WS บทที่ 165 ดื่มด่ำกับวันวาน
“ตอนนี้เหรอ?” พ่อมดสังเกตเห็ว่าเมอร์ลินกำลังหยิบพวกเครื่องแก้วออกมาจากแหวนของเขา ราวกับเขาเมอร์ลินจะปรุงยา
“ใช่ ผมจะทำมันตอนนี้ ผมได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการปรุงยาในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในดินแดนมนต์ดำ ดังนั้นมันอาจจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้”
เมอร์ลินไม่มีทางเผย ‘ความลับ’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือการมีอยู่ของเดอะเมทริกซ์ ดังนั้นเขาจึงต้องอ้างว่าได้ทำการศึกษาเรื่องปรุงยาเพื่อเลี่ยงความสงสัยจากพ่อมดฮิลล์
เขาได้เขาการใช้งานเดอะเมทริกซ์อย่างลับ ๆ และเรื่อมเตรียมน้ำยาผงม่วงตามขั้นตอนที่เดอะเมทริกซ์เตรียมไว้ให้
เมอร์ลินจัดการส่วนผสมด้วยความระมัดระวังและทำทีละขั้นตอน ส่วนพ่อมดฮิลล์ได้มองอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร ดวงตาของชายชราที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยซาบซึ้ง
การปรุงยาเป็นเรื่องที่สำคัญมากของนักเวทย์ หากใครได้รับสูตรยามา มันก็จะง่ายขึ้นในการเตรียมยาในอนาคตและหากได้ดูขั้นตอนการปรุงยาการเตรียมยาก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก
เมอร์ลินที่ได้ทำการปรุงยาต่อหน้าพ่อมดฮิลล์ซึ่งจริง ๆ เขาต้องการสอนวิธีการปรุงยาให้ชายชรา
ชายชรามองเจตนาของเมอร์ลินออกดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญทุกขั้นตอนที่เมอร์ลินปรุงยา
สำหรับความยากของน้ำยาผงม่งวง มันใกล้เคียงกับน้ำยาห้ามเลือดที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาปรุงยา ดังนั้นเขาจึงมีความชำนาญมากขึ้นในการทำน้ำยาผงม่วง
อย่างไรก็ตาม พอผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง น้ำยาผงม่วงชุดแรกได้ล้มเหลวเนื่องจากอุณหภูมิผิดพลาด ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มกระวนการใหม่ทั้งหมด
ผ่านไปสองชั่วโมง น้ำยาผงม่วงชุดที่สองก็ประสบความสำเร็จ เขาได้มอบมันให้พ่อมดฮิลล์ทันที
จากนั้นเขาก็ทำน้ำยาขวดที่สาม สี่ ห้า...
เมอร์ลินปรุงต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อย เขาปรุงยาจนท้องฟ้าเริ่มมืด เมอร์ลินจึงหยุดปรุงยาในขณะที่เขาได้ใช้ผงหินม่วงไปจนเกือบหมดแล้ว
ในช่วงหลังๆ ที่เขาปรุงยามีอัตราความสำเร็จที่สูงมาก จนทำให้เขาปรุงยาผงม่วงทั้งแปดขวดสำเร็จ
เขาได้มอบมันทั้งหมดให้พ่อมดฮิลล์
“พ่อมดฮิลล์ ผมของตัวกลับก่อน ตอนนี้มันดึกมากแล้ว”
เมอร์ลินลุกขึ้นและกล่าวอำลาชายชรา จากนั้นเขาได้หันหลังและเดินออกจากบ้านไป
เมื่อเขาขึ้นรถม้าไปแล้ว เมอร์ลินได้ดึงม่านออกและเหลือบมองไปที่บ้านพักของชายชราเป็นครั้งสุดท้าย เขาตั้งใจถ่ายทอดวิธีการปรุงยาได้อย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เขาปรุงยาพลาดและเสียส่วนผสมที่มีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์
นี่เป็นวิธีการตอบแทนพ่อมดฮิลล์ที่เขาช่วยเหลือตระกูลวิลสันมาโดยตลอด
หลังจากเขาก็หันไปสั่งคนขับรถม้าอย่างใจเย็น “มุ่งหน้ากลับไปที่ปราสาทวิลสัน”
จากนั้นรถม้าได้เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
...
เมื่อมาถึงปราสาทวิลสัน เขาได้ลงจากรถม้าและเข้าไปในปราสาท
ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นอัศวินมากมายในบริเวณนั้นและยังมองร่างอันคุ้นเตยซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
“ลุงแพรตต์!!”
ผู้บัญชาการแพรตต์ได้หันกลับมาอย่างกะทันหันและเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา เมื่อพบว่าคนที่เรียกเขาคือเมอร์ลิน
เขาเดินไปหาเขากล่าวออกมาอย่างดีใต
“ท่านบารอน ข้าได้รับจดหมายจากภรรยาของข้าแจ้งได้ข้าทราบถึงการกลับของท่านก่อนหน้านี้ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านกลับมาแล้ว”
เมอร์ลินสัมผัสได้ถึงความสุขที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจของแพรตต์
หลังจากที่เมอร์ลินได้สังเกตแพรตต์อย่างระมัดระวัง เขาพบว่าพลังกายของเขาสูงขึ้นอย่างผิดปกติ บางทีความแข็งแกร่งของเขาเทียบเท่ากับนักดาบธาตุระดับสามแล้ว
ก่อนหน้านี้แพรตต์เป็นเพียงนักดาบธาตุระดับหนึ่ง สาเหตุที่เขาก้าวหน้าขึ้นแบบนี้ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากเลห์แมนได้สอนกระบวนท่าลึกลับให้กับเขา
“ท่านบารอน รีบเข้าไปข้างในก่อน นายท่านกำลังรอท่านอยู่” แพรตต์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เมอร์ลินพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
แสงเทียนสีเหลืองอันเรืองรองได้ประดับประดาในห้องโถง ที่นั่นมีแอวริล เชอรีสและชายรางกำยำนั่งอยู่
“ท่านพ่อ ผมกลับมาแล้ว” เมอร์ลินเรียกเลห์แมน
เลห์แมนรีบหันหน้าทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกอะไรแต่เมอร์ลินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใยผ่าแววตาของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เลห์แมนได้กล่าวว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
จากนั้นเลห์แมนกับเมอริ์ลนก็เริ่มพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ในดินแดน แม้จะผ่านไปเพียงปีเดียวแต่เมืองคอนซิออนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากภายหลังจากการเข้ามาบริหารของเลห์แมน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่สถานการณ์ระหว่างเมืองปรากาซกับเมืองเลบิสได้ตึงเครียด ทำให้เมืองคอนซิออนกลับมาซบเซาอีกครั้ง
“จริงสิ เมอร์ลิน ก่อนหน้านี้ที่เคานต์เซลินได้เรียกลุกไปที่ปราสาท เขาเรียกลูกไปเรื่องอะไรแล้วลูกได้พบกับพ่อมดแบร์สรึยัง” ท่าทีของเลห์แมนแข็งกร้างเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงแบร์ส
เมอร์ลินยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “ผมได้ฆ่าแบร์สไปแล้ว เขาไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับปราสาทวิลสันอีกต่อไป ส่วนเหตุผลที่เคานต์เซลินเรียกผมไปนั้นเกี่ยวกับเรื่องเมืองเลบิส เคานต์เซลินจะปกป้องเมืองปรากาซเอาไว้ ผมเกรงว่าอาจจะมีสงครามใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต”
“แบร์สตายแล้วเหรอ ดีมาก เขาสมควรได้รับมัน” มุมปากของเลห์แมนได้กระตุกเมื่อรู้ว่าแบร์สตายแล้ว
จากนั้นเขาได้พูดต่อว่า “เมอร์ลิน เราจะปล่อยให้เมืองปรากาซล่มสลายไม่ได้ หากเกิดสงครามขึ้น ลูกช่วยปกป้องเมืองปรากาซด้วย พวกเราได้หนีจากภัยสงครามมาแล้วครั้งหนึ่ง พ่อหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องหนีอีกเป็นครั้งที่สอง”
เลห์แมนกล่าวพร้อมกับกำหมัดแน่น ในขณะที่สีหน้าของเขาฉายแววความเด็ดเดี่ยวออกมา
เมอร์ลินพยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้ตระกูลวิลสันกำลังไปได้ดีในเมืองปรากาซ ดังนั้นผมไม่มีทางย้ายออกไปอย่างแน่นอน ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเคานต์เซลิน”
“ฮ่าฮ่า ถ้าเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ อัศวินเกราะเหล็กของพ่อจะได้โอกาสเฉิดฉายออกมา”
ใบหน้าของเลห์แมนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ถูฝ่ามือเข้าหากันอย่างอย่างกระหาย
“เอาล่ะ ในเมื่อลูกเพิ่งกลับมา ทำไมลูกไม่ใช้เวลาร่วมกับแอวริลและเชอรีสให้มากขึ้นล่ะ”
เลห์แมนกล่าวพลางมองหญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่ขี้เล่น ก่อนที่เขาจะหันหลังไปและขึ้นไปชั้นบน
เมอร์ลินตะลึงเล็กน้อย เขาได้หันไปมองเชอรีสและสังเกตเห็นสายตาที่เร่าร้อนของเธอ “นี่ก็ดึกมากแล้ว เราขึ้นไปพักผ่อนด้วยกันเถอะ”
หลังจากนั้นเมอร์ลิน เชอรีสและแอวริล ทั้งสามก็ขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน
...
ในห้องอันกว้างขวาง เสียงหอบหายใจเปล่าออกมาเป็นห้วง ๆ และมีร่างเงาของหญิงสาวขึ้นลงเป็นจังหวะ หลังจากที่ผ่านไปสักพัก หญิงสาวล้มลงไปอย่างเหนื่อยอ่อนและทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์
เมอร์ลินลุกขึ้นเอนตัวพิงกับหัวเตียง รอยยิ้มพึงพอใจผุดบนใบหน้าของเขา ในระหว่างมองใบหน้าที่สวยงามของภรรยาของเขา เขาห่างจากเมืองปรากาซเป็นเวลาหนึ่งปีแล้วและเขารู้สึกยินดีที่ได้กลับมาพบกับพวกเธอ
บางทีเขาอาจจะห่างกันไปนาน เลยทำให้แอวริลแสดงท่าทีเขินอายกับเขาอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตามลีลาของเชอรีสกับแอวริล ยังเทียบไม่ได้กับเลอแรนก้าที่เร่าร้อนดั่งสัตว์ป่า
เมอร์ลินได้ส่ายหัวสลัดความคิดเหล่านั้นทันที เขาต้องควบคุมความต้องการของตัวเองให้ดี ไม่ให้ถูกล่อใจไปมากเกินไป จริง ๆ แล้วเขาชอบความรู้สึกอันอบอุ่นที่มีให้กับคนรักมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เขาก็เถียงไม่ออก เรื่องที่ตัวเองไม่ได้ควบคุมเรื่องบนเตียงได้ดีมากพอเนื่องจากเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงสามคนในช่วงเวลาสั้น ๆ
ตอนนี้เชอรีสกับแอวริลได้หลับใหลด้วยความเหนื่อยล้าแต่เมอร์ลินยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เขารู้ว่านี่เป็นผลมากจากกระบวนท่าลึกลับที่ปรับปรุงพลังกายของเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนมันในช่วงเวลาที่ผ่านมากแต่พลังกายของเขาก็เทียบเท่านักดาบธาตุระดับสาม
เขามีรูปปั้นสี่อัน เขาได้เริ่มฝึกอันที่สี่มาสักพักแล้ว เมอร์ลินคาดเดาว่า หากเขาฝึกฝมันจนชำนาญพลังกายของเขาจะเทียบเท่านักดาบธาตุระดับสี่
อย่างไรก็ตามกว่ามันจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลานาน
ด้วยพลังกายที่เพิ่มมากขึ้นช่วยทำให้การฟื้นฟูของเขาก็ดีขึ้นด้วย ถ้าไม่ใช้ร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาไม่สามารถทนพิษของน้ำยากัดกร่อนได้นานนัก
ดังนั้นเมอร์ลินจะต้องใช้เวลามากขึ้นในแต่ละวัน นอกจากเขาจะต้องทำสมาธิและปรุงยา เขายังต้องจัดสรรเวลามาฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับด้วย
หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนกระบวนท่าของรูปปั้นอันที่สี่ เขาก็ได้นอนลงบนเตียงและหลับตาด้วยความเหนื่อยล้า