262 - เปิดเผยความลับ
262 - เปิดเผยความลับ
ทันทีที่ทุกคนนั่งลง พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
ทุกคนต่างเดินทางมาไกลและเหน็ดเหนื่อยจากการสู้รบ ถึงกระนั้นหลายคนก็กัดฟันและเดินต่อไป
เอี้ยนลี่เฉียงก็ทำเช่นเดียวกัน เลือดของเขาเต้นระรัวระหว่างการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไรในตอนนั้นเลย แต่เมื่ออะดรีนาลีนของเขาลดลงเขาจึงรู้ตัวว่าตัวเองหิวแค่ไหน
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่กล้ามเนื้อแขนและหลังของเขาอีกด้วย เส้นเอ็นที่สำคัญสองสามเส้นในบริเวณนั้นก็เจ็บปวดเช่นกัน
การยิงธนูจำนวนมากด้วยคันธนูงูเหลือมเขาภายในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ร่างกายของเอี้ยนลี่เฉียงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก
แม้ว่าคนอื่นๆจะไม่สามารถบอกได้แต่เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าร่างกายของเขาได้รับผลกระทบมากและเหนื่อยล้าเกินไป
หากกลุ่มโจรวายุทมิฬโจมตีพวกเขาที่นี่อีกครั้งในขณะที่เขายังคงฟื้นตัว การหนีอาจเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขา
แม้ว่าร่างกายของเขาจะถึงขีดจำกัดแล้ว แต่หลังจากลงจากม้าทหารทุกคนยังคงช่วยเหลือกันในการเอาศพของทหารที่ตายทั้งหมดลงมาจากหลังม้า
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเดินทางไปพร้อมกับศพเหล่านี้ได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเผาศพพวกเขาที่นี่และนำขี้เถ้ากลับไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ
เมื่อพวกเขาเพิ่งย้ายศพเหล่านั้นเสร็จเหลียงอี้เจี๋ยก็มาบอกเอี้ยนลี่เฉียงว่าซุนปิงเฉินต้องการพบเขา ภายใต้สายตาเคารพบูชาของทหาร เอี้ยนลี่เฉียงก็เดินทางไปพบซุนปิงเฉิน
ซุนปิงเฉินอยู่คนเดียวในห้องของเขา เขานั่งตัวตรงบนเก้า อี้เหลียงอี้เจี๋ยไม่ได้ตามเอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปข้างใน
“นายท่านกำลังตามหาข้าอยู่เหรอ?” เอี้ยนลี่เฉียงเข้ามาในห้องและโค้งคำนับให้ซุนปิงเฉิน
ซุนปิงเฉินชำเลืองมองเขาอย่างลึกซึ้งก่อนที่เขาจะพยักหน้าช้าๆและชี้ไปที่ที่นั่งข้างหน้าเขา
"นั่ง!"
เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปและนั่งลงอย่างสงบ
“วันนี้เราโชคดีที่มีเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ลี่เฉียง เกรงว่าคงมีเพียงทหารไม่ถึงครึ่งเท่านั้นที่สามารถมาถึงที่นี่ได้!” ซุนปิงเฉินกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ข้าทำในสิ่งที่ตัวเองควรทำเท่านั้น!”
เอี้ยนลี่เฉียงตอบในขณะที่แอบพึมพำในใจว่าซุนปิงเฉินจะถามเขาเกี่ยวกับการฝึกฝนวิชาธนูต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามคำพูดต่อไปของซุนปิงเฉินนั้นเกินความคาดหมายของเอี้ยนลี่เฉียง
“ทุกคนมีความลับที่ไม่อยากเล่าให้คนอื่นฟัง ถ้ามีใครสอบถามเรื่องนี้กับเจ้าในอนาคต เจ้าก็บอกว่าเจ้ารู้จักการยิงธนูมาก่อนนั่นเป็นเหตุผลที่ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ติดตามส่วนตัว
ไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายเพิ่มเติม ข้าเดาว่าทหารหลายคนรวมถึงอี้เจี๋ยอาจสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าใครยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ก็บอกพวกเขาให้มาถามข้าด้วยตัวเอง!"
คำพูดของซุนปิงเฉินทำให้เอี้ยนลี่เฉียงตกใจ ตอนแรกเขากำลังคิดที่จะหาข้อแก้ตัวที่ง่อยๆขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เขาทำได้เพียงยิ้มเยาะกับคำพูดของซุนปิงเฉินและบอกความจริงกับเขา
“นายท่านได้โปรดยกโทษให้ข้า ข้าไม่มีเจตนาจะปกปิดฝีมือของตัวเองกับนายท่าน ข้าแค่ไม่ต้องการที่จะดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเด็กน้อยอายุสิบห้าปีที่บรรลุชั้นสวรรค์ชั้นสามของศิลปะการยิงธนูในสถานที่อย่างเมืองผิงซีเขตปกครองพิเศษกานก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
ข้ายังขาดประสบการณ์และไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่อีกด้วย ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจลามไปถึงคนใกล้ชิดของข้า
เรื่องฝีมือการยิงธนูของข้าจึงไม่เคยถูกเปิดเผยออกไปเลยแม้แต่กับพ่อของข้าเอง!"
ซุนปิงเฉินพยักหน้า จากนั้นลูบเคราของเขาขณะที่เขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาชื่นชม
“เมื่อไหร่ที่เจ้าค้นพบว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการยิงธนู ลี่เฉียง? เจ้าเคยได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงบ้างไหม?”
“ตั้งแต่ข้าสัมผัสคันธนูครั้งแรก ข้ารู้ว่ามันแตกต่างจากอาวุธชนิดอื่น และข้ารู้ว่าการจะใช้มันให้ชำนาญนั้นต้องใช้เวลาในการฝึกฝนเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ข้าลองครั้งแรก ข้ารู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่ง่ายดาย
ลูกศรที่ข้าปล่อยออกไปดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของข้า
นับตั้งแต่จับคันธนูครั้งแรกจนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยได้รับคำแนะนำเรื่องการยิงธนูจากใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว…”
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่าเขาเพิ่งเริ่มเรียนวิชายิงธนูเพียงครึ่งปีก่อน. เขาให้คำอธิบายที่คลุมเครือเท่านั้น ครั้งแรกที่เขาแตะคันธนูอาจเป็นอายุเจ็ดหรือสิบปีก็ได้
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าเมื่อพูดแบบนี้ มันน่าเชื่อมากขึ้น มิฉะนั้นมันคงฟังดูไร้สาระเกินไป และนั่นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผลดีกับเขาเสมอไป
ซุนปิงเฉินถอนหายใจอีกครั้ง
“การบรรลุชั้นสวรรค์ที่สามแล้วเมื่ออายุเพียงสิบห้า… คนอย่างลี่เฉียงไม่เพียงเป็นอัจฉริยะที่หายากอย่างยิ่ง พรสวรรค์ของเจ้าไม่เพียงแต่เป็นอันดับหนึ่งของแค้วนกานเท่านั้น
แต่ด้วยระดับนี้ย่อมถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของจักรวรรดิด้วย
นอกจากนี้ ความรอบคอบของเจ้ายังเป็นคุณสมบัติที่หายากอีกอย่าง โดยเจ้ายังรู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อใดควรปิดบังความแข็งแกร่งของเจ้าและรอเวลาแสดงออก
ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจไม่ผิดจริงๆ ข้าจะทำให้แน่ใจอย่างแน่นอนว่าเจ้าจะมีอนาคตที่สดใสในการติดตามข้ากลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิในครั้งนี้!”
"ขอบคุณที่นายท่านสนับสนุน!"
“อย่างไรก็ตาม เจ้ายังคงรีบร้อนเกินไปเล็กน้อยระหว่างที่เราพบกับโจรวายุทมิฬก่อนหน้านี้ และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหลายครั้ง
จำสิ่งที่ข้อบอกเจ้าไว้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือมุ่งเน้นรักษาความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้นเรื่องอื่นไม่ต้องสน!”
“ไปได้แล้ว คืนนี้พักผ่อนให้สบาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้เจ้าก็นอนพักผ่อนเถอะ ข้าบอกอี้เจี๋ยเรื่องนี้แล้ว…”
เอี้ยนลี่เฉียงโค้งคำนับให้ซุนปิงเฉินเขายืนขึ้นและเดินออกไป ทางประตู เมื่อเขาไปถึงประตูเขากัดฟันแน่น และสุดท้ายก็ควบคุมตัวเองไม่ได้
ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินและหันศีรษะไปถามซุนปิงเฉิน
“นายท่านวันนี้ข้ารู้สึกคับข้องใจนัก มีทหารองครักษ์มากมายต้องถูกสังเวยเพียงเพื่อประโยชน์ในการคุ้มกันเย่เทียนเฉิงผู้ซึ่งควรจะถูกตัดศีรษะไปตั้งแต่เมื่อนานแล้ว ทั้งหมดนี้คุ้มค่าหรือ”
ซุนปิงเฉินเงียบไปสองวินาทีก่อนจะบอกว่า
“วันที่ทหารองครักษ์เหล่านั้นสมัครเข้ามาทำงานก็ถือว่าพวกเขาได้เตรียมใจไว้แล้ว ข้าเสียใจจริงๆที่พวกเขาต้องตาย
แต่หากว่าวันหนึ่งข้าต้องเผชิญกับโชคชะตาเช่นเดียวกันกับพวกเขาก็ขอให้เจ้าจำไว้ว่าข้ายินยอมรับได้ และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับใช้แผ่นดิน!”
"เข้าใจแล้ว!"
เอี้ยนลี่เฉียงถอนหายใจเข้าด้านใน จากนั้นผลักประตูและเดินออกไป
ซุนปิงเฉินมองดูเอี้ยนลี่เฉียงอย่าเงียบๆโดยหลับตาครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะสัมผัสกระเป๋าผ้าที่เขาซ่อนไว้ในอกด้วยมืออีกครั้งในขณะที่เขานึกถึงคำในกระดาษแผ่นนั้น
'เด็กหนุ่มแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือผู้ที่จะกลืนสวรรค์ในสองคำ!'
ซุนปิงเฉินยังคงมีข้อสงสัยบางอย่างในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม การแสดงของหยาน ลี่เฉียงในวันนี้ ทำให้เขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาก่อนหน้านี้
บุคคลนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอี้ยนลี่เฉียงอย่างแน่นอน