252 - อันตรายอยู่ที่นี่
252 - อันตรายอยู่ที่นี่
“ทำไมการกู้คืนทุ่งหญ้าเหล่านั้นจากเผ่ารามมืดจึงง่ายกว่าเมื่อเทียบกับเจ็ดเผ่าชาตู?”
ดูเหมือนว่าความสนใจของซุนปิงเฉินจะถูกกระตุ้น เนื่องจากเขาถามคำถามทันทีหลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงพูดจบ
“เนื่องจากดินแดนของเรายังมีที่มั่นของเจ็ดเผ่าชาตูที่สำคัญสองสามแห่งและการที่เราจะสามารถขับไล่พวกมันออกไปพวกเราก็ต้องโจมตีฐานที่มั่นของมันก่อน
แน่นอนว่ามันจะง่ายกว่าที่เราจะไล่ล่าเผ่ารามมืดกลับไปทางตะวันตกของภูเขาฉีหยุนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้!”
“ในกรณีนั้น เราไม่ได้ทรยศเจ็ดเผ่าชาตูและเผ่าเผ่ารามมืดใช่ไหม”
“เราสามารถอยู่ในจุดเริ่มต้นและปล่อยให้เผ่ารามมืดโจมตีก่อน ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไล่พวกมันกลับไปยังภาคตะวันตก ต่อให้ทุกคนรู้อยู่เต็มอกก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่าเราทรยศ!”
หลังจากฟังคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงซุนปิงเฉินก็เงียบ วิธีที่เขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงนั้นยิ่งทำให้เอี้ยนลี่เฉียงน่าขนลุกด้วยเหตุผลบางอย่าง
ซุนปิงเฉินก็ถอนหายใจ
“ถ้าเพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชสำนักมีสติปัญญาเช่นเดียวกับลี่เฉียง บางทีโลกคงจะสงบสุขกว่านี้มาก!”
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะแห้งๆ
“นั่นมันเป็นเพียงทฤษฎีที่ข้าคิดขึ้นโดยบังเอิญ เนื่องจากข้าสายตาแคบสั้น ข้าจึงไม่อาจมองสถานการณ์ที่ใหญ่กว่านี้ และความเป็นจริงอาจไม่เป็นอย่างที่ข้าคิด นายท่านโปรดอย่าใส่ใจเลย!”
“จากที่เจ้าพูด เจ้ากำลังหมายความว่าจักรวรรดิจะวุ่นวายในอนาคตหรือลี่เฉียง?”
เอี้ยนลี่เฉียงต้องการเล่าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายในและภายนอกอาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากเหตุการณ์เหล่านั้น
เขาสามารถรู้ได้จริงๆว่าอาณาจักรฮั่นจะอยู่ในความสับสนวุ่นวายมากแค่ไหน ที่พรมแดนของอาณาจักรฮั่นกับชาวชามานมีเหตุการณ์ที่เกิดจากการก่อกบฏของนิกายบัวขาวทางตอนใต้
และความจริงที่ว่าอาณานิคมสองสามแห่งได้ตัดสัมพันธ์กับอาณาจักรฮั่นเพื่อโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของราชวงศ์จันทร์เสี้ยวใหม่
จักรวรรดิฮั่นที่ยิ่งใหญ่เริ่มไม่เสถียรอย่างรวดเร็วเนื่องจากการควบคุมกิจการภายในและภายนอกของจักรวรรดิจะอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว!
แน่นอนว่าเมื่อซุนปิงเฉินถาม เอี้ยนลี่เฉียงไม่กล้าบอกอะไรเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาทำได้เพียงให้คำตอบที่คลุมเครือเท่านั้น
“ข้าไม่รู้ว่าจะวุ่นวายมากแค่ไหน มันเป็นคำถามที่ยากมากนายท่าน แต่ข้าพอจะสังเกตได้ว่าเจ็ดเผ่าชาตูในแคว้นผิงซีและแคว้นกานมีความหยิ่งยโสมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ย่อมแสดงว่าพวกเขามีที่ถือดีอย่างแน่นอน!”
หลังจากฟังเอี้ยนลี่เฉียงแล้ว ซุนปิงเฉินก็จ้องไปที่ภูเขาไกลๆ อย่างวิตกครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวและบอกเขาว่า
“จำไว้ลี่เฉียง หากมีสิ่งที่ไม่คาดฝันหรืออันตรายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับความปลอดภัยของพวกข้าเจ้าเพียงเอาตัวรอดให้ได้ นี่คือคำสั่ง
ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเจ้าต่อจากนี้คือการไปสู่เมืองหลวงอย่างมีชีวิต
เมื่อสองวันก่อนข้าส่งมาเร็วไปที่เมืองหลวงแล้วตราบใดที่เจ้าไปถึงจุดพักม้าจุดต่อไปเจ้าจะได้รับการคุ้มกันเข้าสู่เมืองหลวงและกลายเป็นรองผู้บัญชาการกองพันองครักษ์หลวงอย่างเป็นทางการ… "
สีหน้าของซุนปิงเฉินเริ่มเคร่งขรึมอย่างมาก และเสียงของเขาก็เข้มงวดขึ้นเล็กน้อยเมื่อสิ้นสุดประโยค นี่เป็นครั้งแรกที่เอี้ยนลี่เฉียงเห็นซุนปิงเฉินด้วยสีหน้าแบบนั้น
ถ้าเอี้ยนลี่เฉียงจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับการเตือนเช่นนี้ คราวที่แล้วมาจากเหลียงอี้เจี๋ย เขาสามารถเตือนแบบนั้นได้ เพราะมันเป็นแค่ความกังวลเท่านั้น
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยสีหน้าและน้ำเสียงของซุนปิงเฉินและคำสั่งเพิ่มเติม มันทำให้หัวใจของเอี้ยนลี่เฉียงเต้นระรัวในทันใด
เขาคิดได้เพียงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ซุนปิงเฉินจงใจเตือนเขาเช่นนี้เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอะไรกำลังรอพวกเขาอยู่ในเส้นทางข้างหน้าและอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่?
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงได้ยินซุนปิงเฉิน เขาก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที
....
ยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้อาจดูเหมือนอยู่ไม่ไกลและสามารถไปถึงได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ใครจะรู้ว่าถนนที่คดเคี้ยวสามารถยืดระยะทางให้กว้างขึ้นทันทีเมื่อคนเริ่มเดินจริงๆ
บางครั้งเราอาจเดินเป็นระยะทางเจ็ดหรือแปดลี้ในครึ่งวันเพียงเพื่อจะพบว่าจะพบว่าผ่านภูเขาไปเพียงหลายสิบวาเท่านั้น
เนื่องจากมีรถม้าอยู่ในขบวนมากมาย ทุกคนจึงต้องใช้ทางเบี่ยงมากยิ่งขึ้น เมื่อมองดูรถม้าหนักที่ลั่นดังเอี๊ยด เอี้ยนลี่เฉียงที่เคยเลิกล้มความปรารถนาที่จะประดิษฐ์รถม้าสี่ล้อแล้ว
เขาก็อดไม่ได้ที่จะถูกจุดไฟอีกครั้ง เมื่อพูดถึงการเดินทางในระยะทางไกลเช่นนี้ ความยืดหยุ่น ความสามารถในการบรรทุก และความเร็วของรถสี่ล้อนั้นไม่สามารถเอารถมาสองล้อมาเทียบได้เลย
ความแตกต่างระหว่างยานพาหนะสองคันนี้คล้ายกับรถไฟธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง
โชคดีที่ทุกคนในกองทหารนำอาหารและน้ำมาเพียงพอเพื่อไม่ให้ใครต้องอดอาหาร ถึงอย่างนั้นหลังจากเดินทางครึ่งวัน พวกเขาก็ยังไปไม่ถึงร้อยลี้ในตอนเย็นถ้าวัดระยะทางเป็นเส้นตรง
เอี้ยนลี่เฉียงพบกับเหลียงอี้เจี๋ยและคนอื่นๆอีกสองสามคนอีกครั้งที่ทางแยกบนถนน...
“นายท่านตอนนี้พวกเราอยู่ที่หุบเขาหมาป่า…” เหลียงอี้เจี๋ยขี่ม้ากลับมารายงานซุนปิงเฉิน เขาชี้ไปที่หุบเขาและกล่าวว่า
“หุบเขาภูเขานี้ยาวประมาณสามสิบลี้ ทันทีที่เราผ่านหุบเขาหมาป่าจะมีเมืองตลาดอยู่ข้างหน้าซึ่งเรียกว่า 'ตลาดตระกูลฮุ่ย'
เป็นถนนอีกสายหนึ่งข้างหุบเขาที่ตัดผ่านหุบเขาหมาป่า อย่างไรก็ตามการเดินทางจะมากกว่า 60 ลี้
หากเราผ่านหุบเขาหมาป่าไปได้พวกเราจะไปถึงตลาดตะกูลฮุ่ยก่อนค่ำ ถ้าเราใช้เส้นทางอื่น เราจะต้องเดินทางในความมืดก่อนที่เราจะไปถึงที่นั่น…”
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงได้ยินว่าที่นี่คือหุบเขาหมาป่าเขาก็รู้สึกตกใจ
ภูมิประเทศของหุบเขาหมาป่านั้นอันตรายเกินไป หุบเขาที่ทอดยาวล้อมรอบด้วยสันเขาทั้งสองข้าง ราวกับเขี้ยวหมาป่าที่พันกัน
มีเพียงถนนที่แคบพอที่จะใส่รถสามคันเคียงข้างกันเพื่อเดินทางระหว่างหุบเขา หากพวกเขาถูกดักซุ่มอยู่ในหุบเขานี้พวกเขาจะเป็นเหมือนปลาที่อยู่ในข้อง นอกจากจะมีปีกโบยบินไม่เช่นนั้นไม่มีทางอื่นนี้ได้
เหลียงอี้เจี๋ยรออยู่ที่นี่เพื่อให้ซุนปิงเฉินเดินทางมาทันเพราะหน่วยสอดแนมสามารถอยู่ข้างหน้าได้เพียงสิบลี้จากกองทหารหลัก
นี่เป็นระยะทางที่ไกลที่สุดที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อส่งคำเตือน
หากพวกเขาเข้าไปในหุบเขาอย่างไม่ระมัดระวังและพรรคพวกที่อยู่เบื้องหลังถูกซุ่มโจมตี มันจะไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขาที่จะเตือนคนอื่นๆ