ตอนที่ 480 ที่ที่ไกลแสนไกล
ตอนที่ 480 ที่ที่ไกลแสนไกล
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
เมื่อเสียงของหอยสังข์จางหายไป เหล่าสัตว์ร้ายและนกทั้งหมดก็เริ่มหยุดตามพวกเขา
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ธิดาหอยสังข์ การที่นางจะมีความสามารถที่ประหลาดเช่นนี้ได้เป็นอะไรที่หาได้ไม่ง่ายแน่
ฮั๊วจงหยางยกย่องนาง “ถ้าหากนางใช้ความสามารถนี้ให้ดี เจ้าจะต้องกลายเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ได้แน่”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ฮั๊วจงหยาง “ใช้ความสามารถกับสัตว์ร้ายอย่างเดียวน่ะเหรอ?”
สัตว์ร้ายที่อยู่ใกล้กับถิ่นฐานของมนุษย์ทั่วไปมักจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นพวกมันจึงยังขาดความแข็งแกร่งที่จะใช้รับมือกับผู้ฝึกยุทธผู้ทรงพลังได้
ฮั๊วจงหยางพิจารณาถึงเรื่องนี้อยู่ภายในใจ ผู้อาวุโสคนนี้มีทั้งความรู้กว้างขวางและประสบการณ์ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฮั๊วจงหยางจะได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง ตัวเขามั่นใจมากว่าลู่โจวจะต้องสนใจความแข็งแกร่งที่ผู้เป็นเจ้าสำนักเขามี ฮั๊วจงหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “เป็นธรรมดาที่สัตว์ร้ายพวกนี้จะไม่ได้มีความสำคัญควรค่าที่จะพูดถึง เดิมทีสัตว์ร้ายพวกนั้นก็มีพลังที่มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปเพียงเล็กน้อย เพียงแค่ผู้ที่ฝึกฝนตัวเองมาถึงขั้นมหาราชครูได้ คนเหล่านั้นก็จะต่อสู้กับเหล่าสัตว์ร้ายได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่ยังไงซะเหล่าสัตว์ร้ายก็ยังสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับคนธรรมดาได้อยู่ดี” เมื่อเห็นลู่โจวเงียบตัวเขาก็ได้พูดต่อ “ยังไงซะสถานศึกษาไท่ชูและสำนักเฮ้งชูก็ยังต้องการความสามารถของสาวน้อย ถ้าหากพวกเขาใช้ความสามารถของสาวน้อยให้ดีและจับสัตว์ขี่จำนวนนับไม่ถ้วนได้ ข้าแน่ใจเลยล่ะว่าสำนักที่ได้ตัวนางไปจะต้องกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ภายในเวลา 100 ปีแน่”
ลู่โจวไม่เคยคิดถึงมุมมองนี้มาก่อน การที่สาวน้อยมีความสามารถในการปราบสัตว์ร้ายได้ จึงเป็นธรรมดาที่นางจะต้องทำให้สัตว์ร้ายทั้งหลายเชื่องได้ด้วย ใครจะรู้ว่าในป่าใหญ่ทั้งสี่มีสัตว์ร้ายทั้งหมดกี่ตัว? แม้แต่ยอดฝีมืออย่างฝานลี่เทียนที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็เกือบที่จะเสียชีวิตในขณะที่หลงป่า ลู่โจวนึกไปถึงบี่เอี๊ยนและวิซซาร์ดที่มี แม้ว่าพวกมันจะเป็นสัตว์ขี่แต่พวกมันก็ไม่ได้มาจากป่าใหญ่ทั้งสี่ สัตว์ขี่ทั้งสองตัวจึงไม่อาจเปรียบเทียบกับสัตว์ร้ายได้
หลังจากที่บินไปได้สักพักลู่โจว, ธิดาหอยสังข์ และฮั๊วจงหยางก็เดินทางมาถึงตัวเมือง
ลู่โจวเหลือบมองเสื้อผ้าของสาวน้อยที่ขาดรุ่งริ่งก่อนที่จะพานางไปหาช่างตัดเสื้อ นอกจากการหาเสื้อผ้าใหม่แล้วลู่โจวยังหาใครสักคนมาอาบน้ำให้นาง แม้แต่เศษดินและเสื้อผ้าเก่าๆ ก็ยังไม่อาจเก็บซ่อนความงามที่แท้จริงของสาวน้อยไว้ได้ หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วธิดาหอยสังข์ก็ดูเปลี่ยนไป นางดูสวยราวกับนางฟ้า ถึงแม้ว่านางจะมัดจุกผมสองจุก แต่มันก็ยังทำให้นางดูน่ารักและขี้เล่นอยู่ดี ชุดเดรสยาวที่นางได้สวมใส่ทำให้นางดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
ฮั๊วจงหยางที่เห็นสาวน้อยโฉมใหม่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะให้เชื่อว่านางเป็นเด็กเร่ร่อนได้” จะมีพ่อแม่แบบไหนกันที่ใจร้ายถึงกับทิ้งลูกสาวที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และงดงามเช่นนี้ได้?
ธิดาหอยสังข์ดูเหมือนจะชอบเสื้อผ้าชุดใหม่ ในตอนที่นางออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า นางก็ได้ร่ายรำราวกับนักเต้นรำ นางพอใจกับรูปลักษณ์ใหม่ที่มี ทุกคนสามารถเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานจากใบหน้าของนาง
“เจ้าชอบไหม?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ข้าชอบ” เด็กสาวเงยหน้าก่อนจะยิ้มให้ “ท่านใจดีจริงๆ”
“อืม”
สาวน้อยคนนี้ไม่เพียงไร้เดียงสา แต่นางก็ยังไม่รู้เรื่องของพิธีรีตองอีกด้วย นางคล้ายกับหยวนเอ๋อในด้านนี้มาก แต่ถึงแบบนั้นนางก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดีถ้าหากต้องเจอกับหยวนเอ๋อ สาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องทางโลกจนถูกจับบูชายัญบ่นแท่นบูชาสวรรค์ได้เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสลู่ ตอนนี้มันก็ดึกมาแล้ว ที่เมืองมณฑลจิงมีกฏเกณฑ์พิเศษในยามค่ำคืน”
กฎเกณฑ์ที่ว่าเป็นรูปแบบการควบคุมแบบหนึ่งที่จะควบคุมการเข้าออกเมืองอย่างเข้มงวด ชาวเมืองจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองในยามค่ำคืน
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร “ไม่ต้องรีบ” ตัวเขามองไปที่สาวน้อยแทน “เจ้าหิวไหม?”
ธิดาหอยสังข์เอามือลูบท้องก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
ฮั๊วจงหยางไม่มีทางเลือกอื่น ตัวเขาทำได้แค่เพียงเดินตามทั้งสองคนไปยังโรงเตี๊ยม
อาหารชุดใหญ่ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะของทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวและฮั๊วจงหยางไม่ได้มีความอยากอาหารมากมายอะไรนัก พวกเขาได้แต่จ้องมองสาวน้อยกินอาหารอย่างมีความสุข สาวน้อยไม่ได้รีบกินอาหารแต่อย่างใด นางค่อยๆ กินอาหารคำเล็กๆ เมื่อเห็นแบบนั้นลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ได้มาจากครอบครัวของคนธรรมดา
“บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?” ลู่โจวถามออกมาอีกครั้ง
สาวน้อยเอามือชี้ไปทางตะวันออกก่อนจะตอบกลับ “ในที่ที่ไกลแสนไกล...”
“เจ้าจำได้ไหมว่าอยู่ที่ไหน?” ฮั๊วจงหยางถามต่อ
สาวน้อยส่ายหัว
“แล้วบ้านเกิดของเจ้าเป็นยังไงกัน?” ฮั๊วจงหยางต้องการจะลองทายสถานที่จากภูมิศาสตร์แทน
สาวน้อยส่ายหัวอีกครั้ง
ลู่โจวรู้สึกสงสัย ‘หรือว่านางจะสูญเสียความทรงจำกัน?’ ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเข้าครอบนำลู่โจว “ยื่นมือของเจ้ามา”
“ค่ะ” สาวน้อยยื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง
ลู่โจววางทั้งสองนิ้วลงบนข้อมือของนาง ในตอนนั้นเองพลังลมปราณของตัวเขาก็ได้ไหลเวียนเข้าสู่เส้นพลังลมปราณทั้งแปดของสาวน้อย เมื่อผ่านไปได้ครู่หนึ่งลู่โจวก็รู้สึกถึงความสับสน สาวน้อยคนนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือศีรษะกระทบกระเทือนอะไร จิตใจของนางก็ดูเป็นปกติ จุดตันเถียนที่นางมีก็เช่นกัน มีเพียงแค่นางไม่เคยฝึกตน ถ้าหากจะบอกว่านางสุขภาพดีทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วเหตุใดนางถึงจดจำอะไรไม่ได้กัน? และการที่นางสามารถควบคุมสัตว์ป่าได้และสามารถหลบเลี่ยงดวงตาแห่งสัจธรรมได้เป็นสิ่งที่เองทำให้ลู่โจวรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น หรือว่านางจะเป็นคนธรรมดากัน? มีเรื่องน่าสงสัยมากมายเกี่ยวกับสาวน้อยคนนี้ ลู่โจวสังเกตเห็นถึงความสุภาพที่นางมี นางไม่ได้กินอาหารเหมือนกับเด็กน้อยกิน แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ได้มีวุฒิภาวะและความสงบเยือกเย็นเหมือนกับผู้ใหญ่ แม้แต่ลู่โจวเองก็ยากที่จะเข้าใจสาวน้อยคนนี้ได้
“ท่านผู้อาวุโส พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน พวกเราควรจะเดินทางได้แล้ว” ฮั๊วจงหยางพูดออกมาอย่างรีบร้อน
“เจ้าอิ่มแล้วรึยัง?” ลู่โจวมองไปที่สาวน้อย
“อืม...ขอบคุณค่ะ” ธิดาหอยสังข์พยักหน้า
“งั้นพวกเราก็เดินทางกันเถอะ”
ทั้งสามคนได้ออกจากโรงเตี๊ยมไป
...
ในขณะเดียวกันที่สำนักย่อยของสำนักอเวจีแห่งหนึ่ง ยู่เฉิงไห่กำลังเดินไปมา
สีวู่หยามองดูผู้เป็นศิษย์พี่อย่างไม่แยแส “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็นจะต้องกังวลไป ฮั๊วจงหยางมักจะทำงานสำเร็จลุล่วงเสมอ”
ยู่เฉิงไห่หยุดเดินก่อนจะตอบกลับมา “พวกเราไม่สามารถมั่นใจได้แบบนั้นหรอกนะ ข้ากังวลว่าถ้าหากเขาล้มเหลวพวกเราจะเจออะไรมากกว่า”
“พวกเราไว้ค่อยคิดเรื่องนั้นทีหลังเถอะ”
“เจ้ามีแผนยอดเยี่ยมอีกแล้วสินะ ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า?”
“มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรหรอกศิษย์พี่” สีวู่หยาพูดต่อ “ข้าได้อ่านบันทึกล่าสุดที่สำนักอเวจีมีแล้ว...ท่านรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าสำนักเผิงไหลสินะศิษย์พี่ ศิษย์พี่ไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ยู่เฉิงไห่หัวเราะก่อนจะตอบกลับมา “เรื่องมันยาวน่ะ ในตอนที่ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดจนสำเร็จ ข้าก็เสาะแสวงหาคู่ต่อสู้ ในตอนแรกข้าต้องการจะทดสอบพลังกับศิษย์น้องรอง แต่ข้าหาเขาไม่พบ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังเกาะเผิงไหลแทน ข้าได้เอาชนะเจ้าสำนักเผิงไหลด้วยเพลงกระบี่ทั้งสามกระบวนท่า พวกเรารู้จักกันผ่านการต่อสู้น่ะ” ยู่เฉิงไห่ถามต่อ “ทำไมเจ้าคิดถามเรื่องนี้กันล่ะ?”
“ถ้าหากพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากผู้เป็นเจ้าสำนักเผิงไหลจริง พวกเราจะต้องยึดเมืองมณฑลจิงได้อย่างง่ายดายแน่” สีวู่หยาตอบกลับมา
ในตอนนั้นเองดวงตาของยู่เฉิงไห่ก็เริ่มเปล่งประกาย “เจ้าพูดมีเหตุผล”
สาวกของสำนักอเวจีได้เดินเข้ามา “ท่านเจ้าสำนัก เจ้าสำนักเผิงไหลมาถึงที่นี่แล้ว”
สีวู่หยายืนขึ้น ในตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเช่นกัน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านช่างโชคดีจริงๆ”
“พาเขาเข้ามา”
เมื่อรถม้าลอยฟ้าลงสู่พื้นดิน
ยู่เฉิงไห่ก็รีบเดินไปหารถม้า
สีวู่หยาเดินตามยู่เฉิงไห่ติดๆ
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากรถม้าลอยฟ้า “นานแล้วสินะ!”
“พี่ซื่อเจีย ยินดีทีได้พบกันอีกครั้ง”
ในตอนนั้นเองชายผู้ใส่ชุดคลุมได้เคลื่อนที่ออกมาจากรถม้าด้วยความเร็วสูง ชายคนนั้นเคลื่อนที่ได้รวดเร็วราวกับสายฟ้า
เป้าหมายของเขาก็คือการโจมตีไปที่ยู่เฉิงไห่
ฝ่ามือของชายคนนั้นเปล่งประกายอยู่ในความมืดมิด
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย