246 - ของที่ไม่ใช่สัญญาปากเปล่า
246 - ของที่ไม่ใช่สัญญาปากเปล่า
เย่เทียนเฉิงเหลือบมองอาหารบนขอบหน้าต่างจากห้องของเขาและส่ายหัว จากนั้นเขาก็พยายามหลอกล่อเอี้ยนลี่เฉียงต่อไป
“ถ้าข้ากินอาหารนี่ ข้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกจากที่นี่อีกต่อไป เจ้ายังเด็กและอนาคตของเจ้านั้นไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่เจ้าช่วยเหลือข้าในครั้งนี้
สิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าในอนาคตจะมากกว่าที่ซุนปิงเฉินมอบให้เจ้าสิบเท่าหรือร้อยเท่า เจ้าสามารถมีได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ เงิน ตำแหน่งทางการ ทรัพย์สิน หรือผู้หญิง!"
“ข้ายอมรับว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผล ก็คงเป็นจริงอย่างว่าเสนาบดีใหญ่เป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในแผ่นดินนี้ อย่างไรก็ตามเสนาบดีใหญ่ก็คือเสนาบดีใหญ่ท่านก็คือท่าน
ตอนนี้ท่านเป็นนักโทษ ท่านคิดจริงๆหรือว่าข้าจะเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือท่านด้วยลมปากเปล่าของท่านเท่านั้น?"
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงกินต่อไปในขณะที่เขาฟังคำพูดของเย่เทียนเฉิง เขาแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่มีประสบการณ์แต่ค่อนข้างฉลาด การแสดงแบบนี้เป็นสิ่งที่เด็กในวัยเดียวกันกับเขาควรจะแสดงออกมา
“เจ้าเคยได้ยินคำพูดที่ว่า 'ส่งฟืนกลางหิมะย่อมดีกว่าผักชีโรยหน้า' มาก่อนหรือไม่ ถ้าเจ้าช่วยข้าในวันนี้ในอนาคตข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน…” เย่เทียนเฉิงกล่าว
“ข้าไม่ต้องการการตอบแทนจากท่าน ตราบใดที่ข้าทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดยังไงซะท่านซุนก็ต้องตอบแทนข้าอย่างแน่นอน แล้วเหตุไฉนจึงต้องเสี่ยงเอาอนาคตของตัวเองและครอบครัวมาเดิมพันเพื่อช่วยท่าน?”
“การติดตามซุนปิงเฉินในตอนนี้อาจดูน่าตื่นเต้น แต่จากนี้ไปเจ้าจะเดือดร้อนจากเขา แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็นนักโทษ แต่ข้าจะฟื้นจากเถ้าถ่านในอนาคตอย่างแน่นอน…”
“ฮ่าฮ่า ข้าเป็นแค่ตัวละครที่ไม่สำคัญ เสนาบดีและจักรพรรดิต่างหากที่เป็นยักษ์ใหญ่ตัวจริง
หากเทพทั้งสองลงมือต่อสู้กันคนธรรมดาอย่างเราจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรข้าก็ยังคงเป็นข้า”
หลังจากนั้น ไม่ว่าเย่เทียนเฉิงจะพูดอะไรเอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย เหตุผลที่เขาประพฤติแบบนี้คือการบอกเย่เทียนเฉิงว่าเขาไม่สามารถซื้อได้ด้วยคำพูดที่ว่างเปล่า
เอี้ยนลี่เฉียงต้องการดูว่าเย่เทียนเฉิงสามารถเล่นกลอะไรได้อีกในตอนนี้ ในทางกลับกัน ความคิดปัจจุบันในจิตใจของเอี้ยนลี่เฉียงคือว่าเขาควรจะใช้โอกาสนี้ฆ่าเย่เทียนเฉิงหรือไม่
ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาจะได้ 'แก้แค้น' และจะมีอันตรายที่ไม่รู้จักน้อยลงในการเดินทางไปยังเมืองหลวงพร้อมกับซุนปิงเฉิน
นี่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลกอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นจะเหมือนกับการทรยศต่อซุนปิงเฉิน...
ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที เอี้ยนลี่เฉียงก็ทานอาหารของเขาเสร็จ อาหารที่เขาวางไว้บนกระเบื้องสำหรับโกลดี้ก็ถูกกินจนหมดเช่นกัน
เอี้ยนลี่เฉียงใช้ตะเกียบที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างและหยิบเนื้อในชามขึ้นมา ก่อนที่เขาจะวางมันไว้ข้างหน้าโกลดี้เพื่อดมกลิ่น
“วูฟ…”
โกลดี้ส่งเสียงเห่าเบาๆ มันไม่ได้กินชิ้นเนื้อ แต่นั่งลงไปกับพื้นแล้วเห่าอีกครั้ง
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักดีถึงสถานการณ์นี้เมื่อเขาเห็นโกลดี้ทำตัวแบบที่มันเคยเป็น
อันที่จริงหากไม่มีบางอย่างผิดปกติกับอาหารที่จุดพักม้าเตรียมไว้ให้เย่เทียนเฉิงกิน นั่นคงเป็นเรื่องแปลกมากกว่า
เอี้ยนลี่เฉียงก็คืนชามและตะเกียบกลับที่เดิม
หลังจากผ่านไปสองสามนาที คนรับใช้จากจุดพักม้าก็กลับมาเก็บจานชามของเอี้ยนลี่เฉียง
เขาตั้งใจดูจานบนขอบหน้าต่างของเย่เทียนเฉิงและสังเกตว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แตะต้องอาหารเลย คนรับใช้ทำหน้าเหมือนสงสัยใคร่รู้ จึงถามเอี้ยนลี่เฉียงว่า
“นายท่าน ทำไมคนที่ถูกขังอยู่ในห้องไม่กินอาหารของเขาล่ะ?”
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงแกล้งโง่ในขณะที่เขาตอบว่า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนนี้คงไม่มีอารมณ์จะกินหรอก บอกเลยคนนี้เคยเป็นผู้ว่าการแคว้น ดังนั้นอาหารประเภทนี้เขาจึงไม่เหลียวมองเป็นธรรมดา”
"อ้อเข้าใจแล้ว!"
หลังจากเอี้ยนลี่เฉียงกินเสร็จแล้ว เขาก็ลุกขึ้นและเดินไปมาที่บริเวณแคบๆข้างทางเข้า
ขณะที่ขยับร่างกายของเขา ขว้างหมัดและเตะออกไป ผู้ฝึกวรยุทธจะไม่ชอบนั่งเงียบๆหลังจากรับประทานอาหาร เพราะพวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
การทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการไหลเวียนโลหิตและการย่อยอาหาร
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงเริ่มออกกำลังกาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องของเย่เทียนเฉิงอีกครั้ง
“เจ้าฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยเหรอ”
"แน่นอน!"
เอี้ยนลี่เฉียงตอบโดยไม่หันศีรษะขณะขยับมือและเท้า
“ถ้าเจ้าสามารถช่วยข้าได้ บางทีเราอาจแลกเปลี่ยนกันได้…”
เอี้ยนลี่เฉียงหยุดและเดินไปทางหน้าต่าง เขามองไปที่เย่เทียนเฉิงซึ่งมีพฤติกรรมแปลกๆและถามว่า
"การค้าอะไร?"
ดวงตาของเย่เทียนเฉิงมองไปรอบๆขณะที่เขามองไปที่ด้านข้างของหน้าต่าง
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครอยู่ที่ทางเดิน ถ้ามีคนมา ข้าจะสามารถเห็นพวกเขาทันทีจากระยะไกล!”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าทั้งหมดที่ข้ามีคือคำพูดที่ว่างเปล่าหรอกหรือ อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสามารถแลกเปลี่ยนกับเจ้าแม้ว่าข้าจะไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ในตอนนี้!” เย่เทียนเฉิงกล่าวอย่างมุ่งมั่น
"มันคืออะไร?"
“คู่มือลับศิลปะการต่อสู้!”
เมื่อได้ยินคำสี่คำนั้น เอี้ยนลี่เฉียงก็สั่นเทาโดยไม่จำเป็นต้องทำเหมือนว่าเขาประหลาดใจ เพราะในความจริงมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
“เจ้าคิดว่าข้าดำรงตำแหน่งนี้ได้เพราะอะไรงั้นหรือหากไม่ใช่คู่มือลับชนิดนี้ข้าจะไม่สามารถมาถึงระดับนี้ได้เลย วิชาที่ข้าฝึกฝนล้วนแล้วแต่เป็นวิชาระดับสูงทั้งสิ้น เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นความจริง ด้วยระดับเทพสงครามอย่างท่านย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีไหลเวียนของฉี(กำลังภายใน)ได้ตลอดเวลา ตัวตนเล็กๆอย่างข้าย่อมไม่อาจสัมผัสถึงความผิดปกติได้!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบวิชาตัวเบาให้เจ้าก่อน วิชานี้ไม่ได้ต้องการข้อห้ามมากเกินไปขอเพียงเจ้าผ่านด่านท่าม้า เจ้าก็สามารถเรียนรู้มันได้ทันที เจ้าสามารถทดลองดูได้ว่ามันผิดปกติหรือไม่!”
“โอ้ ข้าเคยเรียน 'เก้ากระบวนท่าเงาสายลม' มาก่อนแล้ว…”
“วิชาตัวเบาของข้านี้มีนามว่า 'สิบการเปลี่ยนแปลงของมังกรเมฆา' มีสูงสุดสิบระดับ ขอเพียงเจ้าฝึกฝนผ่านไปทีละขั้นมันจะทำให้เจ้าสามารถกระโดดขึ้นท้องฟ้าขั้นล่ะหนึ่งวา
เมื่อเจ้าฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดเจ้าจะสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สิบวาอย่างง่ายดาย เจ้าควรทราบว่าต่อให้เป็นกำแพงเมืองที่สูงที่สุดก็มีความสูงเพียงเท่านี้
นี่ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะระดับธรรมดา คนทั่วไปจะไม่สามารถได้รับสิ่งนี้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการ! เมื่อเจ้าฝึกวิชานี้สำเร็จจะสามารถเดินทางได้ทั่วหล้า!”
“ในเมื่อท่านฝึกฝนวิชานี้สำเร็จแล้วเหตุไฉนท่านจึงถูกจับตัวอยู่ที่นี่”
เย่เทียนเฉิงมีสีหน้าโกรธแค้นแล้วตอบว่า
"ข้าไม่สามารถใช้วิชานี้ภายในห้องนั้น โดยเฉพาะเมื่อหญิงสาวคนนั้นลอบทำร้ายข้าทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บภายในไม่เช่นนั้นมีหรือซุนปิงเฉินจะรอดชีวิตได้!"
เอี้ยนลี่เฉียงตั้งใจมองเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนก
"แล้วท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลือท่านอย่างไร"
เย่เทียนเฉิงโค้งยิ้มบนใบหน้าของเขาและพูดว่า “ผ่อนคลาย นี่เป็นเหมือนการทำธุรกิจ เมื่อเราสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันธุรกิจก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่ทดสอบฝึกฝนวิชานี้ให้เชี่ยวชาญหลังจากนั้นจะได้รู้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า”
เมื่อรู้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงไม่อาจเคลื่อนไหวด้วยคำพูดปากปล่าวได้ง่ายอย่างที่คิด เย่เทียนเฉิงจึงเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและเริ่มโยนเหยื่อล่อ
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ แต่แสร้งทำเป็นว่าพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังจากภายนอก ทำให้เขาดูตกใจเล็กน้อยและค่อนข้างลังเล...