ตอนที่ 13
“หากเป็นไปได้ ผมก็หวังว่าสักวันผมจะยืนอยู่บนจุดสูงสุด”
ลู่หนานหยุนและเหว่ยอี้เฉินที่อยู่ในกลุ่มเด็กฝึกต่างก็ตกใจ
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แตกต่างจากความหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ นี่เรียกได้ว่าเป็นความมั่นใจอย่างแท้จริง และความมั่นใจนี้ยิ่งทำให้เขาดูน่าดึงดูดขึ้นไปอีก ราวกับอัญมณีสีอำพันสวยที่ไม่อาจละสายตาได้เลย
หลังจากที่พูดจบ เขาก็โค้งคำนับให้กับกล้องและส่งไมโครโฟนคืนให้กับเฉินเหอ ท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่นของทุกคน เรียวขายาวก้าวขึ้นบนบันได เดินไปยังอันดับที่ 5 ของเขาแล้วนั่ง
ต่อไปเป็นการประกาศอันดับที่ 4 ถึงอันดับที่ 1 โดยอันดับนั้นแตกต่างจากครั้งที่แล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งในคลาสA อันดับที่ 4 ถึงอันดับที่ 1 ได้แก่ กู้เว่ยเฉิง เฟิงหยาน ลู่หนานหยุน และเหว่ยอี้เฉิน
นับจากบนลงล่าง ที่นั่ง 3 อันดับบนสุดอยู่ชั้น 2 และอันดับที่ 4-7 อยู่ชั้น 3
ตำแหน่งของจีเจ๋อหยูอยู่ระหว่างทางเดิน ดังนั้นเมื่อทุกคนที่อยู่ใน 4 อันดับแรกเดินผ่านไป เขาก็ต้องทำเป็นมีความสุขไปด้วยและยืนขึ้นปรบมือให้กับพวกเขาเหล่านั้น
กู้เว่ยเฉิงกอดเขาอย่างแนบแน่น แล้วนั่งข้างเขาตามด้วยรอยยิ้ม “นายนี่เยี่ยมไปเลย ฉันต้องมองนายใหม่แล้วแหละ แต่ถึงยังไงก็เถอะ สำหรับฉันแล้วเหว่ยอี้เฉินต้องเป็นที่ 1 อย่างแน่นอน ยากที่นายจะแข่งกับเขาได้นะ”
กู้เว่ยเฉิงและเหว่ยอี้เฉินอยู่บริษัทเดียวกัน ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว
จีเจ๋อหยูยิ้ม “อย่างนั้นสินะ งั้นนายก็ต้องห้ามขยับไปไหนแล้วก็ห้ามฉันไม่ให้ขึ้นจากที่ 4 ของนายแล้วกันนะ”
กู้เว่ยเฉิงตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และอดรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจไม่ได้
หยุดจีเจ๋อหยูน่ะเหรอ? ถ้าตามทักษะในตอนนี้แล้วล่ะก็ ดูเหมือนว่า...จะยากไปหน่อยหรือเปล่า
หลังจากนั้นเฟิงหยานก็กอดจีเจ๋อหยูอย่างสุภาพและเอ่ยกับเขาว่า “ฉันชอบการแสดงของนายมากเลยนะ หากว่าถ้ามีโอกาสเราคงจะได้แข่งกัน”
เฟิงหยาน มาจากXunhua Entertainment ซึ่งเป็นบริษัทบันเทิงแห่งหนึ่ง เขานั้นเป็นเด็กฝึกหัดมามากกว่า 5 ปี เขาแข็งแกร่งและดูเหนือกว่าทุกคน เขารักเวทีและชื่นชมคนแข็งแกร่งที่สุด
จีเจ๋อหยูนั้นสามารถบอกได้ว่าคำชมของเฟิงหยานนั้นจริงใจ
“ด้วยความยินดี ฉันจะตั้งตารอการแข่งกับนายนะ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม
ต่อจากนั้นก็เป็นลู่หนานหยุน
จีเจ๋อหยูหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมความอึดอัดในใจของเขา ยิ้มและปรบมือให้อีกฝ่าย ดวงตาของเขาสบกับดวงตาที่แสนเย็นชานั่น
โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้กอดเขาเหมือนเด็กฝึกสองคนแรก เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากนายกล้าที่จะพูดแบบนั้น ฉันก็หวังว่านายจะทำตามอย่างที่นายพูด”
หลังจากเอ่ยจบลู่หนานหยุนก็เดินตรงขึ้นไป มุมปากของเขาเหมือนจะยกขึ้นเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกต
จีเจ๋อหยูคิดว่าเขาต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆเลยขยี้ตา ลู่หนานหยุนนั่งลงไปแล้ว และยังคงใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาไว้อย่างเดิม
...แน่นอนว่าไม่ใช่
หลังจากนั้นเหว่ยอี้เฉินก็ทักทายจีเจ๋อหยูด้วยท่าทางที่เป็นมิตรมากกว่าลู่หนานหยุน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายเก่งมาก รู้สึกเหมือนว่าฉันจะเจอตอใหญ่เข้าแล้วสิ” ท่ามกลางคำพูดนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งในแววตาของเขา
จีเจ๋อหยูยิ้มและพูดว่า “ยกยอกันเกินไปแล้ว”
หลังจากพูดคุยกับตัวเองทั้งสองเสร็จ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“การประกาศอันดับครั้งแรกได้เสร็จสิ้นแล้ว ผู้เข้าแข่งขันที่เหลือ...จะต้องออกจากรายการ” เฉินเหอกล่าวอย่างเสียใจ
เด็กบางคนที่ต้องจากไปก็เศร้า บางคนยิ้ม และบางคนก็ให้กำลังใจเพื่อนที่ต้องออกจากรายการ ทั้งสตูดิโอเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ซาบซึ้ง
จีเจ๋อหยูมองดูพวกเขาก็ได้แต่รู้สึกเศร้าใจ เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น ช่วงเวลาที่เขาต้องออกจากรายการ เมื่อถึงตอนนั้นผู้ชมจะรู้สึกสงสารพวกเขาและอวยพรให้พวกเขาที่ต้องไป
เด็กหนุ่ม 2 ใน 4 จากบริษัทเดียวกันกับจีเจ๋อหยู เดินมาหาเขาที่บันได แล้วกอดลาพวกเขาทีละคน บอกลาด้วยความจริงใจแม้จะขมขื่นเล็กน้อย
เด็กหนุ่มทั้งสองรู้สึกยินดี แม้ว่าท้ายที่สุดพวกเขานั้นรู้ฐานะของจีเจ๋อหยูดีในบริษัท
“เจ๋อหยู ฉันจะกลับไปโหวตให้นายนะ นายต้องอันดับสูงขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดกับเขาก่อนที่จะจากไป
หลังจากการบันทึกช่วงประกาศการจัดอันดับสิ้นสุดลง ฉีอ่าวตงก็มองไปที่จีเจ๋อหยู แล้วถามเขาเบาๆว่า “คุณเศร้าหรอ?”
“นิดหน่อยน่ะ” เขาพูดตอบเบาๆ “อันที่จริง ฉันก็โทษตัวเองอยู่บ้าง ตอนจัดอันดับเริ่มต้นฉันสร้างภาระให้กับพวกนายทุกคนเลย แล้วหลังจากนั้นฉันก็เอาแต่สนใจแค่การชนะหรือแพ้ของตัวเองแค่นั้น ฉันไม่มีเวลามาช่วยพวกเขาให้ผ่านเข้ารอบเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเขา...ยังมีโอกาสอยู่” ฉีอ่าวตงปลอบใจ “เราก็ยังต้องสู้ต่อไป ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเด็กฝึกคนอื่นๆที่ถูกคัดออกคงจะผิดหวังเหมือนกัน”
ฉีอ่าวตง ยังเด็กมากและไม่ค่อยได้ปลอบใจคนอื่นมากนัก จนพูดตะกุกตะกักในบางที เขามองไปที่ดวงตาที่ปิดสนิทของจีเจ๋อหยู และรู้สึกทุกข์ใจโดยไม่รู้ตัว
จีเจ๋อหยูหัวเราะเบาๆ เขาพยักหน้าแล้วตอบกลับ “ฉันจะตั้งใจเต็มที่นะ”
ห่างออกไปไม่มากนะ ลู่หนานหยุนกำลังส่งเพื่อนของเขา ดวงตาของเขาจ้องเลยผ่านไปที่จีเจ๋อหยู จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเล็กน้อย
ภารกิจแรกจบไปแล้วอย่างเป็นทางการ เด็กฝึกที่เหลือไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะในไม่ช้าก็เริ่มบันทึกตอนถัดไป
เฉินเหอประกาศกฎการแข่งขันสำหรับการแสดงครั้งที่ 2 “ทางรายการจะให้ตัวเลือกกับพวกคุณ คุณสามารถเลือกสายที่พวกคุณถนัด ได้แก่ ทำเพลง ร้องเพลง และการเต้น ทางรายการจะกำหนดจำนวนคน…”
สองกลุ่มสำหรับทำเพลง สี่กลุ่มสำหรับร้องเพลง และห้ากลุ่มสำหรับเพลงเต้น แต่ละกลุ่มจะมี5คน
จุดประสงค์ของรอบนี้คือการเน้นจุดเด่นของเด็กฝึกแต่ละคน ให้การแสดงมีคุณภาพที่สูงขึ้น และท้าทายมากขึ้น
หลังจากที่รายการได้แจกแจงรายละเอียดให้เด็กฝึกพิจารณาหนึ่งวัน
จีเจ๋อหยูคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้เขาต้องหาสไตล์ของตัวเอง และกลุ่มทำเพลงก็สามารถแสดงภาพลักษณ์ของเด็กฝึกได้ดีที่สุด นอกจากร้องและเต้นแล้ว เขายังสามารถเขียนเนื้อเพลงเองได้ด้วย
ดังนั้นจีเจ๋อหยูจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขียนคำว่า “ทำเพลง” ลงในตัวเลือกแรกไป
หลังจากที่ได้กินมื้อเที่ยง ลู่หนานหยุนก็ถามกับว่านหลงว่า “นายเลือกอะไร”
“ว่าจะเลือกร้องเพลง” ว่านหลงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อืม อย่างนั้นหรอ” ลู่หนานหยุนเหลือมองอีกฝ่าย ละสายตาออกไป และท่าทางของเขาก็ดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ “แล้วนายรู้ไหม...ว่าจีเจ๋อหยูเลือกอะไร”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของว่านหลงก็เบิกกว้างทันที ราวกับว่าเขาได้ยินสิ่งที่น่าตกใจที่สุดในโลก
ลู่หนานหยุนอยากรู้ว่าจีเจ๋อหยูเลือกอะไรงั้นหรอ?!
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสักพักว่านหลงก็เข้าใจ...เหตุผลที่ลู่หนานหยุนถามก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะ “ป้องกันฟ้าผ่า” และหลีกเลี่ยงจีเจ๋อหยูนั่นเอง
เมื่อมาคิดดูแล้ว ว่านหลงก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะไปดูให้นะ”
ลู่หนานหยุนพยักหน้า ปกปิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจพาดผ่านใบหน้าของเขา
ในช่วงบ่ายของวันนั้น ว่านหลงก็ไปที่ห้องพักของจีเจ๋อหยู เมื่อเขารู้ว่าตัวเลือกแรกของอีกฝ่ายในแบบฟอร์ม คือ “การทำเพลง” เขาจึงไปหาลู่หนานหยุนที่ห้องซ้อม พร้อมกับบอกข้อมูลตามความจริงให้แก่อีกฝ่าย
ลู่หนานหยุนพยักหน้าอย่างเรียบเฉย เขาออกจากห้องซ้อมทันที และกลับไปที่หอพักเพื่อกรอกแบบฟอร์ม
ในขณะที่เขากำลังจะเขียนคำว่า “ทำเพลง” ในตัวเลือกแรก มือของเขาก็หยุดชะงักกะทันหัน
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแปลกๆ…
ตอนที่ลู่หนานหยุนอยากจะเข้าใกล้จีเจ๋อหยูก่อนหน้านี้ ว่านหลงก็เข้ามาขัดขวางนับครั้งไม่ถ้วน แล้วเคยไปกระซิบกับจีเจ๋อหยูว่า “ลู่หนานหยุนมาแล้ว นายรีบไปเลย” แล้วทำไมวันนี้หมอนั่นรีบมาบอกเร็วขนาดนี้
ลู่หนานหยุนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สรุปได้ว่าว่านหลงต้องกำลังโกหกเขาอยู่แน่ๆ
จีเจ๋อหยูต้องไม่ได้เลือกทำเพลงอย่างแน่นอน
ลู่หนานหยุนนึกถึงการแสดงแสนน่าทึ่งจีเจ๋อหยูก่อนหน้านี้ และทักษะการเต้นอันยอดเยี่ยมของเขา แล้วคิดขึ้นมาว่า หากจีเจ๋อหยูไม่ได้เลือกทำเพลง อีกฝ่ายคงต้องเลือกการเต้น
เป็นผลให้ตอนนี้ลู่หนานหยุนเม้มริมฝีปาก ยกปากกาขึ้นอย่างมั่นใจ และเขียนคำว่า “เต้น” ลงในแบบฟอร์มตัวเลือกแรกของตัวเองอย่างจริงจัง
หลังจากที่เขียนไปแล้ว เขาก็มองด้วยท่าทางพอใจยิ่ง