ตอนที่ 487 มีแต่จะต้องวิ่ง
ตอนที่ 487 มีแต่จะต้องวิ่ง
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
เฉินเหลียงชูตกตะลึง ‘รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร? นี่มันอันกัน? เกิดอะไรขึ้น?’
สีวู่หยาตัวสั่นเมื่อมองไปที่ลู่โจว ตัวเขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากคนอื่นจะจำลู่โจวไม่ได้ แต่สำหรับตัวเองที่เป็นศิษย์ การที่สีวู่หยาจะจำผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังไงซะความจริงก็คือความจริง สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ “ทะ...ท่านอาจารย์?” เมื่อมองย้อนกลับไปทุกอย่างก็ดูชัดเจน ทำไมจู่ๆ ถึงได้มียอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบปรากฏตัวขึ้นมา? ใครบ้างที่จะสามารถใช้พลังผนึกมนตราของสำนักเซียนสวรรค์ได้? สีวู่หยาน่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับผู้เป็นอาจารย์ อันที่จริงสีวู่หยาก็เคยคิดว่า ‘ผู้อาวุโสลู่’ เป็นอาจารย์ของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เพราะรูปร่างหน้าตาที่ชายชราคนนี้มีทำให้สีวู่หยาไม่ทันได้สังเกต
หวางซื่อเจียที่ตกใจรีบโค้งคำนับให้ในทันที “พี่จี นั่นท่านนี้เอง!”
“ท่านเปลี่ยนไป” ธิดาหอยสังข์พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ปฏิกิริยาที่ฮั๊วจงหยางมีมันคล้ายกับที่เฉินเหลียงชูมี ฮั๊วจงหยางเดินโซเซถอยหลังก่อนที่จะล้มลงบนพื้น ตัวเขาได้แต่โทษตัวเองที่ก่อเรื่องทุกอย่าง ฮั๊วจงหยางเป็นผู้ที่พบกับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขานั่นเองเป็นผู้ที่พาปรมาจารย์มาที่สำนักอเวจีแห่งนี้
เกิดอะไรขึ้น? ทุกคนต่างตกตะลึง ทุกคนรู้สึกราวกับกำลังฝันไป
เคราของลู่โจวในตอนนี้ยาวขึ้น ตัวเขาไม่ได้สนใจอะไรสายตาที่ตื่นตกใจของทุกคน ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “มันก็แค่วิชาลับของข้าก็เท่านั้น”
ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นั่น คนที่ตกใจมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น เขาคนนั้นก็คือยู่เฉิงไห่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาของยู่เฉิงไห่จับจ้องไปที่ลู่โจวอย่างเบิกกว้าง ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกตบหน้ากว่าหลายครั้ง เปลือกตาของยู่เฉิงไห่กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ตัวเขาได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ “ท่านอาจารย์ นั่นท่านอย่างงั้นเหรอ!?” น้ำเสียงของยู่เฉิงไห่ไร้ซึ่งความมั่นใจ ก่อนที่ลู่โจวจะตอบอะไรกลับมา ยู่เฉิงไห่เลือกที่จะหันหลังโดยที่ไม่พูดอะไร ‘ข้าจะต้องหนี’
พรึ๊บ!
ยู่เฉิงไห่รีบวิ่งเข้าไปในป่า การวิ่งโดยที่ไม่มีพลังลมปราณเป็นอะไรที่ทำให้ร่างกายยู่เฉิงไห่เหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม นอกจากร่างกายจะเหนื่อยล้าแล้วยู่เฉิงไห่ยังเหนื่อยใจยิ่งกว่า! ‘ตาแก่นั่นรู้วิธีที่จะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเอง! ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงกัน?’ ยู่เฉิงไห่ได้หายตัวไปท่ามกลางหมู่ไม้ในป่า
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นตกตะลึง
ฮั๊วจงหยางและเหล่าสาวกของสำนักอเวจีทั้งหมดที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง ผู้ที่เคยเป็นเจ้าสำนักผู้สง่างามและน่าประทับใจบัดนี้ได้หายไปไหนกัน?
ทุกอย่างเกิดเร็วจนเกินไป ทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครตามเหตุการณ์ได้ทัน
ลู่โจวไม่ได้ไล่ตามยู่เฉิงไห่ ตัวเขาเรียกธิดาหอยสังข์แทน “สาวน้อย เปล่าขลุ่ยซะ”
“อืม” ธิดาหอยสังข์ดูเหมือนจะรู้สึกเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบหยิบขลุ่ยที่ได้มาทาบกับริมฝีปากในทันที ท่วงทำนองอันไพเราะและดูคุ้นเคยได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นธรรมดาที่เสียงจะเดินทางได้ไวกว่าการวิ่งของมนุษย์
ถ้าหากไร้ซึ่งพลังลมปราณ ยู่เฉิงไห่ก็ไม่มีทางเลยที่จะวิ่งได้เร็วกว่าเสียง ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วร่างกายที่ไร้ซึ่งพลังก็ไม่อาจจะเอาชนะพลังธรรมชาติได้
ยู่เฉิงไห่หยุดวิ่งในทันที แม้ว่าจะไม่มีพลังลมปราณหรือพลังที่เคยฝึกฝนมา แต่ยู่เฉิงไห่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวสัตว์อสูรเหล่านี้ ตัวเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นต่อหน้าเหล่าสัตว์ร้าย “ไสหัวไปซะ!”
สัตว์ร้ายที่อ่อนแอบางตัวไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เขา ตรงกันข้าม สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่ายังคงคืบคลานเข้าใส่
ยังไงซะสัตว์ร้ายก็คือสัตว์ร้าย ในสายตาของพวกมัน มนุษย์ก็เป็นเพียงอาหารจานโปรดก็เท่านั้น
สัตว์ร้ายเริ่มกระโจนใส่ยู่เฉิงไห่!
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ยู่เฉิงไห่เหวี่ยงหมัดต่อสู้อย่างดุเดือดกับเหล่าสัตว์ร้าย
...
ลู่โจวและคนอื่นๆ ต่างก็ได้ยินเสียงการต่อสู้จากป่า แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ลู่โจวมองไปที่ทุกคนก่อนจะพูดขึ้น “สมควรแล้ว”
เฉินเหลียงชูน้ำตาซึม ตัวเขาทรุดตัวลงกับพื้นก่อนจะพูดขึ้น “ผู้อาวุโสจี...ทำไม...ทำไมท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย...”
นี่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเฉินเหลียงชูเลย ตัวเขาอยากจะร้องไห้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่มีน้ำตาออกมา เฉินเหลียงชูรู้สึกเจ็บปวดมากที่ผู้อาวุโสจีสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ถ้าหากผู้อาวุโสจีสามารถทำแบบนั้นได้จริง แล้วตัวเขาจะไปเสียเวลาจดจำรูปร่างหน้าตาของสาวกศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างยาวนานไปเพื่ออะไร? สิ่งที่เฉินเหลียงชูได้ทำมามันช่างไร้ความหมาย
“เจ้าเห็นใจเขาอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวมองไปที่เฉินเหลียงชู เฉินเหลียงชูจะไปรู้สึกเห็นใจยู่เฉิงไห่ได้ยังไงกัน? ตัวเขาในตอนนี้เสียใจกับเวลาที่เสียไปมากกว่า
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
เฉินเหลียงชูเริ่มตบตีตัวเอง
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างถอนหายใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้กับทุกคนไม่ให้ตัดสินใครจากรูปลักษณ์ในอนาคตอีก
เสียงของขลุ่ยยังคงดังต่อไปไม่หยุดพัก
ในตอนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง
สีวู่หยาก็เหลือบมองไปยังป่าทึบที่เคยมืดมิด ตัวเขาที่มองเข้าไปได้แต่ส่ายหัว “ท่านอาจารย์ ข้ากังวลว่าถ้าหากพวกเราไม่ช่วยศิษย์พี่ใหญ่ เขาจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่”
“ไม่” ลู่โจวส่ายหัว “เจ้าประเมินเขาต่ำไป”
‘ยู่เฉิงไห่แข็งแกร่งยิ่งกว่ากระทิงป่าซะอีก ไม่มีทางที่คนแบบนั้นจะเป็นอันตรายไปหรอก’
ถ้าหากยู่เฉิงไห่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากเหล่าสัตว์ร้ายได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
สีวู่หยากลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “แต่ท่านอาจารย์ ท่านน่าจะมีธุระกับศิษย์พี่ใหญ่ แล้วทำไม?”
ลู่โจวรู้สึกเสียเวลาเปล่าที่จะตอบคำถามนี้ คำตอบมันชัดเจนทุกอย่าง ถ้าหากตัวเขาไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองมาตั้งแต่แรก ยู่เฉิงไห่ก็คงจะหนีไปตั้งแต่ที่ตัวเขามาถึง ถ้าหากลู่โจวได้พบกับยู่เฉิงไห่จริง ตัวเขาจะไปจับยู่เฉิงไห่ที่คิดหนีเช่นนี้ได้ยังไง?
สีวู่หยารู้ตัวแล้วว่าคำถามของเขามันเป็นคำถามที่ไม่สำคัญ เพราะแบบนั้นสีวู่หยาจึงไม่คิดถามต่อ
ลู่โจวยกมือขึ้นมา “สาวน้อย”
“ค่ะ” ธิดาหอยสังข์หยุดเปล่าขลุ่ย
ลู่โจวมองไปที่สาวน้อยอย่างชื่นชม น่าเสียดายที่สาวน้อยคนนี้ไม่สามารถควบคุมความสามารถที่ตัวเองมีได้ แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังเด็ก ถ้าหากเลี้ยงดูนางให้ดี นางจะต้องใช้ความสามารถนี้จนเชี่ยวชาญได้แน่
‘ถ้าหากสาวน้อยคนนี้เป็นคนที่ทั้งสถานศึกษาไท่ชูและสำนักเฮ้งชูต่างต้องการตัวนางเป็นสาวก แล้วฉันควรจะรับนางให้เป็นศิษย์อีกคนด้วยไหม?’ ก่อนหน้านี้ลู่โจวไม่เคยคิดที่จะรับสาวกคนใหม่อีก แต่เมื่อตัวเขาคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ใหม่ ดูเหมือนความคิดในการรับศิษย์คนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลย
ในตอนนั้นเองหวางซื่อเจียก็ได้คารวะก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะมีพรสวรรค์มากถึงเพียงนี้ ถ้าหากนางได้รับการฝึกฝนให้ดี แม่นางคนนี้จะต้องเป็นยอดฝีมือในอนาคตได้แน่”
หวางซื่อเจียคิดถึงสาวกทั้งเก้าคนของศาลาปีศาจลอยฟ้า สาวกทุกคนล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่อุกอาจอยู่กับตัว ตอนนี้อัจฉริยะคนใหม่กำลังจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยอีกคน หวางซื่อเจียที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่โทษในความไม่ยุติธรรมนี้ ตัวเขาได้แต่สงสัยว่าเมื่อใดกันสำนักเผิงไหลจะมีสาวกที่มีพรสวรรค์และมากฝีมือเฉกเช่นเดียวกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ไม่ว่าจะอิจฉาแค่ไหนตัวเขาก็ได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจ
ลู่โจวมองไปที่ธิดาหอยสังข์อย่างพึงพอใจ ไม่ว่าจะยังไงเรื่องนั้นก็ยังไม่สำคัญ ในตอนนี้เรื่องที่สำคัญอยู่ตรงหน้าของเขา
ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!
เสียงการต่อสู้ที่เคยดังก้องได้เงียบลงอย่างกะทันหัน
ลู่โจวมองไปที่สีวู่หยา มันเป็นพลังฝ่ามือที่ช่วยคลายผนึกที่สีวู่หยาถูกผนึกพลังวรยุทธเอาไว้
ในชั่วพริบตาสีวู่หยาก็รู้สึกได้ว่าพลังผนึกที่เคยอยู่บนตัวได้จางหายไป สีวู่หยาที่รู้สึกแบบนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ขอบคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณจริงๆ” สีวู่หยาลุกขึ้นก่อนจะเตรียมตัวช่วยยู่เฉิงไห่ในทันที
“ช้าก่อน”
“ท่านอาจารย์?”
“เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดได้ไหม?”
“ข้าจำได้”
“ถ้าอย่างงั้นเจ้าก็อย่าได้เสียใจภายหลังซะล่ะ”
“ข้าจะไม่เสียใจ” สีวู่หยาโค้งคำนับให้กับลู่โจว
ลู่โจวโบกแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ
สีวู่หยาเข้าใจดีว่าสิ่งที่ได้เห็นหมายถึงอะไร ตัวเขารีบหันหลังกลับก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าไปในป่า
อันที่จริงลู่โจวรู้อยู่แล้วว่าสีวู่หยาจะเลือกฝั่งไหน ในท้ายที่สุดแล้วผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาก็ต้องปล่อยให้ศิษย์ทุกคนเป็นอิสระสู่โลกภายนอก ทุกคนจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีเด็กคนไหนที่จะไม่มีวันโต แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากตัวเขาเลือกจะปล่อยศิษย์ไม่รักดีไป? ไม่ว่าพวกเขาจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จก็ตาม แต่นั่นก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ศิษย์ทั้งหลายจะได้เจอ
ไม่นานนักสีวู่หยาก็กลับมาพร้อมกับยู่เฉิงไห่ที่อยู่บนหลัง
ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำไปทั่วตัว ยู่เฉิงไห่นอนหมดสติอยู่บนหลังของสีวู่หยา
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย