ตอนที่ 28 สั่งสอนคนรับใช้เจ้าเล่ห์
ตอนที่ 28 สั่งสอนคนรับใช้เจ้าเล่ห์
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้น ความเย็นชาในดวงตาราวกับจะพุ่งออกมาด้านนอก
“เหมือนจะยังมิได้ยินเสียงของแม่นมอยู่ดี”
อันหลิงเกอกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมกับนึกถึงคำกล่าวหาที่คนรับใช้เก่าแก่ผู้นี้ใส่ความตน
ในเมื่อเจ้ากล่าวเองว่าข้าตั้งใจแกล้งเจ้ามิใช่หรือ ?
เช่นนั้นข้าก็จะแกล้งเจ้าอย่างที่เจ้าว่าดูสิเจ้าจะทำอันใดข้าได้
เมื่อถูกอันหลิงเกอใช้สายตาเย็นชากดดัน บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นก็รู้ตัวขึ้นมาทันทีว่านางกำลังถูกกลั่นแกล้ง !
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นี่ท่านกลั่นแกล้งข้าน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมิพอใจหลี่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่ เลยตั้งใจจะหาข้ออ้างเพื่อมิไปพบ ?”
เมื่อได้รับฟังอันหลิงเกอหัวเราะเยาะขึ้น จากนั้นค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้
“แม่นม ข้าขอเตือนให้เจ้ากลับไปพิจารณาฐานะตัวเองเสีย แล้วค่อยกลับมากล่าวกับข้าใหม่”
“เจ้าเป็นเพียงแค่แม่นม แต่กล้ามาตะโกนถามเสียงดังต่อหน้าข้าที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่ ใครมอบความกล้าเยี่ยงนี้ให้เจ้ากัน ? หรือเพราะคิดว่าตนเองเป็นคนส่งข่าวให้หลี่กุ้ยเฟย ข้าจะมิกล้าทำอันใดเจ้า ! หรือเจ้าคิดว่ามิว่าต่อให้เจ้ามิเคารพยำเกรงเจ้านายเยี่ยงไร อี๋เหนียงก็จะคอยให้ท้ายเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?”
ท่าทางของนางนั้นเย็นชา ริมฝีปากที่มักจะมีรอยยิ้มอบอุ่นเสมอ บัดนี้ไร้ซึ่งความอ่อนโยนอันใด
เมื่อมองดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นราวกับสามารถมองทะลุไปในส่วนที่มืดมิดที่สุดของจิตใจคนได้อย่างน่าตกใจ บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นอดที่จะถอยหลังไปมิได้ ท่าทางหยิ่งผยองนั้นในที่สุดก็หายไป
“คุณหนูใหญ่โปรดอภัย ข้าน้อยมิได้หมายความเยี่ยงนั้นเลยนะเจ้าคะ”
“อ้อ เจ้าหมายความว่า ข้าใส่ความเจ้าเช่นนั้นหรือ ?”
อันหลิงเกอกล่าวออกไปพร้อมแววตาของที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นเงียบไปในทันที จากนั้นปั้นหน้าแสดงความนับถือขึ้นมา แต่ดวงตายังคงฉายแววดูหมิ่นอยู่ดังเดิม
อันหลิงเกอหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจแล้วสั่งปี้จูว่า “ปี้จู เจ้าไปบอกกับคนของหลี่กุ้ยเฟย บอกว่าข้ารู้สึกมิค่อยสบาย วันหลังข้าจะเข้าไปคารวะนางอีกที”
พูดจบก็เดินกลับเข้าเรือนของนางไป ปล่อยให้บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม
เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงบอกว่าจะมิไปเช่นนี้ได้ หากเรื่องนี้มิสำเร็จ หลี่กุ้ยเฟยและฮูหยินรองต้องมิปล่อยนางเอาไว้เป็นแน่ !
เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมิได้มีท่าทีเสแสร้ง บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นและรีบเดินตามไป
“คุณหนูใหญ่ได้โปรดหยุดก่อน คุณหนูใหญ่ได้โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอทำเหมือนกับมิได้ยินและยังคงเดินต่อไป แม่นมที่อยู่ด้านหลังจึงทำได้แค่วิ่งเยาะๆ ตามมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่นอบน้อม
“เมื่อครู่เป็นข้าน้อยเองที่มิได้ความ ทำให้คุณหนูใหญ่มิพอใจ ข้าน้อยขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ แม่นมก็ยกมือขึ้นตบลงบนใบหน้าของตัวเองหลายครั้ง
“คุณหนูใหญ่ท่านดูสิเจ้าคะ ข้าลงโทษตัวเองแล้ว ดังนั้นเรื่องหลี่กุ้ยเฟย ?”
นางมิสนใจใบหน้าที่ถูกตบของตัวเอง ทั้งยังหันมามองอันหลิงเกออย่างประจบสอพลอ
อันหลิงเกอดูการแสดงของนางอย่างสงบ ทั้งยังสั่งสอนนางเสียงเรียบ
“หวังว่าแม่นมจะจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ให้ดี หากครั้งหน้าเจ้ายังทำท่าทางเยี่ยงนี้อีก ข้าคงมิดีด้วยเหมือนเช่นวันนี้อีกแล้ว”
“ขอบพระคุณคุณหนูที่เมตตาเจ้าคะ”
บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นรีบขอบคุณทันที และได้ถามหยั่งเชิง
“คนของหลี่กุ้ยเฟยได้รออยู่นานแล้ว คุณหนูใหญ่...”
“นำทางไปเถอะ”
อันหลิงเกอบอกด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เป็นเหตุให้บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้นั้นกลับดีใจอย่างปิดมิมิด รีบนำทางอันหลิงเกอออกจากจวน
จนกระทั่งร่างของอันหลิงเกอหายเข้าไปในรถม้า ใบหน้าของแม่นมถึงได้ปรากฏความมิพอใจออกมาอีกครา
เด็กสาวกำพร้าผู้ขี้ขลาด ก็ทำได้เพียงวางท่าเป็นเจ้านายต่อหน้าพวกนางที่เป็นเหล่าคนใช้ก็เท่านั้น
รอจนถึงวังหลวงก่อนเถอะ หลี่กุ้ยเฟยมิปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ !
อันหลิงเกอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ที่นางเข้าวังจะต้องมีเลศนัยแอบแฝงแน่นอน แต่ต่อให้รู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยมีเจตนามิดีแต่นางก็ขัดมิได้ และต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจถึงคนที่หนุนหลังที่ใหญ่ที่สุดของอี๋เหนียงเสียก่อน นางจึงจะสามารถวางแผนเพื่อโค่นอี๋เหนียงลงได้
อันหลิงเกอหลับตาลงเพื่องีบเอาแรงอยู่บนรถม้า เพียงครู่เดียวก็มาถึงวังหลวงแล้ว นางลงจากรถม้าจากนั้นคนของหลี่กุ้ยเฟยก็นำทางเข้าไปที่ตำหนักในทันที
เมื่อนึกย้อนกลับไปในชาติก่อนนั้นนางมิเคยได้เข้าวังหลวงมาก่อน ตอนนี้นางจึงลอบสำรวจบรรยากาศโดยรอบเอาไว้ หลังเดินผ่านตำหนักน้อยใหญ่มากมาย ในที่สุดนางกำนัลก็พาอันหลิงเกอมาจนถึงตำหนักที่วิจิตรสวยงาม
“คุณหนูอัน ที่นี่คือตำหนักที่ประทับของกุ้ยเฟยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงจับอารมณ์มิได้ของนางกำนัลที่สวมกระโปรงสีแดงเอ่ยแจ้งออกมา อันหลิงเกอจึงได้ตอบรับเพียงอืมเท่านั้น จากนั้นนางจึงเข้าไปรายงานด้านใน
“กุ้ยเฟยเพคะ คุณหนูใหญ่ตระกูลอันมาถึงแล้วเพคะ”
เมื่อนางกำนัลพูดจบ ด้านในก็มีเสียงสตรีที่นุ่มนวลดังออกมา
“รีบเชิญนางเข้ามา”
น้ำเสียงนี้นุ่มนวลและอ่อนหวาน ทำให้อดคิดมิได้ว่าสตรีที่มีน้ำเสียงเช่นนี้ คงจะต้องเป็นคนที่อ่อนโยนและจิตใจดี มุมปากของอันหลิงเกอยกขึ้น แล้วยิ้มอย่างนอบน้อมเข้าไปด้านใน
“มิได้พบหน้ามิกี่ปี เกอเอ๋อโตถึงเพียงนี้แล้วงั้นหรือ ข้าเกือบจะจำเจ้ามิได้เสียแล้วสิ”
หลี่กุ้ยเฟยกล่าวพูดคุยกับอันหลิงเกออย่างสนิทสนม และจ้องมองด้วยสายตาที่อบอุ่น ราวกับมองลูกหลานที่ตัวเองรักใคร่ยังไงอย่างนั้น
เมื่อนึกย้อนไปยังตอนที่หลี่ซื่อแต่งเข้าจวนโหว หลี่กุ้ยเฟยตอนนั้นมีอายุเพียงสิบกว่าปีเพียงเท่านั้น และเคยตามหลี่ซื่อมาที่จวนโหวคราหนึ่ง ตอนนั้นอันหลิงเกอยังเด็กมากนัก และจำเรื่องในตอนนั้นมิได้เลยสักนิด
เมื่อได้รับฟังอันหลิงเกอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างจริงใจแล้วกล่าวออกมาว่า “แต่พระนางยังดูอ่อนเยาว์มิเปลี่ยนแปลงเลยนะเพคะ นอกจากเส้นบาง ๆ ที่เห็นมิชัดเจนแล้วนั้น ก็ดูมิมีอันใดเปลี่ยนแปลงไปเลยเพคะ”
แม้บนใบหน้าของทั้งสองปรากฏรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน พูดกันเหมือนเพื่อนเก่าที่มิได้เจอกันมาหลายปี แต่หารู้มิว่าภายในกลับซ่อนคมมีดเอาไว้มากมายเพียงใด
หลี่กุ้ยเฟยพูดอย่างแฝงความนัยว่าอันหลิงเกอนั้นเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ส่วนอันหลิงเกอเองก็กระทบกระเทียบกลับด้วยเรื่องอายุของหลี่กุ้ยเฟยแทน
หลี่ซื่อที่อยู่ตรงนั้นด้วยกลับนั่งนั่งมิติด จึงเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาว่า “เกอเอ๋อ กุ้ยเฟยเชิญเจ้าเข้าวัง เหตุใดเจ้าถึงได้พึ่งมาเอาป่านนี้ ปล่อยให้พระนางต้องรอได้เยี่ยงไรกัน”
“อี๋เหนียงมิรู้หรือเจ้าคะ ?”
อันหลิงเกอถามกลับ แล้วเอ่ยต่ออย่างไร้เดียงสาว่า “แม่นมของอี๋เหนียงเข้ามาขวางมิให้ข้าเข้าวังอยู่หลายครา ข้ายังนึกว่าอี๋เหนียงเป็นคนสั่ง ที่แท้ข้าเข้าใจอี๋เหนียงผิดไปหรือนี่”
ประโยคนี้ของนางเท่ากับผลักความผิดไปให้กับแม่นมของหลี่ซื่อแทน เป็นเหตุให้หลี่ซื่อยิงคำถามต่อมิได้ ราวกับมีอันใดมาจุกอยู่ที่คอเสียเยี่ยงนั้น
หลี่กุ้ยเฟยหัวเราะออกมา
“อี๋เหนียงจะให้คนใช้ไปขวางเจ้าเข้าวังด้วยเหตุใดกัน ต้องเป็นคนใช้ที่ทำไปโดยพลการ จนเป็นเหตุให้เสียเวลากว่าที่เราจะได้พบกัน”
อันหลิงเกอพยักหน้า
“พระนางเอ่ยได้มีเหตุผลเพคะ ต้องเป็นเพราะคนรับใช้ผู้นั้นต้องการที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างหม่อมฉันและพระนางเป็นแน่ จึงได้ตั้งใจมาขวางหม่อมฉันเอาไว้เพคะ”
ประโยคนี้นางพูดออกมาอย่างจริงใจ จนทำให้หลี่กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่รู้สึกละอายใจขึ้นมา
นางนั้นเข้าวังมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ผ่านการขับเคี่ยวมานับครั้งมิถ้วน ถึงได้มายืนอยู่ในตำแหน่งทุกวันนี้ได้ แต่ความสามารถในการโกหกกลับสู้เด็กน้อยเยี่ยงอันหลิงเกอมิได้เลยสักนิด
หลี่กุ้ยเฟยแอบถอนหายใจออกมา หลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างก็สะกิดนางไปหนึ่งที นางจึงนึกถึงจุดมุ่งหมายของตนขึ้นมาได้ จึงหันไปหัวเราะให้กับอันหลิงเกอ
“นาน ๆ ทีเจ้าจะได้เข้าวังสักครา ต้องไปชมทิวทัศน์ที่ทะเลสาบหมิงซินให้ได้นะ”
อันหลิงเกอแสดงท่าทีสนอกสนใจอย่างมาก
“ทิวทัศน์ที่พระนางทรงแนะนำจักต้องสวยงามมากเป็นแน่ หากมีโอกาสข้าจักต้องไปชมให้ได้เลยเพคะ”
“โอกาสก็อยู่ตรงนี้แล้วมิใช่หรือไง ?”
หลี่กุ้ยเฟยยิ้มอย่างอ่อนหวาน จากนั้นเรียกนางกำนัลเข้ามา แล้วหันหน้าไปทางอันหลิงเกอ
“คุณหนูใหญ่ มิสู้ไปชมทะเลสาบหมิงหูกับข้าตอนนี้เสียเลยเป็นเยี่ยงไร”