260 - ตลาดตระกูลฮุ่ย
260 - ตลาดตระกูลฮุ่ย
ในบรรดาโจรวายุทมิฬมีคนไม่น้อยที่เป็นนักธนูที่เก่งกาจ ดังนั้นไม่มีผู้ใดที่จะรู้พิษสงของนักธนูทรงพลังคนนั้นยิ่งกว่าพวกเขา
หากมีฝีมือการยิงธนูระดับนี้ในสนามรบเขาจะกลายเป็นเทพสงครามโดยตรง การปรากฏตัวของนักธนูผู้ทรงพลังในสนามรบย่อมเป็นฝันร้ายของศัตรูทั้งหมดอย่างแน่นอน...
เสียงโหยหวนของหมาป่าได้ยินไม่ชัดเจนจากถิ่นทุรกันดารในระยะไกล อย่างไรก็ตามโจรวายุทมิฬมากกว่าห้าร้อยคนต่างก็เงียบสนิท
ทุกคนจ้องมองที่อลิกุจินขณะที่รอให้เขาตัดสินใจ
จะไล่ตามหรือไม่ไล่ตาม?
แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมากกว่าศัตรูสองสามเท่า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งมากมายแค่ไหนกว่าที่จะไล่ตามศัตรูทัน
“มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าซุนปิงเฉินมีคนแบบนี้อยู่รอบตัวเขา ทำไมเราไม่ได้รับข้อมูลดังกล่าวจากเมืองหลวงฮั่นเลย…?” อลิกุจินไม่โกรธอีกต่อไป
ในเวลานี้ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด รู้สึกเหมือนว่าตัวเองตกหลุมพรางของใครบางคน
……………..
เอี้ยนลี่เฉียงขี่ม้าอย่างรวดเร็วกับทุกคน แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้ม ทุกคนต่างก็กดดันตัวเองให้เคลื่อนไปข้างหน้าโดยอาศัยปริมาณแสงจากท้องฟ้าเพียงเล็กน้อย
หลังจากการสู้รบก่อนหน้านี้ มีผู้รอดชีวิตอยู่ไม่มากนักในจำนวนนี้ก็มีคนที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ในตอนแรกเอี้ยนลี่เฉียงไม่กังวลเมื่อเลือดจากม้ากระเซ็นใส่เขาระหว่างการต่อสู้ แต่ตอนนี้ร่างกายของเขารู้สึกเหนียวเหนอะไปทั่ว
เสื้อผ้าของเขาซึ่งถูกเลือดของม้าเปียกโชก ทุกสิ่งทุกอย่างติดอยู่ที่ผิวหนังและปนกับเหงื่อของเขา กลิ่นเลือดที่ปั่นป่วนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เสียงหอนของหมาป่าเร่ร่อนและเสียงนกเค้าแมวดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดบรรยากาศน่าขนลุกและเยือกเย็น สามารถมองเห็นดวงตาสีเขียวหรือสีแดงท่ามกลางเนินเขาและพุ่มไม้ที่อยู่ห่างไกลได้ตลอดเวลา
สายตาพวกนั้นจดจ้องไปยังกองทหาร และมีบางส่วนที่ไล่ตามมาด้วย หากไม่ใช่ว่ากองทหารนี้มีจำนวนอยู่พอสมควรบางทีพวกเขาอาจตกอยู่ในวงล้อมของสัตว์ร้าย
ความตื่นเต้นและเลือดที่ร้อนระอุจากการต่อสู้ค่อยๆหายไป เมื่อมองดูศพของทหารที่ผูกติดอยู่กับม้าทางด้านหลัง อารมณ์ของเอี้ยนลี่เฉียงก็เริ่มหนักขึ้น
เขาไม่สามารถพาตัวเองให้รู้สึกมีความสุขได้เลย
คนที่ควรจะตายอย่างแท้จริงยังมีชีวิตอยู่และนั่งอยู่บนม้าแรดซึ่งได้รับการปกป้องจากกลุ่มคนกลุ่มนี้โดยไม่สูญเสียแม้แต่เส้นผม
กระนั้น พวกที่ไม่สมควรตายก็จากโลกนี้ไปเร็วเกินไป
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกค่อนข้างขัดแย้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มตั้งคำถามถึงศีลธรรมในส่วนลึกของเขา มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเสียสละชีวิตมากมายเพียงเพื่อส่งเย่เทียนเฉิงไปยังเมืองหลวง?
ผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่ใช่คนสนิทของซุนปิงเฉิน พวกเขาเป็นเพียงทหารธรรมดาจากหน่วยทหารม้าของจักรวรรดิที่ได้รับภารกิจคุ้มกันผู้ตรวจการใหญ่ซุนปิงเฉินเมื่อเขาออกจากเมืองหลวง
พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับซุนปิงเฉิน เย่เทียนเฉิงหรือจักรพรรดิรวมไปถึงเสนาบดีที่เมืองหลวงเลย
พวกเขารับราชการทหารก็เพื่ออาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ทว่าพวกเขาถูกสังหารที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรด้วยน้ำมือของโจรวายุทมิฬ
ซึ่งในทำนองเดียวกันคนพวกนี้ก็ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกัน เพียงเพื่อประโยชน์ในการส่งเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตซึ่งน่าจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆกลับเมืองหลวง พวกเขากลับต้องสังเวยชีวิตตัวเอง
ไม่แน่ว่ายังจะมีคนอีกมากมายที่ต้องเสียชีวิตไปในการเดินทางครั้งนี้
มันคุ้มค่าหรือไม่…?
......
กองทหารยังคงดำเนินไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดคุยตลอดทาง รวมทั้งเอี้ยนลี่เฉียง หลังจากข้ามเนินเขาไปอีกเนิน ในที่สุดทะเลแห่งแสงก็ปรากฏขึ้นที่ใดที่หนึ่งข้างหน้าพวกเขา
“ตลาดของตระกูลฮุ่ยอยู่ข้างหน้า…!”
เหลียงอี้เจี๋ยตะโกน ทุกคนในกองทหารถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะกระตุ้นม้าของพวกเขาเข้าสู่ชุมชนนั้น
เมื่อมาถึงตลาดตระกูลฮุ่ย เอี้ยนลี่เฉียงพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ตลาดจริงๆแต่เป็นป้อมปราการขนาดเล็ก
ด้านนอกของตลาดตระกูลฮุ่ยเป็นซากของกำแพงโคลนที่มีความสูงประมาณสองวา มีหอสังเกตการณ์ที่ทรุดโทรมไม่กี่แห่งเท่านั้นบนกำแพง
คบเพลิงที่ลุกโชนบนกำแพงส่งเสียงกึกก้องในสายลมยามค่ำคืน มีคนไม่กี่คนที่ลาดตระเวนและเฝ้าอยู่บนกำแพงโคลนในหอสังเกตการณ์
มีประตูบานใหญ่อยู่ตรงกลางกำแพงโคลน กรงไม้สองอันที่แขวนไว้ที่ด้านข้างของประตูบานใหญ่ ภายในกรงไม้มีหัวมนุษย์ซึ่งกำลังถูกผึ่งให้แห้งอยู่
เมืองตลาดของแคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ห่างไกลมักจะมีลักษณะเช่นนี้ พวกเขาได้รับการเสริมกำลังสูงสุด กำแพงสูงและคูน้ำลึกเพื่อป้องกันไม่ให้โจรขี่ม้าสามารถยึดป้อมปราการได้
แน่นอนว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างยากเย็นแสนเข็ญเช่นกัน
พวกเขาก่อตัวขึ้นจากความโกลาหลของสงครามมาเป็นเวลาพันปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็จะใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆเดินทางมาถึงที่ป้อมปราการนี้ ยามที่ลาดตะเวนอยู่บนหอสังเกตการณ์ต่างก็ตกตะลึง บางคนบนกำแพงโคลนเริ่มหอนเหมือนหมาป่า
ในชั่วพริบตา ผู้คนจำนวนมากก็รวมตัวกันบนกำแพงโคลนและหอสังเกตการณ์พร้อมอาวุธและธนูยาวอยู่ในมือ
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆอยู่ห่างจากกำแพงโคลนของป้อมตระกูลฮุ่ยสองร้อยวา ผู้คนก็เริ่มยิงธนูใส่พวกเขาจากด้านบนของกำแพง
'ควับ...!'
