261 - ตลาดตระกูลฮุ่ย 2
261 - ตลาดตระกูลฮุ่ย 2
มีชายฉกรรจ์จำนวนมากยืนอยู่ที่ด้านข้างของทางเข้าหลักของตลาดตระกูลฮุ่ย โดยแสดงสีหน้าที่แตกต่างกัน
พวกเขามองดูเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆขี่ม้าเข้าสู่ป้อมปราการตระกูลฮุ่ยด้วยสายตาแปลกๆ
ผู้ชายทุกคนแต่งกายด้วยผ้าขี้ริ้วและมีลักษณะที่รุงรัง ทว่าใบหน้าของพวกเขาล้วนมีการแสดงออกอย่างดุร้าย
แม้ว่าทางเข้าหลักของตลาดตระกูลฮุ่ยจะเปิดขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขา แต่คนเหล่านี้ยังคงถืออาวุธอยู่ในมือขณะที่พวกเขาเฝ้าดูเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆอย่างระมัดระวัง
“ขอต้อนรับใต้เท้า ข้าน้อยคือหัวหน้าตลาดตระกูลฮุ่ยชางลู่ 'ชาง' มาจากคำว่า 'บ่อยๆ' และ 'ลู่' มาจากคำว่า 'โชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง'
ขออภัยที่มาช้า อะไรชักนำให้ใต้เท้ามาที่นี่? มีโจรมากเกินไปจริงๆ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวังมากขึ้น ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย…”
ชายชราที่ค่อนข้างมีสติปัญญาเฉียบแหลมเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าทันที เขาป้องหมัดทักทายทุกคนเมื่อเห็นเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆเข้ามา
แม้ว่าเส้นผมของเขาหงอกและรอยย่นเหมือนช่องเขาลึกในถิ่นทุรกันดารที่สลักอยู่บนใบหน้าของเขา แต่เขายังคงมีดวงตาที่สดใสคู่หนึ่ง
สายตาของชายชราคนนี้เตือนเอี้ยนลี่เฉียงให้นึกถึงฝูงหมาป่าเร่ร่อนที่เขาเคยเห็นในถิ่นทุรกันดาร
แม้ว่าพวกมันจะอ่อนแอทางร่างกาย แต่พวกมันก็มีความเจ้าเล่ห์และเขี้ยวของพวกมันก็เฉียบแหลมเช่นกัน
“คิดว่าท่านคงมีจุดพักม้าอยู่ที่นี่” เหลียงอี้เจี๋ยถาม
“ใช่ ใช่ ใช่ แน่นอน เรามี…” หัวหน้าชื่อชางลู่พยักหน้าอย่างเร่งรีบ
“ถ้าอย่างนั้นก็นำทางพวกเราไปที่นั่นเถอะ!”
“ได้ ได้ ได้ มาเถอะ ทุกคน เชิญทางนี้…”
ชายชราพยักหน้า จากนั้นเหลือบมองที่ศพของทหารองค์พระที่อยู่บนหลังม้าแรดที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดตระกูลฮุ่ย เปลือกตาของเขาสั่นและร่างกายของเขาก็โค้งเล็กน้อยทันทีในขณะที่เขาลดระดับเสียงของเขาและถามว่า
"อืม ใต้เท้าประสบปัญหาบางอย่างระหว่างทางมาที่นี่หรือ...?"
“เราพบโจรวายุทมิฬประมาณสองร้อยคนระหว่างทางมาที่นี่” เหลียงอี้เจี๋ยตอบเรียบๆ
อย่างที่คาดไว้ คำว่า 'โจรวายุทมิฬ' มีอนุภาพจริงๆ ขณะที่เหลียงอี้เจี๋ยพูดคำสองคำนั้น สีหน้าของชายชราและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าของตลาดตระกูลฮุ่ยก็บิดเบี้ยวทันที...
"...พวกเราฆ่าพวกมันทั้งหมดแล้ว! ไม่ต้องห่วง!”
เอี้ยนลี่เฉียงไม่แน่ใจว่าคำพูดของเหลียงอี้เจี๋ยฟังดูเหมือนเป็นคำอธิบายที่เป็นความจริงหรือเป็นคำเตือน
อย่างไรก็ตามทันทีที่ชายชราซึ่งมีใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนหน้านี้ ได้ยินคำพูดที่สองของเหลียงอี้เจี๋ยรอยยิ้มก็กลับมาที่ใบหน้าของเขาทันที
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม โจรวายุทมิฬไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วย ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ตลาดตระกูลฮุ่ยคืนนี้จะต้องตื่นตัว...”
“ใช่ เราจะจัดทหารออกมาลาดตระเวนร่วมกับพวกเจ้าด้วย!”
“เอาล่ะ โปรดตามข้ามา….” ชายชราพูดในขณะที่พาทุกคนลึกเข้าไปในตลาดตระกูลฮุ่ย
เอี้ยนลี่เฉียงขี่ม้าของเขาอย่างเงียบๆเขารู้สึกว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่จึงหันศีรษะไปด้านข้าง ทันทีที่เขาทำเขาสังเกตเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเทายืนอยู่บนกำแพง
เขาเฝ้าสังเกตกระเป๋าธนูที่เอี้ยนลี่เฉียงสะพายไว้บนหลัง จากนั้นชายคนนั้นก็กวาดสายตาไปทั่วใบหน้าของเขา ใบหน้าของเขามีสีหน้าสงสัยและเคร่งขรึมเล็กน้อย
ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่เอี้ยนลี่เฉียงหักคันธนูก่อนหน้านี้
มีระยะห่างระหว่างพวกเขาประมาณสองร้อยวา และมันก็มืดมากเมื่อเอี้ยนลี่เฉียงปล่อยลูกศรสองดอกเข้าใส่ฝูงชน
หากชายผู้นี้ไม่มีความสามารถพิเศษ บุคคลทั่วไปจะไม่สามารถเห็นเขาในระยะนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นชายผู้นี้จึงน่าจะพยายามคิดว่าเขาเป็นคนที่ปล่อยลูกธนูทั้งสองก่อนหน้านี้หรือไม่
กระเป๋าธนูที่เขาถือไว้พร้อมกับธนูงูเหลือมเขานั้นมีขนาดใหญ่กว่ามากเมื่อเทียบกับของคนอื่น และลักษณะธนูของเขานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เอี้ยนลี่เฉียงเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงถึงขนาดนั้น ดังนั้นชายคนนั้นจึงมีสีหน้าสงสัย เขาคิดว่าคนที่ยิงธนูคนนั้นจะเป็นเอี้ยนลี่เฉียงแน่หรือเปล่า
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้ให้คำอธิบายเช่นกัน เขายังคงเดินหน้าต่อไปตามหลังคนอื่นๆ
ในเวลาเช่นนี้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะให้คนเหล่านี้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ควรทราบว่าผู้ที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มันเป็นเรื่องยากลำบากที่เราจะไว้ใจได้
บ้านภายในตลาดตระกูลฮุ่ยนั้นค่อนข้างเตี้ย ทั้งหมดทำมาจากโคลนและทรุดโทรมเล็กน้อย อาคารสองชั้นไม่ค่อยมีให้เห็น ร่องรอยที่เหลือจากพายุทะเลทรายถูกพบเห็นได้เป็นบางครั้ง
การมาถึงของเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆทำให้ผู้คนจำนวนมากในชุมชนแห่งนี้ออกมาจากบ้านของพวกเขา ทุกคนจ้องมองด้วยความอยากรู้
สิ่งที่ทำให้เอี้ยนลี่เฉียงประหลาดใจก็คือมีซ่องโสเภณีในชุมชนเล็กๆแห่งนี้ด้วย เมื่อพวกเขาผ่านทางแยก ผู้หญิงสองสามคนที่แต่งตัวด้วยสีสันสดใสก็ออกมาจากบ้านโคลนต่ำ
พวกนางเริ่มโบกมือไปที่ทหารองครักษ์ที่ขี่ม้าพร้อมผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ
แต่แน่นอนว่าการปรากฏตัวของผู้หญิงเหล่านั้นเป็นเพียงภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะทนได้ แม้แต่เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
……
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ทุกคนก็มาถึงที่ทำการจุดพักม้าของตลาดตระกูลฮุ่ย
ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายไม้ที่เขียนว่า 'จุดพักม้าทางการ' ที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าสถานที่แห่งนี้ เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าที่นี่คือจุดพักมาทางการ
กำแพงโคลนครึ่งหนึ่งพังทลายลง มีบ้านโคลนสามหลังที่มีประตูแตกและหลังคาก็รั่วด้วย ลานขนาดกลางสีดำสนิทและมีมูลไก่อยู่ทั่วพื้นดิน
การเรียกสถานที่นี้ว่าบ้านผีสิงถือเป็นคำชมเชยแล้ว อย่างน้อยบ้านผีสิงก็ยังเป็นบ้าน ย้อนกลับไปที่เมืองหลิวเหอ คอกหมูของบ้านหลายๆหลังอาจอยู่ในสภาพที่ดีกว่าบ้านเรือนที่นี่
“นี่คือจุดพักม้าทางการของตลาดตระกูลฮุ่ย?” เสียงของเหลียงอี้เจี๋ยมีความโกรธเล็กน้อย
"ถูกต้อง!" ชายชราพยักหน้าแล้วถอนหายใจ
“เราไม่ได้รับเงินจากราชสำนักมากว่าทศวรรษแล้ว ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อรักษาจุดพักม้าของทางการไว้ ซึ่งแม้แต่หัวหน้าของจุดพักม้าแห่งนี้ก็ยังหนีไปตั้งแต่เกือบ สิบปีที่แล้ว…
“มีโรงเตี๊ยมหรือไม่…”
เมื่อชายชราได้ยินคำพูดของเหลียงอี้เจี๋ยเขาก็ยิ้มออกมาทันที
"ใต้เท้าต้องการโรงเตี๊ยม? ถ้าอยากได้ก็ต้องยอมจ่าย..."
"พาเราไปที่นั่นแล้วเราจะจ่ายเอง"
“ได้ ได้ ได้โปรด เชิญทางนี้ ทางนี้…”
สองนาทีต่อมา ในที่สุดทุกคนก็มาถึงโรงเตี๊ยมของตลาดตระกูลฮุ่ย
แม้ว่าโรงเตี๊ยมจะค่อนข้างทรุดโทรม แต่ก็ยังดีกว่าจุดพักม้าที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้มาก มีลานขนาดใหญ่สองแห่งและค่อนข้างกว้างขวางที่นี่
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆมาถึง ชายชราก็สั่งพนักงานที่ทำงานในโรงเตี๊ยมให้พวกเขาเริ่มต้มน้ำ ฆ่าแพะ เตรียมอาหาร และให้อาหารม้า...
เนื่องจากโรงเตี๊ยมมีไม่เพียงพอ ชายชราถึงกับสั่งพนักงานให้หาคนจากชุมชนมาช่วยเพิ่มเติม
ปรากฎว่าชายชราผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าของตลาดตระกูลฮุ่ยเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของโรงแรมอีกด้วย