273 - มากันแล้ว
273 - มากันแล้ว
“ข้าจำเจ้าได้… เจ้าเป็นคนลงมือจัดการเย่เทียนเฉิงในวันนั้น?”
สาวกหญิงจากนิกายปราชญ์หยุดร้องไห้หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง
“เรื่องมันยาว ไม่คิดว่าสุดท้ายพวกเราจะมาเจอกันที่นี่…” เอี้ยนลี่เฉียงชี้ไปที่ศพบนพื้นและส่ายหัว
“ข้าเสียใจกับเจ้าแต่เราต้องไปเดี๋ยวนี้ อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ปลอดภัย โจรวายุทมิฬอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องออกไปเดี๋ยวนี้…”
ผู้หญิงคนนั้นกัดฟันและปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเอง นางพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่แทบจะทำไม่ได้ ร่างกายของเธอแกว่งไปแกว่งมาและขาของนางดูเหมือนจะไม่มีแรง
เมื่อนางกำลังจะล้ม เอี้ยนลี่เฉียงก็รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและคว้าแขนหญิงสาวไว้เพื่อประคองนางไม่ให้ล้ม
“ปล่อยมือ…!”
ด้วยท่าทางที่แน่วแน่ นางพยายามดึงแขนของตัวเองกลับมา นางไม่ต้องการให้เอี้ยนลี่เฉียงแตะต้องร่างกายของนาง
เอี้ยนลี่เฉียงก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง เขาคลายการจับของเขาทันทีและก้าวถอยหลัง ทันทีที่หญิงสาวดึงแขนกลับร่างกายของนางก็ไม่มีที่ยึดเกาะ นางก้าวถอยหลังและล้มลงอย่างแรง
ทุกอย่างเงียบไป
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้พูดอะไร เขามองดูจากด้านข้างอย่างไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นล้มลงกับพื้นโดยไม่คิดช่วยเหลือ
ผู้หญิงคนนั้นมีความภาคภูมิใจและดื้อรั้น แต่เอี้ยนลี่เฉียงมีวิธีจัดการกับคนอย่างนางเช่นกัน
หญิงสาวพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง เอี้ยนลี่เฉียงไม่แน่ใจว่าพิษในร่างกายของนางถูกขับออกไปหมดแล้วหรือยังเพราะว่าตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอเหมือนกับเส้นบะหมี่
หลังจากพยายามอีกสองสามครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดเคลื่อนไหว ในขณะที่หอบอย่างหนัก นางนอนอยู่บนพื้นและร้องไห้ออกมา
เอี้ยนลี่เฉียงคิดว่าหญิงสาวไม่ควรปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาในเวลานี้ ระหว่างรอให้นางขอความช่วยเหลืออีกครั้งเขาจึงทำการปล้นซากศพอื่น แต่สุดท้ายไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะไม่กล่าวอะไรออกมาเลย
หญิงสาวไม่พูดอะไรนางกัดฟันและพยายามลุกขึ้นให้ได้ด้วยตัวเอง
เอี้ยนลี่เฉียงส่ายหัวและพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ดื้อรั้นเพียงใด เมื่อเขากำลังจะไปปล้นศพต่อไปเขาก็ได้ยินเสียงเห่ามาจากเนินเขาข้างหน้า
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงได้ยินโกลดี้ สีหน้าของเขาก็มืดลง จากเสียงเห่าของโกลดี้เขารู้ว่ามันได้ค้นพบว่ามีบางคนกำลังมาที่นี่
ในค่ำคืนเช่นนี้ เสียงกีบเท้าเหล็กก็ก้องกังวานไปทั่ว หลังจากโกลดี้เห่าไม่กี่ครั้งเอี้ยนลี่เฉียงก็ได้ยินเสียงดังก้องอยู่ไกลๆ
โดยไม่ต้องสงสัย กีบเหล็กที่มาถึงที่นี่ได้ในเวลานี้คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกลุ่มโจรวายุทมิฬ
ความแข็งแกร่งของเอี้ยนลี่เฉียงยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และเขาได้ชักธนูหลายครั้ง หากเขาต้องปะทะกับกลุ่มโจรวายุทมิฬจำนวนมาก ไม่มีทางที่เขาจะอยู่รอดได้
หญิงสาวพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างไม่มั่นคง นางหยิบกระบี่ยาวของตัวเองขึ้นมาใช้ค้ำร่างกาย
“ไปกันเถอะ โจรวายุทมิฬมาแล้ว…!” เอี้ยนลี่เฉียงรีบบอกหญิงสาว
หญิงสาวคนนั้นยังคงเงียบไม่ขยับเขยื้อน ขนตายาวของนางพลิ้วไหว จากนั้นสายตาของนางก็จดจ้องไปยังทิศทางที่เสียงกีบเหล็กกำลังมาถึง
นั่งถือกระบี่ของตัวเองเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยืนอยู่หน้าศพของศิษย์พี่ของนาง นางกำลังควบคุมลมหายใจของตัวเองเพื่อใช้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
“เจ้ากำลังคิดที่จะต่อสู้กับโจรวายุทมิฬเหล่านั้นที่นี่หรือ?” เอี้ยนลี่เฉียงมองไปที่หญิงสาวด้วยความตกใจ
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างเย็นชา ความเย่อหยิ่งที่ฝังลึกในกระดูกของนางทำให้นางไม่มีความลังเลแม้แต่ใจก็ไม่ยอมก้มศีรษะ
ในสถานะปัจจุบันของนางไม่ว่าทหารม้าของโจรวายุทมิฬคนใดก็สามารถสังหารนางได้อย่างง่ายดาย นับประสาอะไรกับคนมากมายที่นี่ดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงจึงไม่เข้าใจสมองของนางอยู่บ้าง
เสียงกีบเหล็กชัดเจนขึ้นในการสนทนาสั้นๆ ของพวกเขา
เอี้ยนลี่เฉียงกัดฟันขณะมองดูใบหน้าของหญิงสาว จากนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นก็สับโคนคอของหญิงสาว
ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังมีพละกำลังหลงเหลืออยู่ในตัว แน่นอนว่าเอี้ยนลี่เฉียงคงไม่สามารถต่อสู้กับนางในระยะประชิดได้
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นแทบจะไม่สามารถยืนขึ้นได้ในขณะนี้ แล้วนางจะเป็นคู่ต่อสู้ของเอี้ยนลี่เฉียงได้อย่างไร? นอกจากนี้ นางไม่คิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะโจมตีนาง ดังนั้นหลังจากเดินโซเซไปข้างหลังนางก็ล้มลงกับพื้น
เอี้ยนลี่เฉียงรีบก้มศีรษะลงแล้วอุ้มนางขึ้นเขามัดนางไว้บนหลังของเขาด้วยเชือกที่มัดกระโจมของชาวชาตู่ เขาเหวี่ยงธนูไว้บนไหล่อีกข้าง จากนั้นก็เริ่มพุ่งไปที่ป่าในระยะไกล
หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว เอี้ยนลี่เฉียงก็หยุดวิ่งและมองไปที่ศิษย์ชายที่ไร้ชีวิตจากนิกายปราชญ์ เขากัดฟันวิ่งกลับมาคว้าศพนั้นแล้วหายตัวไปจากที่นี่
คนธรรมดาจะทรุดตัวลงภายใต้น้ำหนักของคนที่อยู่บนหลังของเขาและอีกคนที่อยู่ในอ้อมแขน โชคดีที่เอี้ยนลี่เฉียงมีความแข็งแกร่งค่อนข้างน่ากลัว
น้ำหนักรวมของคนสองคนนี้ก็น่าจะมีมากกว่า 140 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เขารับได้
โกลดี้ก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้และเริ่มวิ่งไปพร้อมกับเอี้ยนลี่เฉียง
“อย่าตามข้ามา มันจะทำให้พวกเราตกเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป หนีไปเองแล้วอย่าให้ใครจับได้อีก…!” เอี้ยนลี่เฉียงสั่งโกลดี้ขณะวิ่ง
โกลดี้ดูเหมือนจะเข้าใจคำสั่งของเอี้ยนลี่เฉียงในทันที มันกระโดดเข้าไปในพุ่มไม้ด้านหน้าและหายไปจากสายตาของเอี้ยนลี่เฉียง
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงไปถึงชายป่า เสียงกีบเท้าเหล็กและคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนได้มาถึงที่ราบที่เต็มไปด้วยซากศพแห่งนี้
เอี้ยนลี่เฉียงหันศีรษะไปรอบๆเมื่อได้ยินเสียงความโกลาหลครั้งใหญ่จากกลุ่มโจรวายุทมิฬที่อยู่ข้างหลังเขา สายตาของเขาเหลือบมองไปเห็นโจรวายุทมิฬอย่างน้อยสามร้อยคนกำลังขี่ม้ามาในทิศทางนี้
พวกเขาสองสามคนชี้ไปในทิศทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปและเริ่มตะโกนเสียงดังบนม้าแรดของตัวเอง
มีหญ้าชนิดหนึ่งแห้งอยู่ทุกหนทุกแห่งบนที่ราบ เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงจากไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินผ่านที่ราบ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้
ทันทีที่โจรวายุทมิฬมาถึง ใครก็ตามที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีจะสามารถเห็นรอยเท้าของเขาได้ด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว
โจรวายุทมิฬตื่นเต้นมาก พวกเขาตะโกนด้วยภาษาแปลกๆ ขณะที่พวกเขาทั้งหมดลงจากหลังม้า เมื่อเห็นมวลสีดำพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกับดาบที่ถูกชักออกมาจากฝักเอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกหวาดกลัวมากเขารีบวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาหนีเอาชีวิตรอดในป่า อาศัยเพียงความทรงจำของเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การวิ่งในป่าโดยแบบคนสองคนไว้ไม่สะดวกเหมือนกันยิ่งคนเดียว ต่อให้เขาแข็งแรงกว่านี้มันก็มีขีดจำกัดในร่างกาย
ขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงยังคงวิ่งต่อไป เขาก็ตระหนักว่าเสียงฝีเท้า เสียง และไฟที่ลุกโชนของโจรวายุทมิฬที่ไล่ตามเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ในอัตรานี้พวกเขาจะตามเขาทันไม่ช้าก็เร็ว เขาอาจจะไม่สามารถแม้แต่จะวิ่งหนีพวกเขาได้ แม้ว่าเขาจะหลบหนีไปพร้อมกับผู้หญิงที่อยู่บนหลังของเขา!
เอี้ยนลี่เฉียงจำได้ว่าเขาเคยเห็นถ้ำบนภูเขาอยู่ข้างหน้าเมื่อเข้ามาในป่าแห่งนี้เป็นครั้งแรก ถ้ำถูกซ่อนไว้อย่างดีหลังพุ่มไม้และไม่มีสัตว์ร้ายอยู่ในนั้น เอี้ยนลี่เฉียงกัดฟันและพุ่งไปที่ถ้ำ
ไม่กี่นาทีต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงก็มาถึงถ้ำบนภูเขาเล็กๆ เขาวางชายที่เขาถืออยู่และผู้หญิงคนนั้นไว้ในถ้ำบนภูเขา เขาแน่ใจว่าจะปกปิดเส้นทางของเขาให้ดีก่อนที่จะออกจากถ้ำบนภูเขาและวิ่งไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว