258 - ปีศาจ
258 - ปีศาจ
โดยไม่คำนึงถึงจำนวนคน เมื่อความกล้าหาญและจิตวิญญาณของพวกเขาหายไป ทั้งกลุ่มก็เหลือแต่เศษสวะที่ถูกลิขิตให้ถูกบดขยี้!
ในขณะนั้นเอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังไล่ตามกลุ่มกระต่ายมากกว่าที่จะเป็นฝูงโจร
โจรวายุทมิฬที่โหดเหี้ยม ผู้ซึ่งฆ่าผู้คนราวกับผักปลาท่ามกลางแคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ ถูกลดขนาดลงจนเป็นเพียงฝูงไก่เมื่ออยู่ต่อหน้าเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงขี่ม้าแรดของเขาทำตัวประหนึ่งนักล่าผู้เชี่ยวชาญ ทุกครั้งที่เขายิงธนูออกไปโจรวายุทมิฬที่อยู่บนหลังคาด้านหน้าจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง
ทุกครั้งที่โจรวายุทมิฬตกจากหลังม้า โจรคนอื่นๆจะหวาดกลัวมากขึ้น พวกเขาไม่ต่างจากสุนัขจรจัดที่ถูกไล่ล่าสังหาร พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง
ทุกเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวที่ดังมาจากด้านหลัง ทุกเสียงแหลมคมที่ทะลุผ่านอากาศ และทุกการสั่นสะเทือนของสายธนูทำให้พวกเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
พวกเขาติดอยู่ในฝันร้ายที่พวกเขาไม่สามารถกำจัดออกไป
ไม่ใช่ว่าพวกโจรวายุทมิฬไม่เคยพบใครที่บรรลุระดับสวรรค์ที่สามในการยิงธนู อันที่จริงผู้นำของพวกเขาซึ่งถูกเอี้ยนลี่เฉียงยิงธนูตกจากหลังม้าตายเป็นคนแรกก็บรรลุถึงระดับสวรรค์ชั้นที่สามเช่นกัน
ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงได้รับหน้าที่รับผิดชอบหน้าที่ในการนำคนสองร้อยคนมาที่นี่เพื่อชดเชยความล้มเหลวของพวกเขาในหุบเขาหมาป่า
แม้ว่าหัวหน้าของพวกเขาจะบรรลุถึงชั้นสวรรค์ที่สามในวิชายิงธนู
แต่เขาก็ไม่สามารถใช้ธนูที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ คันธนูที่เขาใช้มีเพียงสองต้านและความแม่นยำของเขาสามารถเทียบได้กับเอี้ยนลี่เฉียงในระยะทางสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม ในระยะทางที่ไกลกว่านั้น บุคคลนั้นกลายเป็นคนแรกที่ถูกลูกศรของเอี้ยนลี่เฉียงสังหารโดยที่กองทัพทั้งสองยังไม่ทันได้โรมรันพันตูกันด้วยซ้ำ
นอกจากธนูอันทรงพลังแล้ว ผู้ที่มีความแม่นยำสมบูรณ์แทบจะกลายเป็นฝันร้ายของนักรบทุกคนในสนามรบ
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดสำหรับโจรวายุทมิฬก็คือความจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้ฝันร้ายสิ่งที่พวกเขาพบเจอในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง และมันก็เป็นความจริงที่เลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้ายครั้งไหนๆ
นับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ เอี้ยนลี่เฉียงได้ชักคันธนูอันทรงพลังอย่างไม่หยุดหย่อนซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้คนจากที่ไกลออกไปนับพันวา
เขายังคงยิงธนูต่อหลังจากยิงลูกธนูอันทรงพลังออกไปครั้งก่อน ราวกับใช้ธนูอันทรงพลังเช่นนั้นโดยไม่รู้สึกสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงใดๆเลย
คนเช่นนี้อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจของโจรวายุทมิฬ พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีคนเช่นนี้ในโลกต่อให้เป็นในตำนานก็ตาม
นักธนูสามารถดึงคันธนูอันทรงพลังได้เพียงห้าต้านเท่านั้นแต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถยิงได้บ่อยครั้ง
จนถึงเวลานี้เอี้ยนลี่เฉียงยิงลูกธนูหมดไปสามซองแล้ว จากสองร้อยคนในฝ่ายตรงข้าม ประมาณครึ่งหนึ่งถูกฆ่าโดยเอี้ยนลี่เฉียง
เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เขาเป็นมารที่กินชีวิต เลือดเนื้อของศัตรูในสนามรบ
“ซาเกดัน...”
ใครบางคนในหมู่โจรวายุทมิฬที่เคยสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาควบขับม้าของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
"ฮึ…!"
ทันทีที่โจรวายุทมิฬคนนั้นกรีดร้อง คอของเขาถูกลูกศรแหลมแทงทะลุทันที แม้ว่าร่างของเขาจะตกจากหลังม้าแต่เท้าของเขายังติดอยู่ในโกลน
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขากลายเป็นเลือดเนื้อขาดๆ หายๆ จากการถูกม้าแรดที่วิ่งพล่านลากข้ามพื้นดิน ทุรกันดารทิ้งร่องรอยสีแดงเข้มไว้บนพื้น
สิ่งนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับโจรวายุทมิฬที่เหลืออยู่ ในท้ายที่สุด แผนการหลบหนีเป็นกลุ่มของพวกเขาก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากในเวลานี้โจรวายุทมิฬต่างเร่งม้าของตัวเองด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเร็วได้พวกเขาจึงแตกกระจายกันออกคนละทิศคนละทาง พวกเขาไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะหันหลังกลับ
โดยที่ในเวลานี้กลุ่มโจรวายุทมิฬยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าธนูเมื่อไหร่
ในขั้นต้น เอี้ยนลี่เฉียงงวางแผนที่จะสังหารหมู่โจรวายุทมิฬทุกๆ คนจากด้านหลัง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่ากลุ่มโจรจะกระจายกันออกแบบนี้
เอี้ยนลี่เฉียงแม้จะมีฝีมือการยิงธนูน่าประทับใจ แต่เขาไม่สามารถแยกร่างได้ดังนั้นเขาจึงเพียงติดตามกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่สุดไปเรื่อยๆ
......
สิบนาทีต่อมา ขณะที่สายธนูของเขาสั่นอีกครั้ง ในที่สุดดอกไม้สีเลือดก็ผลิบานที่ด้านหลังของร่างสีดำสุดท้ายบนเนินเขาที่อยู่ข้างหน้า
ร่างนั้นทรุดตัวลงกับพื้นทันที กลุ่มโจรที่เคยหลบหนีอยู่ต่อหน้าเขาล้วนตายไปจนหมดสิ้น
ม้าเมฆพายุกระโดดชูขาทั้งสองข้างขึ้นบนฟ้าก่อนจะกรีดร้องอย่างอหังการ
เอี้ยนลี่เฉียงหันไปมอง เขาได้ทิ้งกองทหารของซุนปิงเฉินไว้ค่อนข้างไกลแล้ว ยังมีจุดสีดำสองสามจุดที่หลบหนีอยู่รอบๆตัวเขา
อย่างไรก็ตาม มีระยะห่างมากระหว่างเขากับจุดสีดำเหล่านั้นทำให้เขาไม่สามารถยิงธนูสังหารพวกมันได้
“ลี่เฉียง…”
เหลียงอี้เจี๋ยซึ่งมีคราบเลือดเหมือนกัน เขาควบม้าตามมาอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“นายท่านยังอยู่ตรงนั้น ให้เราจัดกลุ่มกันใหม่ก่อน…”
“ตกลง!”
เอี้ยนลี่เฉียงหันหลังม้าไปรอบๆแล้วตามเหลียงอี้เจี๋ยไปยังตำแหน่งของซุนปิงเฉิน
เมื่อเหลียงอี้เจี๋ยเห็นเอี้ยนลี่เฉียงไล่ตามพวกโจรวายุทมิฬเพียงลำพังก่อนหน้านี้ เขาก็รีบควบม้าตามไปทันที
ระหว่างการไล่ล่า ธนูงูเหลือมเขาในมือของเอี้ยนลี่เฉียงยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับหัวใจของเหล่าโจรวายุทมิฬเหล่านั้นเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจต่อสู้อีกแล้ว
เหลียงอี้เจี๋ยไม่ได้ถามเอี้ยนลี่เฉียงเกี่ยวกับการฝึกฝนการยิงธนูของเขา ดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆเช่นกัน ทั้งคู่ขี่ม้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นศพของโจรวายุทมิฬ เขาก็เรียกเหลียงอี้เจี๋ยทันที
“พี่เหลียง รอสักครู่…!”
เหลียงอี้เจี๋ยหยุดม้าของเขา เอี้ยนลี่เฉียงกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับกระชากผ้าคลุมสีดำที่ปิดบังใบหน้าของโจรเหล่านี้ออกและใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของชาวชาตูก็ปรากฏออกมา
“ชาวชาตู” เหลียงอี้เจี๋ยร้องออกมาด้วยความตกใจ
ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย โจรวายุทมิฬเหล่านี้ได้ปิดบังใบหน้าไว้อย่างมิดชิด
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะสังหารโจรไปมากกว่าครึ่ง แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะเป็นชาวชาตู
“อย่างที่คาดไว้…”
เอี้ยนลี่เฉียงระบายลมหายใจออกมา เขาเกิดความสงสัยเมื่อได้ยินกลุ่มโจรวายุทมิฬพูดคำว่า 'ซาเกดัน' ก่อนหน้านี้
ในภาษาชาตูคำว่า 'ซาเกดัน' หมายถึง 'ปีศาจ' ไม่คิดว่าโจรวายุทมิฬพวกนี้จะเป็นชาวชาตูจริงๆ