกฤตการณ์ความเป็นความตายเมื่อสักครู่ทำให้เขาลืมเรื่องอาการบาดเจ็บของตัวเองไป แต่ขณะที่เขาผ่อนคลายความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่ร่างกายของเขารวมทั้งความเหนื่อยล้าอีกด้วย
'หมดไฟ' เป็นวลีที่สามารถใช้อธิบายสถานการณ์ของเอี้ยนลี่เฉียงได้ดีที่สุด ทุกตารางนิ้วของร่างกายของเขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนว่าเนื้อหนังของเขาถูกฉีกออกจากกัน
ครั้งแรกเอี้ยนลี่เฉียงซุ่มโจมตีและสังหารอลิกุจินที่ตลาดตระกูลฮุ่ยจากนั้นเขาก็วิ่งออกไปหลายสิบลี้มาที่เขาลูกนี้ หลังจากที่กำจัดชายชราชาตูเขาก็ยังวิ่งมาเป็นระยะทางหลายสิบลี้อีกครั้ง
รวมทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจากการต่อสู้กับนักรบขั้นสูงสุด
เอี้ยนลี่เฉียงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาวิ่งมากี่ลี้แล้วในคืนนี้ เขาฆ่าคนไปกี่คน หรือว่าเขาปะทะกับโจรวายุทมิฬไปกี่ครั้ง
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะออกมาหนักๆ เขาคิดว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้คงไม่แพ้ จอห์น แรมโบ้ เลย
สายลมยามเช้าพัดมาจากหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป ทำให้หญ้าในที่ราบพลิ้วไหวราวกับคลื่นทะเล เอี้ยนลี่เฉียงตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงสายลม
ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าเสื้อผ้าของเขาเกือบจะเปียกอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหงื่อของเขาหรือน้ำค้างจากพุ่มไม้
เขาต้องหาของกิน เพื่อให้ฟื้นคืนพลังกลับมา ตราบใดที่เขาสามารถเติมเต็มความแข็งแกร่งและแคลอรีของเขาได้อย่างรวดเร็วเขาจะมีแรงฝ่าฟันอันตรายอีกครั้ง
เอี้ยนลี่เฉียงเข้าใจอย่างแท้จริงว่าชีวิตมีค่าเพียงใดหลังจากประสบความตายมาสองครั้งแล้ว ขณะคิดเอี้ยนลี่เฉียงกัดฟันและลุกขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวเท้าได้อย่างมั่นคง ขาของเขาก็ค่อยๆเลื่อนไถลไปด้านข้างง พื้นดินที่เขายืนอยู่มีลักษณะนุ่มนิ่มคล้ายกับมาชเมลโล่
โชคดีที่มีมือหนึ่งคว้าตัวเขาทันเวลา
ร่างของสาวกหญิงจากนิกายปราชญ์ปรากฏขึ้นข้างๆเอี้ยนลี่เฉียงและช่วยประคองเขาไม่ให้ล้มลงกับพื้น
“อย่าขยับ...”
หญิงสาวเหลือบมองบาดแผลของเอี้ยนลี่เฉียง จากนั้นนางก็เก็บดาบยาวของตัวเองเข้าไปในปากพร้อมกับล้วงยารักษาบาดแผลออกมา
นางหยิบขวดยาพร้อมกับฉีกแขนเสื้อของตัวเองมาพันแผลให้กับเขา
เอี้ยนลี่เฉียงอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช นอกจากบาดแผลเล็กน้อยจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด เสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งจากการวิ่งทะลุป่ามาอย่างรวดเร็ว
โดยรวมแล้วเขามีบาดแผลขนาดต่างๆ ประมาณยี่สิบแผลทั่วร่างกาย
นี่เป็นครั้งแรกของเอี้ยนลี่เฉียงที่ได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงนับตั้งแต่เขาเข้ามาในโลกนี้ เขาสามารถได้กลิ่นหอมจางๆจากหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าทำแผลให้เขา
เขารู้สึกเหมือนกับถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อต ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปหมด เขาแอบตรวจดูใบหน้าของหญิงสาว คิ้ว ตา และจมูกของนางเข้ากันอย่างลงตัว
นางเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจมาก เพียงแต่ว่านางมีความเย็นชาปฏิเสธผู้คนห่างไกล รวมทั้งยังมีความเศร้าโศกและความดื้อรั้นอีกด้วย
เมื่อรู้สึกถึงความเงียบในบรรยากาศเอี้ยนลี่เฉียงจึงคิดหาเรื่องขึ้นมาสนทนา
“ในเมื่อเราสองคนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันชั่วคราวอย่างน้อยก็ควรแนะนำตัวกันหน่อย ข้าชื่อเอี้ยนลี่เฉียง! เจ้าชื่ออะไร”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้น นางยังคงทำแผลให้เอี้ยนลี่เฉียงอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นสักครู่นางจึงพูดชื่อของตัวเองออกมา
“โมจื่อเย่…”
“เจ้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“เจ้าทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ตลอดเส้นทาง…” เสียงของโมจื่อเย่ยังคงค่อนข้างเบื่อหน่าย
เอี้ยนลี่เฉียงคิดเกี่ยวกับมันและเริ่มหัวเราะ แท้จริงมีร่องรอยเหลืออยู่มากมาย โจรวายุทมิฬไล่ตามเขามาด้วยม้าตัวใหญ่ ดังนั้นมาพวกนั้นจึงพุ่งชนต้นไม้เล็กๆหักไปมากมาย
อันที่จริง มันไม่ยากเกินไปสำหรับนักแกะรอยที่จะหาทางมาที่นี่ เอี้ยนลี่เฉียงไม่คาดคิดเลยว่าโมจื่อเย่จะฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้หากเป็นโจรวายุทมิฬอีกคนมาถึงเขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีหน้าเย็นชา แต่จริงๆแล้วนางก็เป็นคนที่จิตใจดีมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ถ้านางไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขานางคงไม่ตามมาที่นี่
การเคลื่อนไหวของโมจื่อเย่นั้นรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพียงชั่วพริบตานางก็จัดการบาดแผลทั้งหมดของเอี้ยนลี่เฉียงได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากทำแผลให้เอี้ยนลี่เฉียง โมจื่อเย่ก็สังเกตว่าแขนขวาของเอี้ยนลี่เฉียงบวมอย่างผิดปกติ
“แขนเจ้าเป็นอะไร” นางใช้มือบีบที่แขนของเขาเบาๆ
“ลมปราณของนักรบชาตูคนนั้นค่อนข้างผิดปกติ มันส่งผลกระทบต่อร่างกายข้าบางส่วน…”
หลังจากฟังคำอธิบายของเอี้ยนลี่เฉียงแล้ว โมจื่อเย่ก็ตรวจสอบแขนที่บวมของเอี้ยนลี่เฉียงอีกครั้ง จากนั้นนางก็หยิบขวดยาอีกขวดจากกระเป๋าของของตัวเอง
“นี่คือยาเม็ดกระจายลมปราณทั้งห้าจากนิกายปราชญ์เพียงแค่ใช้สองเม็ดและเจ้าจะไม่เป็นไร…”
เอี้ยนลี่เฉียงรับขวดยาและค่อยๆเทเม็ดยาสีส้มแดงสองเม็ดอย่างระมัดระวัง เขากลืนเม็ดยาทั้งสองทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นปิดขวดแล้วส่งกลับไปให้โมจื่อเย่
โมจื่อเย่ไม่ยอมรับมัน นางส่ายศีรษะแล้วมอบขวดยาพวกนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขา
“เก็บไว้เถอะ ถ้าพรุ่งนี้แขนของเจ้ายังไม่ดีขึ้น เจ้าก็กินอีกสองเม็ด!”
"ขอบคุณ!" เอี้ยนลี่เฉียงเก็บขวดยาไว้
"ไม่เป็นไร ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า!"
โม่จื่อเย่มองตรงเข้าไปในดวงตาของเอี้ยนลี่เฉียง แววตาของนางสั่นเล็กน้อยและเสียงของนางก็เต็มไปด้วยอารมณ์
“ขอบคุณที่แบกร่างของศิษย์พี่ออกมาด้วยแม้จะเป็นช่วงเวลาเช่นนั้นก็ตาม…”
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะออกไปแย่งศพของศิษย์พี่คนนั้นคืนมาหลังจากที่เจ้าฟื้น!” เอี้ยนลี่เฉียงถอนหายใจและเสริมว่า
“เราไม่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ นอกจากนี้ ชายชราชาตูที่ฆ่าศิษย์พี่ของเจ้าก็ตายไปแล้ว เจ้าก็ปล่อยวางความแค้นซะเถอะ”
ทันทีที่โมจื่อเย่ได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงสีหน้าเศร้าใจของนางก็กลับมาอีกครั้ง น้ำตาของนางไหลออกมา
เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปที่ศพไร้ศีรษะของโจรวายุทมิฬ เขาคลำไปทั่วร่างกายของโจรคนนั้นเพื่อหาอะไรบางอย่าง
"เจ้ากำลังหาอะไรอยู่?" โมจื่อเย่อดไม่ได้ที่จะถาม
“ของกิน ข้ามีค่ำคืนที่ค่อนข้างยากลำบากดังนั้นหากไม่กินอะไรข้าจะไม่มีแรง!”
"ข้ามีอาหารมาด้วย..."
"ไม่ เจ้าก็จำเป็นต้องกินเช่นกัน โจรพวกนี้แม้ว่าพวกมันจะโหดร้ายแต่เชื่อว่าอาหารของพวกมันก็สามารถกินได้เช่นกัน'
ขณะพูด เอี้ยนลี่เฉียงก็ค้นพบเนื้อแห้งชิ้นใหญ่ในถุงหนังของโจรวายุทมิฬ
เมื่อเหล่าโจรวายุทมิฬออกปล้น อาวุธและเสบียงล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่พวกเขาพกติดตัวไปด้วยทุกครั้ง
ดังนั้น หากพวกเขาหิว พวกเขาก็สามารถล้วงอาหารออกมากินได้ตลอดเวลาทำให้การเดินทางของพวกเขาไม่ล่าช้าไป
ในชีวิตก่อนของเอี้ยนลี่เฉียง เขาจะไม่กินสิ่งที่พบในศพ อย่างไรก็ตามหลังจากประสบการณ์มากมายในชีวิตนี้จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
เอี้ยนลี่เฉียงกลืนอาหารลงไปทั้งหมด เขากินเนื้อแห้งพวกนั้นเข้าไปครึ่งหนึ่งในครั้งเดียว
ด้วยอาหารที่มีแคลอรีสูงเช่นนี้ ร่างกายที่อ่อนล้าของเอี้ยนลี่เฉียงจึงค่อยๆฟื้นคืนมา
โมจื่อเย่อดทนมาก นางแค่นั่งข้างๆเอี้ยนลี่เฉียงและมองดูเขากินอาหารอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เร่งเร้าให้เขาหลบหนี
หลังจากที่กินเนื้อไปครึ่งหนึ่งเอี้ยนลี่เฉียงก็ตะโกนออกมาว่า
“โกลดี้ มากินนี่เร็ว…”
โกลดี้นอนอยู่บนพื้น ใบหน้าที่ดุร้ายก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสมเพช โกลดี้แค่คร่ำครวญและไม่สามารถเดินเข้ามาได้
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกแปลกๆจึงเดินไปหาสุนัขของเขาและตรวจสอบร่างกายของมัน เขาตระหนักว่าขาหลังของโกลดี้ถูกหักข้างหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นเตะโกลดี้จนขาหัก โกลดี้เป็นสุนัขที่ฉลาดจริงๆ มันย่อตัวลงบนพื้นเพื่อและพยายามข่มขู่ศัตรูเพื่อเปิดโอกาสให้เอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงอุ้มสุนัขของเขาขึ้นมาพร้อมกับป้อนอาหารที่เหลือให้กับมัน เขาเหลือบมองที่โม่จื่อเย่แล้วกล่าวว่า
“พี่สาวโม่… เจ้ายังมียาอีกหรือไม่?”
โมจื่อเย่น่าจะแก่กว่าเอี้ยนลี่เฉียงห้าหรือหกปี ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจเรียกนางว่าพี่สาวโม่
“นี่คือสุนัขของเจ้าเหรอ?”
โมจื่อเย่เดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าวและมองไปที่โกลดี้ซึ่งมีท่าทางน่าสังเวชอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง มันเป็นสุนัขที่ฉลาดมากและได้รับบาดเจ็บเพื่อช่วยข้า ยาของเจ้าใช้ได้ผลกับสุนัขหรือไม่”
“รับไป เจ้าทายานี้ที่ขาของมันแล้วค่อยใช้ผ้าพันอีกชั้นยาจะค่อยๆซึมเข้าไปเอง!” โมจื่อเย่หยิบขวดยาออกมาแล้วยื่นให้เอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงปฏิบัติตามคำพูดของนางจากนั้นเขาก็ฉีดเอาเสื้อผ้าของศพเพื่อมาทำเปลให้กับโกลดี้...
ท้องฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น ระหว่างการเดินทาง พวกเขาไม่พบโจรวายุทมิฬอีก
“พี่สาวโม่ ระหว่างทางมาที่นี่เจ้าเจอโจรวายุทมิฬหรือเปล่า”
“ประมาณสิบคน แต่ข้าฆ่าพวกมันไปหมดแล้ว…”