ตอนที่แล้วตอนที่ 470 ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 472 นางไม่เหมือนใคร

ตอนที่ 471 เหตุใดท่านถึงได้ตามข้ามา?


ตอนที่ 471 เหตุใดท่านถึงได้ตามข้ามา?

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย 

ดวงตาของฮั๊วจงหยางเป็นประกาย ตัวเขาโค้งคำนับก่อนจะพูดขึ้น “ในตอนที่พวกท่านพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปสืบข่าวใกล้ๆ กับเมืองมณฑลจิงมาก่อน อันที่จริงแล้วข้าได้พบอะไรบางอย่างเมื่อตอนนั้น แต่ข้าไม่ได้คิดมากอะไรและไม่ได้ถามใครให้ถี่ถ้วน”

ยู่เฉิงไห่พยักหน้า “ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า เจ้ากำลังจะบอกให้พวกเราจับผู้ที่จะถูกบูชายัญเพื่อใช้ในแผนการของเราอย่างงั้นสินะ?”

“ถูกแล้ว”

ดวงตาของยู่เฮิงไห่สว่างขึ้น ตัวเขาตบไหล่ของสีวู่หยาก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมข้าถึงคิดเรื่องนี้ไม่ออกเลย สมแล้วที่เป็นเจ้า”

ฮั๊วจงหยางที่ฟังแบบนั้นก็รู้สึกเคารพชื่นชมสีวู่หยามากยิ่งขึ้น แม้ว่าข้อมูลที่ตัวเขาได้รับมาจะเป็นข้อมูลเดียวกันก็ตาม แต่ตัวเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่เมื่อข้อมูลไปอยู่ในมือของสีวู่หยา มันกับมีประโยชน์ขึ้นมาอย่างมหาศาล

สีวู่หยาพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “ในตอนนี้พลังวรยุทธที่ข้ามียังไม่ลึกล้ำมากพอ เพื่อที่จะทำแผนการของเราให้สำเร็จ ข้าคต้องขอรบกวนพี่ฮั๊วสักหน่อย”

ยู่เฉิงไห่รีบตอบรับไปในทันที “เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว เชิญเจ้าใช้งานสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ตามใจชอบเลย ทุกๆ คนจากสำนักอเวจีก็เช่นกัน รีบสั่งการให้เจ้าพวกนั้นช่วยเหลือศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้าซะ” หลังจากที่พูดจบยู่เฉิงไห่ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าคำพูดมันฟังดูไม่จริงใจไม่มากพอ ตัวเขารีบเอามือตบหน้าอกของตัวเองก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเองก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮั๊วจงหยางก็รีบตอบรับ “ท่านสีวู่หยาได้โปรดฝากงานนี้ไว้กับข้าเถอะ ข้าคุ้นเคยกับผังเมืองมณฑลจิงดี ข้ารู้ดีว่าแท่นบูชาสวรรค์ตั้งอยู่ที่แห่งหนใด” ฮั๊วจงหยางไม่มีทางที่จะปล่อยให้ผู้เป็นเจ้าสำนักไปลักพาตัวใครแน่ งานแบบนี้เหมาะกับสาวกของยู่เฉิงไห่อย่างตัวฮั๊วจงหยางเอง

ยู่เฉิงไห่มองไปที่ฮั๊วจงหยางอย่างไม่เห็นด้วย

สีวู่หยาพยักหน้าตอบรับ “ถ้าหากเป็นแบบนั้นเห็นทีข้าจะต้องฝากให้พี่ฮั๊วจัดการแล้วล่ะ”

“ข้าจะทำมันอย่างดีที่สุดเอง” ฮั๊วจงหยางรีบตอบรับ

สีวู่หยาพูดต่อ “แม้ว่าจะไม่มีคนจากทางการบนแท่นบูชาสวรรค์ก็ตาม แต่พวกเราก็ควรจะเก็บตัวตนเอาไว้ให้เป็นความลับมากที่สุด พวกเราไม่ควรจะเปิดเผยตัวตนให้ใครได้รับรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น...แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองก็คงไม่อาจจะช่วยอะไรพี่ได้ นอกจากนี้พี่ฮั๊ว ท่านจงพึ่งพาไหวพริบ อย่าได้ใช้กำลังเด็ดขาด พิธีบูชายัญบ่นแท่นบูชาสวรรค์นั้นเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของพวกเรา”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ฮั๊วจงหยางคารวะให้ก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่ไป

หลังจากที่ฮั๊วจงหยางออกมา ยู่เฉิงไห่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้ารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นจริงๆ เมื่อได้อยู่ใกล้เจ้า ศิษย์น้องเจ็ด ในหลายวันมานี้ข้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย สมองของข้าแทบที่จะแบกรับต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ว่าข้าจะใช้ความคิดแค่ไหนแต่ข้าก็หาวิธีบุกโจมตีเมืองมณฑลจิงไม่ได้”

สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็มีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ คนของสำนักอเวจีไม่ได้ด้อยความสามารถเลย เหตุใดกันถึงไม่มีใครทำอะไรได้”

ยู่เฉิงไห่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อ “ตอนนี้ทั้งเก้ามณฑลต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย และเพราะแบบนั้นทำให้การติดตามสถานการณ์โดยรวมจึงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น ทั้งไป่ยู่ชิง, หยางเยียน และดีชิงต่างก็ต้องปกป้องมณฑลเหลียง พวกเราจะต้องปกป้องมณฑลเหลียงจากการรุกรานของชาวรั่วหลี่ ยิ่งสถานการณ์ยุ่งยากมากเท่าไหร่ การที่พวกเราจะสงบใจเพื่อคิดหาทางออกได้เป็นไปได้ยากขึ้นเท่านั้น” การปรากฏตัวของผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ทำให้โลกใบนี้เข้าสู่ยุคแห่งการแยกดอกบัว ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายที่แท้จริง

แม้ว่าในตอนนี้มณฑลทั้งเก้าจะตกอยู่ในความโกลาหลและยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งต้องตกอยู่ในความควบคุมของสำนักอเวจีแล้วก็ตาม แต่ยู่เฉิงไห่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จได้เลย ตัวเขาจะไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่ถ้าหากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ล่มสลายไป การโค่นล้มจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์แม้ว่าจะฟังดูเป็นเป้าหมายที่ไม่อาจทำได้แต่มันเป็นเพียงเป้าหมายเดียวของยู่เฉิงไห่

“ไม่ต้องห่วงหรอกศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เอง”

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ยู่เฉิงไห่สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปเกี่ยวกับสีวู่หยา ตัวเขาไม่รู้เลยว่าสีวู่หยาต้องเจอกับอะไรถึงได้กลายเป็นแบบนี้ สีวู่หยาเริ่มใช้เหตุผลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยู่เฉิงไห่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ตัวเขาหันหลังกลับก่อนที่จะเหลือบมองแผนที่บนโต๊ะ

...

ณ โรงเตี๊ยมเมฆา

ลู่โจวเปิดผ้าม่านของหน้าต่างออกก่อนที่จะเหลือบมองไปยังถนน ตัวเขาไม่เห็นอะไรที่ดูสะดุดตาเลย ‘ดูเหมือนว่าฉันจะใช้การ์ดแปลงกายเสียเปล่าแล้วสินะ’

ในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้น…

“อาหารได้แล้วครับ นายท่าน” เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาก่อนที่จะวางจานลงบนโต๊ะ

ลู่โจวเหลือบมองไปที่จาน ในความจริงผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นที่จะต้องกินอาหารนานถึงสิบวันสิบคืนได้ แต่เป็นเพราะครั้งนี้ตัวเขามายังเมืองมณฑลจิง เพื่อที่จะแฝงเนียนไปกับคนทั่วไปลู่โจวจึงไม่มีทางเลือกอื่น “เสี่ยวเอ้อ ที่เมืองแห่งนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า?”

“นายท่าน ท่านได้ถามคำถามนี้กับข้าหลายครั้งแล้ว...เมืองมณฑลจิงยังคงสงบสุขเช่นเคย ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยกว่าที่นี่อีกแล้ว พักผ่อนให้สบายใจเถอะนายท่าน” เสี่ยวเอ้อพูดออกมาอย่างมั่นใจ

ในตอนนั้นเองก็เกิดความวุ่นวายบนถนนเบื้องล่าง ผู้ฝึกยุทธระดับต่ำหลายคนมารวมตัวกันก่อนที่จะเดินไปทางเหนือ ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกหลายคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูโอ่อาตระการตา

ลู่โจวชี้ไปยังทุกคน “เสี่ยวเอ้อ แล้วนั้นมันคืออะไรกัน?”

เสี่ยวเอ้อเขย่งขาก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ด้านนอกหน้าต่าง “นั่นมันพิธีบูชายัญ มันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น”

“พิธีบูชายัญ?”

“ในอดีตจะมีการสังเวยหมู, วัว, ลูกแกะ หรือแม้แต่สัตว์ตัวอื่นๆ ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้พวกเขาเลือกที่จะสังเวยชีวิตมนุษย์ ใครจะไปรู้กันว่ามันเป็นความจริง?” เมื่อเสี่ยวเอ้อพูดจบตัวเขาก็รีบจัดเตรียมโต๊ะอาหารอีกครั้ง “เชิญ นายท่านทานให้อร่อย”

ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มักจะมีเรื่องแบบนี้เสมอ

ลู่โจวส่ายหัว ตัวเขาไม่ต้องการเสนอหน้าเข้าไปยังที่ที่ไม่สมควรอยู่

บนถนนเริ่มมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

เมื่อกำลังจะปิดหน้าต่างตัวเขาก็เหลือบเห็นชายคนหนึ่งที่วิ่งผ่านฝูงชนไป ชายคนนั้นแต่งตัวแปลกตาอย่างชัดเจน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีรูปลักษณ์ที่ดูคุ้นเคยกับลู่โจวอยู่

“คนคนนี้คือ...” ลู่โจวนึกชื่อไม่ออก ‘ชื่อของเขาคืออะไรกัน? ทำไมเขาถึงดูคุ้นตามากขนาดนั้น!’

ยิ่งมองชายคนนั้นมากเท่าไหร่ ลู่โจวก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น ตัวเขารีบใช้ปลายเท้าเคาะไปที่พื้นเบาๆ ก่อนที่จะกระโดดออกมาจากโรงเตี้ยม ลู่โจวเลือกที่จะลงสู่ท้องถนนก่อนที่จะเดินตามชายคนนั้นไป

เมื่อเดินไปจนสุดถนนชายคนนั้นก็ได้หันหน้ากลับมา...

“ผู้อาวุโส ท่านเดินตามข้ามาทำไม?” ชายคนนั้นเดินจงใจเดินไปบนถนนเส้นนี้ก็เพราะรู้ตัวว่าถูกสะกดรอยตาม

“สหาย พวกเราเคยเจอกันมาก่อนไหม?” ลู่โจวถามออกมาอย่างใจเย็น นี่เป็นคำถามที่ลู่โจวอยากจะรู้จริงๆ ตัวเขายังคงนึกต่อไปว่าชายคนนี้เคยเจอกับตัวเขาที่ไหน

“ข้าคือฮั๊วหยาง ข้าคิดว่าท่านคงจะจำผิดคนแล้วล่ะ ผู้อาวุโส หยุดไล่ตามข้าซะเถอะ”

ถ้าหากชายคนนั้นไม่เอ่ยชื่อ ลู่โจวก็คงจะจำไม่ได้ คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือฮั๊วจงหยาง หนึ่งในสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งสำนักอเวจี เขาเป็นยอดฝีมือแห่งโถงมังกรฟ้า

เหตุใดหัวหน้าของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบถึงเข้ามายังมณฑลจิงด้วยตัวเอง?

เมื่อฮั๊วจงหยางหันหลังและกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองตัวเขาก็มองเห็นใบหน้าของลู่โจว ฮั๊วจงหยางที่เห็นแบบนั้นรีบนึกหาใบหน้าของชายคนนี้ ท้ายที่สุดแล้วฮั๊วจงหยางก็ไม่เคยเห็นเขา คงจะดีกว่าถ้าหากตัวเขาไม่ถูกเปิดเผยตัวจริง การถูกเปิดเผยตัวจริงอาจจะทำให้แผนของสีวู่หยาล้มเหลวได้

ลู่โจวเหลือบมองเวลาที่เหลืออยู่ของการ์ดแปลงกาย ตัวเขายังเหลือเวลาอีกสองวันด้วยกัน ลู่โจวเลือกที่จะเดินตามฮั๊วจงหยางต่อไป ตราบใดที่ตามฮั๊วจงหยางไป ตัวเขาก็จะได้พบกับศิษย์ไม่รักดีอย่างยู่เฉิงไห่แน่

ลู่โจวซ่อนพลังวรยทุธที่มีไว้ ในตอนนี้ตัวเขาได้กลายเป็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากฮั๊วจงหยางรู้ความจริงที่ว่าลู่โจวเป็นใคร ตัวเขาก็คงจะกลัวจนวิ่งหนีไปแน่

ฮั๊วจงหยางได้มุ่งหน้าทางผ่านถนนสายสี่ก่อนที่จะออกจากถนนสายหลักไป ตัวเขาเลือกเดินทางไปยังทางเหนือของมณฑลจิงแทน ฮั๊วจงหยางที่มุ่งหน้าอยู่ได้หักเลี้ยวไปที่ด้านข้างก่อนที่จะจู่โจมลู่โจวจากทางด้านหลังด้วยความเร็วสายฟ้า “ยกโทษให้ข้าด้วยผู้อาวุโส!”

เมื่อฮั๊วจงหยางอยู่ห่างจากลู่โจวได้สิบเมตร ฮั๊วจงหยางก็สังเกตเห็นว่าลู่โจวดูไม่กังวลอะไร ฝั่งฮั๊วจงหยางเองที่รู้สึกถึงแรงกดดันได้

เมื่อหมัดของฮั๊วจงหยางกำลังจะถึงใบหน้าของลู่โจว ลู่โจวก็ได้ยกมือขึ้นมาซะก่อน เมื่อตัวเขาชูมือขึ้นมา พลังลมปราณที่มีก็เริ่มมารวมตัวกันอยู่ที่ฝ่ามือ

เมื่อเห็นแบบนั้นฮั๊วจงหยางก็รีบถอยออกมา แต่มันก็ไม่ทัน ทันทีที่มือทั้งสองคนเข้าชนกัน ในตอนนั้นเองก็เกิดการระเบิดขึ้น

ตู๊ม!

ฮั๊วจงหยางที่ถูกพลังระเบิดกระเด็นกลับไปในทันที หลังจากที่ตีลังกาถึงสามครั้งในที่สุดฮั๊วจงหยางก็สามารถตั้งหลักได้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ‘นี่มันพลังฝ่ามือเผิงไหล? จากพลังอวตารหกกลีบ? พลังอวตารเจ็ดกลีบ? พลังอวตารแปดกลีบ?’ ฮั๊วจงหยางไม่แน่ใจ แม้ว่าตัวเขาจะใช้พลังเพียงสามในสิบส่วนก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็กลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ชายชราที่อยู่ตรงหน้ายังคงเยือกเย็น ฮั๊วจงหยางมั่นใจว่าชายชราคนนี้จะต้องมีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบขึ้นไปแน่

ฮั๊วจงหยางไม่คิดที่จะประมาทคู่ต่อสู้อีกต่อไป “ท่านผู้อาวุโส...ข้าไม่คิดที่จะหาเรื่องท่าน เหตุใดกันท่านถึงได้ตามข้ามา?”

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด