247 - ความวุ่นวายที่จุดพักม้า
247 - ความวุ่นวายที่จุดพักม้า
เย่เทียนเฉิงหรี่ตาและจ้องไปที่สีหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงอย่างตั้งใจ เมื่อเขาเห็นความลังเลบนใบหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ เขาตัดสินใจที่จะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ 'การเปลี่ยนแปลงทั้งสิบของมังกรเมฆา' ทั้งหมดด้วยตัวเองก่อนที่เอี้ยนลี่เฉียงจะอ้าปากพูด
ชั่วครู่หลังจากที่เย่เทียนเฉิงพูดจบ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นที่ชั้นล่าง ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า
“ไฟ! ทุกคนรีบดับไฟ….”
ในช่วงที่เกิดความสับสนวุ่นวายอันเนื่องมาจากเพลิงไหม้อย่างกะทันหันในจุดพักม้าของทางการ ผู้ว่าการแคว้นกานเล่ยสือตงได้นำซุนปิงเฉินไปเที่ยวชมเมือง
พวกเขาเดินทางไปที่ต่างๆซึ่งเป็นทรัพย์สินบางส่วนของตระกูลเย่ที่พวกเขาได้ริบไว้ รวมทั้งทรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมากอยู่ในโกดังด้านหลัง
ในขณะเดียวกันบริวารทั้งสองที่ตามพวกเขาไปก็เริ่มขยับจากพวกเขาอย่างเงียบๆปล่อยให้เล่ยสือตงและซุนปิงเฉินพูดคุยกันโดยไม่มีบุคคลที่สามฟังพวกเขาในสถานการณ์แบบนี้
“เมื่อเราบุกเข้าไปในตระกูลเย่ในวันนั้น พวกทหารที่เข้าไปก่อนก็ตกตะลึงเมื่อพบคลังทองคำและเงินในโกดังใต้ดินนั้น พวกเขาไม่เคยเห็นกองทองและเงินมากมายขนาดนั้นมาก่อน…”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินช้าๆเข้าไปในโกดัง เล่ยสือตง ยังคงเปิดหีบทั้งหมดที่ซ้อนอยู่ด้านข้างซึ่งมีความสูงประมาณหนึ่งวา แสงไฟที่ส่องสว่างในโกดังสะท้อนแสงสีเงินทำให้ตาเป็นประกาย
“ยังมีหีบแบบนี้อีก 1,171 หีบในโกดังใต้ดินของป้อมปราการเย่ รวมเป็นเงิน 2.78 ล้านตำลึง อย่างไรก็ตามยังหลงเหลือของอีกเป็นจำนวนมากอยู่ในป้อมปราการตระกูลเย่ ตอนนี้ข้าได้ส่งคนไปขนพวกมันมาแล้ว…”
ไม่ทราบว่าน้ำเสียงของเล่ยสือตงฟังดูมีความสุขหรือเสียใจ เขาพูดขณะที่เขาเปิดหีบอันหนึ่งซึ่งเล็กกว่าอีกอันหนึ่ง
เมื่อเปิดหีบออก รัศมีของแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นเล่ยสือตงเอื้อมมือออกไปหยิบทองคำจำนวนหนึ่งจากแสงที่ส่องประกาย
“ท่านซุนรู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มาจากไหน”
ซุนปิงเฉินยื่นแขนออกและหยิบสิ่งที่เหมือนทรายออกมาจากหีบ หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งของที่ส่องประกายหนักๆในมือของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผงทองคำ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มองเข้าไปใกล้ๆก็ยังมีชั้นสีแดงเล็กๆ อีกชั้นหนึ่งบนพื้นผิวของฝุ่นละอองสีทองใต้เปลวไฟอันเจิดจ้า ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย
“นี่คงเป็นทองคำสีกุหลาบ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษในท้องถิ่นของชาวชาตู…”
“แน่นอนทองคำสีกุหลาบนี้เป็นของพิเศษในท้องถิ่นของชาวชาตู อันที่จริงทองคำสีกุหลาบนี้ก็เหมือนทองธรรมดาทั่วไปมันคือทองคำบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากการเพิ่มชั้นของสีแดงกุหลาบในสีทำให้เครื่องประดับที่ถูกทำจากมันมีค่ามากยิ่งขึ้น
เครื่องประดับเหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงในอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่เช่นกัน เป็นผลให้หากผงทองคำสีกุหลาบที่มีน้ำหนักเท่ากันจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้สองเท่าของทองคำเลยทีเดียว!" เล่ยสือตงแล้วส่ายหัว
“ท่านรู้หรือไม่ว่าทองคำสีกุหลาบนี้พวกเราพบมันมากน้อยแค่ไหน”
“เกรงว่าจำนวนอาจจะมหาศาล”
“ไม่รู้ว่าพลเมืองของจักรวรรดิหลั่งเลือดไปมากเพียงใดหากสงครามเกิดขึ้นในอนาคต กับตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเย่ซึ่งทราบกันดีว่าทรงอิทธิพลและมั่งคั่ง แต่แท้จริงพวกเขาเป็นคนทรยศดังนั้นไม่อาจปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ได้!”
เมื่อเล่ยสือตงสิ้นสุดประโยค ก็มีร่องรอยของความหนาวเย็น และเจตนาฆ่าในน้ำเสียงของเขา
“ตระกูลเย่ก็ถูกท่านเล่ยจัดการไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ยังมีอีกคนหนึ่ง ในทำนองเดียวกันบุคคลนั้นก็เป็นหายนะเช่นกัน!” เล่ยสือตงหยุดฝีเท้าของเขาและมองไปที่ซุนปิงเฉินที่ไม่แยแส
ซุนปิงเฉินส่ายหัวในขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
"ข้าต้องพาเย่เทียนเฉิงไปที่เมืองหลวงให้ได้!"
“ข้าเกรงว่าท่านจะไม่สามารถนำเย่เทียนเฉิงไปที่เมืองหลวงได้!”
“เป็นไปได้ไหมที่ท่านเล่ยต้องการให้เย่เทียนเฉิงตายที่นี่?”
ซุนปิงเฉินจ้องที่เล่ยสือตงด้วยแสงจ้าที่แหลมคมโดยไม่ยอมแพ้ อุณหภูมิลดลงหลายองศาทันทีที่คำพูดเหล่านั้นออกจากปากของซุนปิงเฉิน
“แม้ว่าเย่เทียนเฉิงจะสามารถออกจากเมืองนี้ไปได้ แต่ท่านซุนคิดว่าเขาจะสามารถไปถึงเมืองหลวงได้จริงๆหรือ?” เล่ยสือตงส่ายหัวและพูดต่ออย่างสงบ
"ความเป็นความตายของเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า แต่ข้าเชื่อว่าคนที่เมืองหลวงจะไม่มีทางปล่อยให้เย่เทียนเฉิงมีชีวิตไปถึงที่นั่นอย่างแน่นอน
ในทำนองเดียวกันบุคคลนั้นก็รู้ว่าท่านซุนต้องการนำเย่เทียนเฉิงไปเมืองหลวง ท่านคิดว่าการเดินทางครั้งนี้ของท่านจะมีความปลอดภัยหรือไม่
พวกเราก็เป็นเพียงแค่หมากของผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนักที่ใช้ต่อสู้กัน ต่อให้พวกเราตายไปมันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม”
"ข้ารู้!"
“การนำเย่เทียนเฉิงกลับไปที่เมืองหลวงนั้นเหมือนกับการลากปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกไปกับท่านด้วย หากเย่เทียนเฉิงตายภายใต้การคุ้มครองของท่าน ทำเนียบเสนาบดีก็จะทำฎีกากล่าวโทษท่านอย่างแน่นอน
ดังนั้นในฐานะสหายเก่าข้าจึงขอแนะนำท่านซุนว่าปล่อยให้เขาตายที่แคว้นกานนี้เถิด อย่างน้อยๆพวกเรายังพอจะบอกว่าพวกเขาตายภายใต้การปล้นคุกของชาวชาตู!"
ซุนปิงเฉินยังคงนิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นี่เป็นราชโองการของฝ่าบาท หากข้าทำไม่สำเร็จก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอข้าอยู่!”
เล่ยสือตงถอนหายใจเช่นกัน
“มันเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถโค่นล้มอำนาจของเสนาบดีลง แม้ว่าท่านจะสามารถนำเย่เทียนเฉิงกลับไปที่เมืองหลวงได้ แล้วยังไงล่ะ ผู้ว่าการแคว้นเล็กๆแคว้นหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ของเมืองหลวงได้หรือ”
“ข้าได้รับการสนับสนุนมาจากฝ่าบาท ดังนั้นในเมื่อนี้เป็นความประสงค์ของพระองค์ข้าจะต้องสนองให้ถึงที่สุด!”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่มุ่งมั่นบนใบหน้าของซุนปิงเฉินในที่สุดเล่ยสือตงก็ถอนหายใจและตัดสินใจที่จะเลิกชักชวนเขา
“หลังจากที่ท่านกลับไปถึงที่พัก ถ้าเย่เทียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ข้าจะขอเลิกลาเพียงเท่านี้ ท่านซุนดูแลตัวเองด้วย!”
...
สองชั่วยามผ่านไปแล้วตั้งแต่ซุนปิงเฉินและเหลียงอี้เจี๋ยออกจากสำนักงานผู้ว่าการทหารพร้อมกับคนของพวกเขา ฟ้าก็มืดแล้วก็หนาวด้วย
เสียงของม้าแรดที่ควบบรรทุกผู้คนจำนวนมากผ่านถนนสายหลักของเมืองเว่ยหยวนนั้นค่อนข้างชัดเจนท่ามกลางความเงียบในยามค่ำคืน
พวกเขาต้องผ่านครึ่งเมืองเว่ยหยวนในการเดินทางจากสำนักงานผู้ว่าการทหารไปยังจุดพักม้าของทางการ
เหลียงอี้เจี๋ยกังวลอย่างเห็นได้ชัดขณะขี่ม้าแรด
"นายท่านต้องการให้ข้าล่วงหน้าไปก่อนหรือไม่"
“ไม่จำเป็น ไม่ว่าท่านเล่ยจะมีแผนการอะไรป่านนี้ก็ถูกใช้ออกจนหมดแล้ว ต่อให้เรารีบกลับไปก็ไม่มีประโยชน์!” ซุนปิงเฉินกล่าวขณะที่เขาส่ายหัว
"ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นเจตจำนงของสวรรค์เถอะ!”
...
ซุนปิงเฉินและคนของเขาตระหนักดีว่าต้องเกิดความวุ่นวายที่จุดพักม้าอย่างแน่นอน แต่พวกเขาไม่คิดว่าเล่ยสือตงจะลงมือได้โหดเหี้ยมถึงขนาดนี้
อาคารทั้งหลังที่เย่เทียนเฉิงเคยถูกคุมขังก่อนหน้านี้ถูกไฟไหม้ไปครึ่งแถบ ห้องประมาณเจ็ดหรือแปดห้องถูกเผาจนว่างเปล่า
และท่ามกลางซากปรักหักพังของไฟ เสาคานไม้ที่โค่นล้มยังคงตลบอบอวลไปด้วยควัน
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นซุนปิงเฉินหรือเหลียงอี้เจี๋ย ต่างก็ตกตะลึง