245 - เบื้องหลังของเรื่องราว
245 - เบื้องหลังของเรื่องราว
เย่เทียนเฉิงมองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาที่เฉียบแหลมและพูดต่อ
“หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าต้องไม่ทำผิดพลาด ซุนปิงเฉินนั้นคาดว่าเมื่อกลับสู่เมืองหลวงจะถูกจักรพรรดิ์ยึดตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ของแผ่นดินกลับไป เมื่อเขาลงมือต่อตระกูลข้าเขาก็จะถูกโจมตีจากคณะเสนาบดี ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยากที่จะยืนหยัดได้!”
“ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่ท่านพูด ทำไมแคว้นกานถึงได้ส่งผลถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งที่อำนาจเบ็ดเสร็จของเสนาบดีใหญ่ก็น่าจะสามารถคุ้มครองกระดูกสันหลังของตัวเองได้” เอี้ยนลี่เฉียงถามอย่างใจเย็น
รัศมีที่เย็นเยียบแวบผ่านดวงตาของเย่เทียนเฉิงขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงถามคำถามนั้น อย่างไรก็ตามภายในครู่หนึ่ง การแสดงออกที่เย็นชาของเย่เทียนเฉิงกลายเป็นความโกรธก่อนที่เขาจะเริ่มพูด
“อย่างที่ข้าพูด ต่อให้เป็นม้าดีแค่ไหนก็ต้องมีวันที่วิ่งล้ม พวกเราไม่คิดว่าทั้งซุนปิงเฉินและเล่ยสือตงจะกล้าร่วมมือกันล้มล้างตระกูลพวกเรา ...”
"ข้าได้ยินมาว่าเล่ยสือตงได้รับการสนับสนุนจากสภาสูงแห่งจักรวรรดิ!"
“ถูกต้อง สภาสูงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นอำนาจที่สามผู้ควบคุมจักรวรรดิฮั่นและคอยถ่วงดุลอำนาจของจักรพรรดิรวมไปถึงคณะเสนาบดี!” เย่เทียนเฉิงสงบสติอารมณ์และพูดต่อ
“แต่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ อิทธิพลของเสนาบดีใหญ่ที่มีต่อสภาสูงนั้นทรงพลังมากกว่าตัวของจักรพรรดิอย่างแน่นอน
การกระทำในปัจจุบันของเล่ยสือตงต่อตระกูลเย่นั้นส่วนใหญ่นั้นเป็นความคิดความอ่านของเขาเอง สิ่งที่เขาทำทุกอย่างนั้นเพียงแค่ต้องการครอบครองแคว้นกานมาเป็นของตัวเอง
ดังนั้นสิ่งที่เขาทำอย่างแรกคือการกำจัดพวกเราตระกูลเย่ ข้าไม่คิดว่าสภาสูงจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรอกนะ เพราะมันจะเป็นการเปิดฉากต่อสู้กับคณะเสนาบดีนั่นเอง”
มีความจริงและความเท็จบางอย่างในสิ่งที่เย่เทียนเฉิงกล่าว อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังคำพูดของเขาเอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกเหมือนเขารู้แจ้งในทันที
ก่อนหน้านี้จิตใจของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก มองไม่เห็นสิ่งต่างๆอย่างชัดเจนและไม่เข้าใจสถานการณ์ในหลายๆด้าน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจซุนปิงเฉิน เล่ยสือตง และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเย่เทียนเฉิงได้อย่างชัดเจนพร้อมกับการเปรียบเทียบเหล่านั้น...
พูดง่ายๆก็คือ เหตุการณ์ล่าสุดในแคว้นกานเป็นการตอบโต้ของจักรพรรดิและสภาสูงที่มีต่อเสนาบดีใหญ่ในปัจจุบัน
แม้ว่าจักรพรรดิและสภาสูงจะร่วมมือกันแต่ท้ายที่สุดแล้วจุดประสงค์ของพวกเขาก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องความต้องการผลประโยชน์
สิ่งที่สภาสูงกังวลก็คือคณะเสนาบดีตอนนี้มีอำนาจมากเกินไปซึ่งมันจะกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขา
ในขณะที่จักรพรรดิผู้ให้การสนับสนุนซุนปิงเฉิน กังวลมากที่สุดเกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์ที่มีผลต่ออำนาจกลางของเมืองหลวงจักรวรรดิ...
ดังนั้นทุกคนที่ตกอยู่ในมือของเล่ยสือตงจึงต้องตายไป ในทางกลับกันเย่เทียนเฉิงที่ตกไปอยู่ในมือของซุนปิงเฉินจะต้องมีชีวิตอยู่ เพราะองค์จักรพรรดิต้องการใช้เขาเพื่อไปต่อรองอำนาจจากเสนาบดีใหญ่
สมมุติว่าเอี้ยนลี่เฉียงคือเสนาบดีใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังเย่เทียนเฉิงเขาจะมีความคิดแบบไหนกับเรื่องนี้?
เนื่องจากจักรพรรดิต้องการให้ซุนปิงเฉินนำเย่เทียนเฉิงกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เย่เทียนเฉิงไม่สามารถกลับสู่เมืองหลวงได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นมีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะทำได้ หนึ่งคือช่วยเย่เทียนเฉิงให้พ้นจากเงื้อมมือของซุนปิงเฉินก่อนที่เขาจะสามารถเข้าไปในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้
อีกวิธีหนึ่งคือการฆ่าเย่เทียนเฉิงก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
หลังจากสูญเสียแคว้นกานและชื่อเสียงพังทลายไปหมดแล้ว ตระกูลเย่ก็นับได้ว่าจบสิ้นลงทันที ในสายตาของผู้อุปถัมภ์ของเขา เย่เทียนเฉิงและตระกูลของเขาตอนนี้ได้สูญเสียคุณค่าไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเย่เทียนเฉิงยังกลายเป็นคนทรยศ ทำให้เขามีชื่อฉาวโฉ่ที่อาจนำความโชคร้ายมาสู่ผู้ที่มีชื่อผูกติดอยู่กับเขา
ดังนั้น คนเหล่านั้นจะรู้สึกโล่งใจก็ต่อเมื่อเย่เทียนเฉิงตายเท่านั้น ตราบใดที่เย่เทียนเฉิงตาย หลักฐานใดๆที่เขามีก็จะไร้ประโยชน์ในที่สุด
ตอนนี้เย่เทียนเฉิงสันนิษฐานว่าเขาถูกสหายของเขาทอดทิ้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีหลบหนีออกจากที่นี่ด้วยการพยายามหว่านล้อมไก่อ่อนอย่างเอี้ยนลี่เฉียง
การลงมือกวาดล้างตระกูลเย่ ย่อมได้รับความเห็นชอบจากจักรพรรดิรวมไปถึงสภาสูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ตระกูลเย่ถูกทำลาย มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่ต้องการให้เย่เทียนเฉิงมีชีวิตรอดเพราะจะได้ใช้เขาเป็นเบี้ยต่อรองกับคณะเสนาบดี
ในส่วนของสภาสูงที่ไม่ต้องการให้จักรพรรดิฟื้นคืนอำนาจของตัวเองได้ เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะร่วมมือกันกับคณะเสนาบดีเพื่อป้องกันไม่ให้เย่เทียนเฉิงกลับสู่เมืองหลวง
ก่อนหน้านี้เอี้ยนลี่เฉียงไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเลย สิ่งที่เขาคิดมาตลอดคือความรุ่งโรจน์ของเมืองหลวงจักรวรรดิ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเอี้ยนลี่เฉียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นลงที่กระดูกสันหลังและตัวสั่นสะท้าน ในเวลานี้เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว
ควรทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ขึ้นย่อมหมายความว่าจักรพรรดิไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างที่ควรจะเป็น
ดังนั้นหากว่าเย่เทียนเฉิงยังคงอยู่ในขบวนของพวกเขาก็มีความเป็นไปได้สูงที่คณะเสนาบดีใหญ่รวมไปถึงสภาสูงอาจส่งคนมาสังหารพวกเขาก่อนจะถึงเมืองหลวงก็ได้
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงคิดได้ดังนี้ คนรับใช้สองคนจากจุดพักม้าก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินตรงข้ามเขาพร้อมกับถาดอาหารในมือและรอยยิ้มบนใบหน้า
“หนุ่มน้อย นี่เป็นอาหารที่จุดพักม้าจัดเตรียมไว้ มันยังร้อนอยู่ มีเนื้อเครื่องเทศ มันตุ๋น ซาลาเปา และผลไม้นิดหน่อย…”
คนรับใช้สองคนจากจุดพักม้ามีความกระตือรือร้นมาก คนหนึ่งถือจาน ส่วนอีกคนถือโต๊ะไม้เล็กๆ ทั้งสองคนจัดจานที่พวกเขาถือไว้บนโต๊ะขณะที่พูดคุยกับเอี้ยนลี่เฉียง
สำหรับผู้ที่เดินทางมาตลอดทั้งวัน อาหารจานร้อนเหล่านี้สามารถเพิ่มความอยากอาหารได้อย่างมาก
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มขณะมองดูจานบนโต๊ะก่อนจะเหลือบมองเย่เทียนเฉิงภายในบ้าน
“ข้ามีสุนัขอยู่ที่นี่ด้วย รบกวนพวกท่านจัดอาหารให้มันด้วย”
"ได้สิ..."
คนใช้ทั้งสองยิ้มกริ่มเมื่อมองดูสุนัขที่เอี้ยนลี่เฉียงพามากับเขา ก่อนที่พวกเขาจะรีบออกไปนำอาหารมาเพิ่มอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็กลับมาพร้อมกับของสองสิ่งในมือของพวกเขา หนึ่งคือกระเบื้องสะอาดที่ใช้รองอาหารให้กับสุนัขกิน
ในทางกลับกันเย่เทียนเฉิงได้รับอาหารพร้อมชามและตะเกียบคู่หนึ่ง ในชามเต็มไปด้วยเนื้อสับชิ้นเล็กๆ ซาลาเปาครึ่งลูก และมันตุ๋นเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนจะร้อนจัดเช่นกัน
“ไม่คิดว่าพวกท่านจะดูแลนักโทษดีถึงขนาดนี้ นี่ไม่เพียงมีเนื้อให้กินเป็นจำนวนมาก ยังมีแม้กระทั่งอาหารว่างอีกด้วย…” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียง รอยยิ้มบนใบหน้าของคนรับใช้สองคนก็เริ่มจางลง คนรับใช้กล่าวขอโทษเอี้ยนลี่เฉียงทันที
"ข้าน้อยขอโทษจริงๆข้าน้อยไม่รู้กฎ หากท่านไม่พอใจข้าสามารถไปเปลี่ยนอาหารได้..."
"ไม่เป็นไร เนื่องจากพวกเจ้ายกมาแล้วดังนั้นก็ปล่อยให้เขาได้ทานอาหารดีๆสักมื้อก็แล้วกัน!”
เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวอย่างเป็นกันเองในขณะที่เขาวางซาลาเปา มันตุ๋น เนื้อวัว ไว้บนกระเบื้องด้วยตะเกียบ
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว…”
คนรับใช้ยิ้มขณะที่ถอยกลับพร้อมกับโค้งคำนับ ก่อนที่คนใช้จะจากไป เขาเหลือบมองไปที่ชามอาหารที่วางอยู่นอกหน้าต่างของเย่เทียนเฉิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
เอี้ยนลี่เฉียงวางกระเบื้องลงบนพื้นแล้วพูดว่า
“มานี่ โกลดี้ กินให้หมด!”
โกลดี้วิ่งเข้ามาและดมกลิ่นอาหารที่วางบนกระเบื้องอย่างจริงจังก่อนที่เขาจะเริ่มกิน เอี้ยนลี่เฉียงจึงเริ่มกินอาหารเมื่อโกลดี้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพิษ
ประสาทสัมผัสของโกลดี้อยู่ในระดับที่ผิดปกติ เอี้ยนลี่เฉียงสงสัยว่าเขาอาจจะให้ค่าพลังกลับโกลดี้มากเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้มันมีความสามารถมากมายขนาดนี้
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับโกลดี้ เอี้ยนลี่เฉียงสามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่าโกลดี้สามารถใช้ประสาทรับกลิ่นเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งต่างๆที่มีพิษได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเขาจะซ่อนเข็มพิษที่จุ่มลงในพิษงูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยวา โกลดี้ก็จะสามารถค้นพบมันได้อย่างง่ายดาย
“ท่านผู้ว่าการท่านก็ควรกินด้วย…”
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉิงไม่ได้แตะต้องอาหารที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง เอี้ยนลี่เฉียงก็พูดกับเย่เทียนเฉิงในขณะที่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาหารในชามของฝ่ายตรงข้าม