ลูกธนูหนึ่งลูกพุ่งไปไกลกว่าสองร้อยวาและตอกลงที่พื้นข้างหน้าพวกเขา ลูกศรครึ่งหนึ่งถูกฝังลงบนพื้น แสดงให้เห็นว่ามีพลังมากแค่ไหน
นี่เป็นคำเตือนให้หยุดมาอย่างชัดเจน
"พวกเจ้าเป็นใคร?"
ชายที่แต่งตัวเรียบร้อยสวมหมวกขนสุนัขยืนอยู่หลังกำแพงโคลน เผยให้เห็นครึ่งบนของร่างกายขณะที่เขาตะโกนใส่เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆ
“พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ที่บังเอิญผ่านมา เราอยากจะพักค้างคืนที่นี่โปรดเปิดประตู!” เหลียงอี้เจี๋ยตอบเสียงดัง
“ตอนนี้มันมืดแล้ว เราไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ตามกฎของป้อมปราการเราจะต้องปฏิเสธไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาอย่างสุภาพหลังจากพลบค่ำ…!”
“หัวหน้าป้อมปราการฮุ่ยอยู่ที่ไหน” เสียงของเหลียงอี้เจี๋ยก็ดังขึ้นพร้อมกับความโกรธที่ได้ยินอย่างนั้น
“ข้าต้องการคุยกับเขา…!”
“เปล่าประโยชน์ที่จะพูดกับหัวหน้าของเรา! เราได้เรียนรู้บทเรียนของเราผ่านพวกโจรที่พยายามบุกเข้ามาในป้อมปราการโดยใช้วิธีการเดียวกันในคืนก่อน
เห็นหัวที่ถูกตัดขาดเหล่านั้นห้อยอยู่ตรงทางเข้าหรือเปล่า? ใครที่กล้ามากำแหงอยู่ที่ป้อมนี้จะต้องถูกสังหารทั้งหมด
“ลี่เฉียง…” จู่ๆซุนปิงเฉินก็หันศีรษะไปรอบๆและเรียกเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงเข้าใจเจตนาของซุนปิงเฉินทันที เขาหยิบคันธนูของเขาออกมา จากนั้นก็ยิงหมวกของชายที่พูดคุยกับเหลียงอี้เจี๋ยตกลงบนพื้น
"โอ้ เจ้าคิดจะทดสอบความแข็งแกร่งของเรา เจ้าคิดว่าคนตระกูลฮุ่ยสามารถรังแกได้…?"
มีคนตะโกนจากด้านบนของกำแพง ฟังดูมีชีวิตชีวามาก ชายคนหนึ่งเปิดเผยลำตัวท่อนบนของเขา จากนั้นก็หยิบคันธนูและเล็งไปทางเอี้ยนลี่เฉียง
อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงปล่อยลูกศรที่สองของเขาในพริบตา ลูกธนูพุ่งเข้าหาคันธนูของชายคนนั้นและทำลายคันธนูของเขาหักครึ่งในทันที
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่อยู่ด้านบนของกำแพงจึงตกอยู่ในความเงียบทันที
ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองออกไปอีก ลูกศรที่สองที่เอี้ยนลี่เฉียงปล่อยออกมาได้เขย่าขวัญทุกคนที่อยู่ด้านบนของกำแพง
ต้องใช้ความแม่นยำและความแข็งแกร่งเพียงใดในการหักคันธนูและสายธนูของใครบางคนในคืนที่มืดมิดเช่นนี้และระยะห่างของพวกเขามีมากถึงสองร้อยวาด้วยซ้ำ
ครึ่งนาทีต่อมา เสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากด้านหลังกำแพง
“คนข้างนอกเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่โจร เปิดประตูรับทุกคน…!”
พร้อมกับเสียงนี้ ประตูไม้ที่ปิดอย่างแน่นหนาก็เปิดออกช้าๆ...